บทที่ 1251 การต่อสู้ของสนมผมฟ้า

Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1251 การต่อสู้ของสนมผมฟ้า

แปลโดย iPAT

“เพียงวิญญาณอมตะไม่กี่ดวง แล้วอย่างไร?” อิงอู๋เซี่ยกล่าว “ตราบเท่าที่แผนการของเราประสบความสำเร็จ การสูญเสียทั้งหมดของเจ้าจะได้รับการชดเชย การปล่อยวางเป็นเครื่องหมายของคนฉลาด ยิ่งไปกว่านั้นเราไม่ได้ละทิ้งพวกมันอย่างไร้เหตุผลแต่เราทิ้งพวกมันไว้เบื้องหลังเพื่อสร้างความสับสนให้กับศัตรูและสร้างโอกาสอันล้ำค่าให้กับตนเอง”

ไป่หนิงปิงบ่น “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าพยายามลดความแข็งแกร่งของข้า?”

“เจ้ากำลังคิดมากเกินไป แต่เจ้ายังสามารถเลือกที่จะอยู่ที่นี่เพื่อยื้อเวลาให้พวกเราหลบหนี” อิงอู๋เซี่ยมองไป่หนิงปิง

ดวงตาของไป่หนิงปิงส่องประกายเย็นเยียบก่อนที่นางจะพยักหน้าในที่สุด “ข้าจะไปกับพวกเจ้า”

ไม่ใช่ว่านางไม่ต้องการต่อสู้ แต่เผชิญหน้ากับฟางหยวนที่มีพลังการต่อสู้ระดับนี้ นางไม่มีความมั่นใจในชัยชนะ

…..

ภาคเหนือ แดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะ ยอดเขาที่เก้า

กลุ่มผู้อมตะภาคเหนือทั้งห้าถูกปิดล้อมด้วยเส้นผมสีฟ้าของสนมผมฟ้า

“นี่เป็นท่าไม้ตายชนิดใดกัน?”

“พลังงานอมตะของข้าถูกดูดกลืนไปอย่างรวดเร็ว”

“อา…” อวี๋อี้เย่ซือกรีดร้องเมื่อเปลวไฟลุกไหม้ขึ้นบนร่างกายของเขา

แต่ไฟชนิดนี้กลับไม่ได้เผาทำลายเส้นผมสีฟ้า นอกจากนั้นเส้นผมสีฟ้ายังปล่อยไอน้ำจำนวนมากออกมาทำให้ร่างกายของอวี๋อี้เย่ซือกลายเป็นเปียกชุ่ม

“ไฟของข้าคือไปจากเตาดิน กระทั่งทรัพยากรอมตะระดับเจ็ดยังหลอมละลายในเวลาไม่กี่นาที แต่มันไม่สามารถเผาทำลายเส้นผมของข้า” เสียงของสนมผมฟ้าดังขึ้น

อวี๋อี้เย่ซือตกใจมาก

“ฮ่าฮ่าฮ่า อย่าดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์ ยิ่งดิ้นรน เส้นผมของข้าก็ยิ่งรัดแน่น ตั้งแต่นายท่านเซี่ยหูหลอมรวมวิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์ ข้าก็กระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะนี้อย่างไม่หยุดยั้ง พวกเจ้าคิดว่าตอนนี้ผมของข้าจะยาวถึงเพียงใด?”

สนมผมฟ้าเอนกายนอนบนเตียงของนางอีกครั้งและหัวเราะอย่างมีความสุข

“ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่ได้โกหกพวกเจ้า แดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะอยู่ภายใต้การปกป้องจากค่ายกลวิญญาณที่ยอดเยี่ยม พลังการต่อสู้ของข้าบรรลุถึงระดับเจ็ดขณะที่พวกเจ้าอ่อนแอลง ยอมจำนนอย่างเชื่อฟัง บางทีพวกเจ้าอาจมีโอกาสรอดชีวิต”

“ฮืม เจ้าคิดง่ายเกินไป” เป็นเพียงเวลานี้ที่เงาร่างสายหนึ่งบินออกมาจากรังไหม

รังไหมไม่ได้รับความเสียหายแต่เงาร่างสายนี้สามารถเคลื่อนที่ผ่านรังไหมออกมาได้อย่างอิสระ

ร่างภูตผีชนิดนี้ไม่ได้มาจากผู้ใดนอกจากผู้อมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งภูตผีของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

ปู้เจิ้งซือ!

การแสดงออกของสนมผมฟ้ากลายเป็นมืดครึ้ม “ดังนั้นก็มีผู้อมตะบนเส้นทางแห่งภูตผี ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าสามารถหลบหนีจากเส้นผมของข้า!”

ขณะที่นางกล่าว เสียงผมสีฟ้าจำนวนมากก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นราวกับอสรพิษ

ปู้เจิ้งซือเผยรอยยิ้มสดใส “เจ้ายังขาดแคลนประสบการณ์ คิดว่าสามารถทำร้ายข้าได้งั้นหรือ?

ร่างภูตผีของเขากลับเข้าไปในรังไหมอีกครั้ง

ภายในรังไหมจ้าวเหลียนหยุนกำลังกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะสายป้องกันของนางเพื่อต่อต้านเส้นผมสีฟ้า

ปู้เจิ้งซือเข้ามาด้านข้างและทำให้จ้าวเหลียนหยุนสะดุ้งตกใจ

“ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม ยกเลิกท่าไม้ตายสายป้องกันของเจ้าและตามข้ามา” ปู้เจิ้งซือวางมือบนไหล่ของนางและออกคำสั่ง

จ้าวเหลียนหยุนคิด ‘หากข้าหยุดใช้ท่าไม้ตายสายป้องกัน ข้าจะถูกเส้นผมสีฟ้าฉีกเป็นชิ้นๆหรือไม่?’

อย่างไรก็ตามจ้าวเหลียนหยุนคิดอีกครั้งและตัดสินใจเชื่อปู้เจิ้งซือ

เมื่อนางยกเลิกท่าไม้ตายสายป้องกัน เส้นผมสีฟ้าพุ่งเข้าโจมตีนางทันที แต่ร่างกายของจ้าวเหลียนหยุนกลับเปลี่ยนเป็นร่างภูตผีและพุ่งออกจากรังไหมพร้อมกับปู้เจิ้งซือ

ใบหน้าของสนมผมฟ้ากลายเป็นซีดขาวด้วยความตกใจ

ปู้เจิ้งซือบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งภูตผี เป็นเรื่องปกติที่เขาจะสามารถเปลี่ยนร่างเป็นภูตผี แต่การเปลี่ยนผู้อื่นเป็นภูตผีถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งภูตผีมีอยู่ไม่มาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปู้เจิ้งซือเป็นอัจฉริยะท่ามกลางพวกเขา

ด้วยความสามารถนี้ นิกายคฤหาสน์วิญญาณจึงไว้วางใจให้เขาเป็นผู้ปกป้องจ้าวเหลียนหยุน

หลังจากช่วยชีวิตจ้าวเหลียนหยุน ปู้เจิ้งซือยังทำสิ่งเดียวกันกับคนอื่นๆ

ผู้อมตะของภาคกลางทั้งห้าเริ่มปิดล้อมและโจมตีสนมผมฟ้า

อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นการต่อสู้หนึ่งต่อห้าแต่สนมผมฟ้ากลับไม่เสียเปรียบ

เส้นผมสีฟ้าของนางเคลื่อนไหวไปรอบๆราวกับอสรพิษ

“เห็นได้ชัดว่านางเป็นผู้อมตะระดับหกแต่นางกลับมีพลังการต่อสู้ระดับเจ็ด!”

“มีร่องรอยของค่ายกลวิญญาณในแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะอยู่จริงๆ”

“หลีกทาง ให้ข้าโจมตี!” มู่หลิงหลานก้าวออกไปข้างหน้าและกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะของเขา

“อะวู้…”

หมาป่าวารีสีฟ้าอ่อนสามตัวปรากฏขึ้นกลางอากาศและพุ่งเข้าโจมตีสนมผมฟ้าด้วยกรงเล็บและคมเขี้ยวของพวกมัน

สนมผมฟ้าลุกขึ้นจากเตียงและทะยานขึ้นสู่อากาศ

ผู้อมตะทั้งห้าไล่ล่านางทันที

สนมผมฟ้ากลายเป็นฝ่ายป้องกัน เส้นผมสีฟ้าขดตัวเป็นรังไหมสีฟ้าปกป้องนางจากการโจมตีของศัตรู

“ท่าไม้ตายอมตะของนางน่ากลัวมาก มันสามารถดูดกลืนพลังงานอมตะของศัตรูและใช้มันโจมตี”

“พลังอำนาจของท่าไม้ตายอมตะส่วนหนึ่งของพวกเราถูกดูดซับและย้อนกลับมาโจมตีพวกเรา”

“กระทั่งอสรพิษของข้าก็ไม่สามารถทะลวงรังไหมนี้เข้าไปได้” มู่หลิงหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

ปู้เจิ้งซือถ่ายทอดเสียงไปหามู่หลิงหลาน

ร่างกายของมู่หลิงหลานสั่นสะท้านขึ้นก่อนที่เขาจะเปิดปากกล่าว “เช่นนั้นให้ข้าลองอีกครั้ง”

เขาสะสมพลังงานก่อนจะชี้นิ้วไปที่รังไหมสีฟ้าของสนมผมฟ้า

อสรพิษวารียาวครึ่งเมตรพุ่งออกจากเล็บของเขา

ภายใต้การควบคุมของมู่หลิงหลาน อสรพิษวารีเคลื่อนที่ช้ามาก

ในเวลาเดียวกันปู้เจิ้งซือก็ใช้ท่าไม้ตายอมตะเช่นกัน อสรพิษวารีกลายเป็นอสรพิษภูตผีและสามารถทะลวงเข้าไปในรังไหมของสนมผมฟ้าได้อย่างง่ายดาย

สนมผมฟ้าตกใจมาก นางกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายสายป้องกันท่าที่สองอย่างรวดเร็ว

แต่อสรพิษภูตผีกลับเปลี่ยนเป็นอสรพิษวารีอีกครั้ง มันทำลายการป้องกันของสนมผมฟ้าและเจาะเข้าไปในหัวใจของนาง

สนมผมฟ้ากรีดร้องเสียงดังขณะที่ดวงวิญญาณของนางหลุดออกจากร่าง

เส้นผมสีฟ้าระเบิดออกไปทุกทิศทุกทางราวกับลูกศรอันแหลมคม

ผู้อมตะของภาคกลางทั้งห้าปกป้องตนเองและปล่อยให้ดวงวิญญาณของสนมผมฟ้าหลบหนีไป

“เราชนะแล้ว! สนมผมฟ้าตายไปแล้ว นางเหลือเพียงดวงวิญญาณเท่านั้น!” ซือเจิ้งอี้ตื่นเต้นมาก

“การร่วมมือเป็นสิ่งที่ดี” ปู้เจิ้งซือและมู่หลิงหลานเผยรอยยิ้มพึงพอใจ

ผู้อมตะระดับเจ็ดทั้งสองเป็นกำลังสำคัญในการเอาชนะสนมผมฟ้า อวี๋อี้เย่ซือ จ้าวเหลียนหยุน และซือเจิ้งอี้เป็นเพียงผู้สนับสนุนเท่านั้น

การต่อสู้สิ้นสุดลง ยอดเขาที่เก้ากลายเป็นเงียบสงบ

แต่พวกเขาควรทำอย่างไรต่อไป?

ผู้อมตะทั้งห้าพูดคุยและตัดสินใจ

พวกเขาจะล่าถอยและรอให้กำลังเสริมจากภาคกลางมาถึง

พวกเขาเพียงห้าคนจะสามารถต่อต้านแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะทั้งหมดได้อย่างไร? ลืมผู้อมตะคนอื่นไปได้เลย เพียงปีศาจอมตะเซี่ยหูผู้เดียว พวกเขาก็ไม่สามารถเอาชนะได้

อย่างไรก็ตามผู้อมตะทั้งห้าพบว่าพวกเขาไม่สามารถออกจากสถานที่แห่งนี้

แดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะเป็นการร่วมตัวของแดนศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก การป้องกันของมันเหนือกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป นอกจากนั้นยังมีค่ายกลวิญญาณที่กระทั่งร่างภูตผีของปู้เจิ้งซือก็ยังกลายเป็นไร้ประโยชน์

“บัดซบ! เราไม่มีผู้อมตะบนเส้นทางแห่งค่ายกล มิฉะนั้นเราอาจสามารถถอดรหัสค่ายกลวิญญาณนี้!” มู่หลิงหลานรู้สึกผิดหวัง

มีผู้อมตะหลากหลายเส้นทางร่วมเดินทางมาในครั้งนี้ แต่โชคไม่ดีที่พวกเขาติดอยู่ในอุโมงค์มิติและไม่มีผู้อมตะบนเส้นทางแห่งค่ายกลอยู่ในกลุ่มคนทั้งห้า

แม้ผู้อมตะทั้งห้าจะสามารถเอาชนะสนมผมฟ้า แต่ดวงวิญญาณของนางสามารถหลบหนีขณะที่พวกเขาติดอยู่บนยอดเขาที่เก้าและไม่สามารถปลดปล่อยตนเอง

“เราควรทำอย่างไร?” พวกเขามองหน้ากันและรู้สึกถึงแรงกดดัน

พวกเขาจะไม่กดดันได้อย่างไร?

นี่คือฐานทัพของศัตรู

ปีศาจอมตะเซี่ยหูเป็นผู้อมตะระดับแปดที่สามารถบดขยี้พวกเขาได้ด้วยนิ้วเดียว

“พวกท่านรู้สึกแปลกๆหรือไม่? เราอยู่ที่นี่มาระยะหนึ่งแล้วแต่กลับไม่มีผู้ใดปรากฏตัวออกมา” อวี๋อี้เย่ซือกล่าว

ผู้อมตะอีกสี่คนรู้สึกเช่นเดียวกัน

“มันแปลกจริงๆ เราบุกแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะและต่อสู้อย่างดุเดือดกับสนมผมฟ้า แต่นอกจากสนมผมฟ้ากลับไม่มีผู้ใดปรากฏตัวขึ้นอีก”

“การต่อสู้ระหว่างพวกเรากับสนมผมฟ้าไม่ใช่ระยะเวลาสั้นๆ แต่มันกลับไม่มีผู้ใดออกมาสนับสนุนนาง”

“ปีศาจอมตะเซี่ยหูไม่ปรากฏตัวอาจเป็นเพราะความภาคภูมิใจในฐานะผู้อมตะระดับแปด แต่ผู้อมตะคนอื่นๆควรจะออกมาปิดล้อมพวกเรา ไม่มีทางที่พวกเขาจะนิ่งเฉย!”

มู่หลิงหลาน ปู้เจิ้งซือ และอวี๋อี้เย่ซือไตร่ตรองเรื่องนี้และรู้สึกว่ามันแปลกมาก

เป็นเพียงเวลานี้ที่วิญญาณแห่งความรักปลดปล่อยกลิ่นอายอันทรงพลังของมันออกมาจากร่างของจ้าวเหลียนหยุน

กลิ่นอายนี้ทำให้การแสดงออกของผู้อมตะอีกสี่คนเปลี่ยนแปลงไป

“เป็นกลิ่นอายที่ทรงพลังนัก! นี่คือวิญญาณอมตะระดับเก้างั้นหรือ?”

“ข้าจำได้ กลิ่นอายนี้ปรากฏขึ้นในอุโมงค์มิติเช่นกัน”

“ดังนั้นมันก็ปกป้องพวกเรา!”

มู่หลิงหลาน อวี๋อี้เย่ซือ และซือเจิ้งอี้มองจ้าวเหลียนหยุนด้วยความตกตะลึง

อย่างไรก็ตามจ้าวเหลียนหยุนไม่สามารถควบคุมร่างกายของนางได้ ดวงตาของนางกลอกไปมา ขาของนางลอยขึ้นจากพื้น ขณะที่นางส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมาอย่างน่าขนลุก

“อย่ารบกวนนาง นี่คือพลังอำนาจของวิญญาณแห่งความรัก!”

“วิญญาณแห่งความรัก!”

“วิญญาณหลักของนิกายคฤหาสน์วิญญาณถูกนำมาที่นี่โดยจ้าวเหลียนหยุนจริงๆ!”

ผู้อมตะอีกสามคนตกใจมาก

ปู้เจิ้งซือเผยรอยยิ้มขมขื่นขณะอธิบายเรื่องราวให้คนที่เหลือฟัง

หลังจากไม่นานจ้าวเหลียนหยุนก็ตื่นขึ้น “ข้ารู้ความลับทั้งหมดของค่ายกลวิญญาณนี้แล้ว”

ผู้อมตะทั้งสี่มีความสุขมาก

“นี่คือพลังอำนาจของวิญญาณแห่งความรักงั้นหรือ?” ดวงตาของมู่หลิงหลานเบิกกว้างขึ้น

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า

“อธิบายให้พวกเราฟังเร็วเข้า!” ปู้เจิ้งซือกระตุ้น