[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]
บทที่ 572 : สั่งสอนเหล่าเพลย์บอย!
สายตาของเสี่ยวจี๋ที่ยังคงนั่งอยู่ที่พื้นนั้น กำลังจ้องมองหลิงหยุนที่เดินพาสาวงามทั้งสามเข้าไปในคลีนิค เขาไม่รู้สึกตัว และไม่รู้สึกเจ็บปวดที่ถูกถังเมิ่งเตะเข้า
“หมอนี่.. เวลาเห็นสาวสวยก็เป็นแบบนี้ทุกที ไม่รู้ว่าฉี่ราดด้วยเหรือเปล่า? นี่ถึงกับลุกไม่ขึ้นเลยหรือยังไง?”
ถังเมิ่งบ่นพึมพพำเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเสี่ยวจี๋ที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน เขาจึงเลิกสนใจเสี่ยวจี๋ และหันไปมองเจ้าหนูกับพี่เฟยที่กำลังยืนเขย่งจ้องมองไปทางคลินิกนิ่งเงียบ ถังเมิ่งยกมือขึ้นโบกไปมาอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มทั้งสสองพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“นี่.. ถ้ารู้ว่าพวกนายจะอาการหนักจนทำอะไรไม่ได้แบบนี้ ฉันจะไม่พาพวกนายมาให้เสียเวลาเลย!”
ถังเมิ่งรู้สึกอับอายอย่างมาก แต่วันนี้เป็นวันดีของหลิงหยุน เขาจึงไม่อยากโมโห และได้แต่อดกลั้นไว้
แต่แล้วจู่ๆ เสี่ยวจี๋ก็ลุกขึ้นพรวดพราด และวิ่งตรงดิ่งไปทางคลินิกราวกับคนคลุ้มคลั่ง แต่กลับถูกมือใหญ่ๆ ยื่นออกมาขวางไว้เสียก่อน
“นายเข้าไปข้างในไม่ได้!” ตี้เสี่ยวอู๋มองเสี่ยวจี๋ด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนักพร้อมกับร้องตะโกนห้าม
ตี้เสี่ยวอู๋ขึ้นเป็นหัวหน้าของแก๊งมังกรเขียวมาได้เดือนกว่าแล้ว และตอนนี้เขาก็กำลังรู้สึกโมโหอยู่บ้างเล็กน้อย ท่าทางของเขาจึงดุดันมากกว่าทุกครั้ง
“แกเป็นใคร? ถึงกล้ามาขวางทางฉัน!” เสี่ยวจี๋ร้องตะโกนเสียงดังโดยไม่สนใจว่าคนที่กำลังขวางทางเขาอยู่นั้นจะเป็นใคร
เพียะ!!
ตี้เสี่ยวอู๋ไม่พูดอะไรอีก เขาเดินเข้าไปใกล้เสี่ยวจี๋พร้อมกับยกมือขึ้นตบหน้าทันที แต่เพราะรู้ว่าเสี่ยวจี๋นั้นเป็นเพื่อนสนิทของถังเมิ่ง ตี้เสี่ยวอู๋จึงไม่ได้ออกแรงเต็มที่มากนัก แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้เสี่ยวจี๋ถึงกับหน้าหันได้
นอกเหนือจากถังเมิ่งและอาปิงแล้ว คนอื่นๆอีกสามคนต่างก็พากันตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น! เป็นไปได้อย่างไรที่เสือทั้งเจ็ดแห่งจิงฉูถูกเหยียบย่ำเช่นนี้?
พวกเขาต่างก็มีปฏิกิริยาตอบโต้ทันที และวิ่งตรงเข้าไปหาตี้เสี่ยวอู๋ด้วยความโมโห
“หยุด!”
ถังเมิ่งร้องตะโกนออกมาพร้อมกับวิ่งตรงเข้าไปขวางทางของทั้งสองฝ่ายไว้ ถังเมิ่งยกมือขึ้นชี้ไปทางเจ้าหนู พี่เฟย และเพื่อนคนอื่นๆ
“พวกนายอยากตายหรือยังไง? เขาคือหัวหน้าคนใหม่ของแก๊งมังกรเขียว!”
‘อะไรนะ?! หัวหน้าคนใหม่ของแก๊งมังกรเขียวงั้นเหรอ?! มิน่า.. ถึงได้ดูไม่เกรงกลัวใครเลย?’
คำว่า ‘แก๊งมังกรเขียว’ นั้น.. คนในเมืองจิงฉูส่วนใหญ่มักนำมาใช้ขู่เด็กๆให้หวาดกลัว
ถังเมิ่งได้แต่นึกโกรธตี้เสี่ยวอู๋ แต่ก็รีบร้องบอกเพื่อนอีกคนว่า “อาปิง.. นายพาทุกคนออกไปจากที่นี่ก่อน อีกประเดี๋ยวฉันจะโทรหานายเอง!”
แต่ระหว่างนั้นเสียงของตี้เสี่ยวอู๋ก็ดังขึ้น “บอกเพื่อนของนายให้ออกไปจากที่นี่ แล้วก็ไม่ต้องกลับเข้ามาอีก ฉันจะจัดการสั่งคนของฉันให้ไปที่โรงแรมแชงกรีล่าเอง!”
ตี้เสี่ยวอู๋ยกนิ้วชี้ไปทางเสี่ยวจี๋พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าหนู.. ฉันรู้ว่านายเป็นเพื่อนของถังเมิ่ง แล้วก็รู้ว่านายมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย มีเงิน มีอำนาจ แต่ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกนายจะมาแสดงอำนาจบารมี เพลย์บอยอย่างพวกนายยังห่างไกลจากฉันมาก!”
“การที่ถังเมิ่งพาพวกนายมาที่นี่ ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้พวกนายได้ทำความรู้จักกับพี่หยุน ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากกับตัวพวกนายเองในวันข้างหน้า แต่พวกนายกลับมาแสดงท่าทางหนุ่มเพลย์บอยเจ้าชู้ที่นี่!”
ตี้เสี่ยวอู๋ไม่สนใจชายหนุ่มทั้งห้าคนที่อยู่ตรงข้ามเขา สำหรับตี้เสี่ยวอู๋แล้ว ใครก็ตามที่กล้าเป็นปรปักษ์กับหลิงหยุน ก็เท่ากับเป็นศัตรูของเขาด้วยเช่นกัน และเขาก็จะไม่มีทางไว้หน้าด้วย
ถังเมิ่งถึงกับกระอักกระอ่วนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาคิดไม่ถึงว่าเสี่ยวจี๋จะกล้าแสดงท่าทางที่ไร้มารยาทเช่นนี้กับหญิงสาวที่อยู่รอบตัวหลิงหยุน
ตี้เสี่ยวอู๋พูดได้ถูกต้อง เพราะถังเมิ่งเล็งเห็นประโยชน์ในวันข้างหน้าของเพื่อนๆ จึงได้ดึงเพื่อนทั้งห้าคนของเขาให้เข้ามาอยู่ในวงจรของหลิงหยุน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะกลับกลายเป็นเช่นนี้
“ถังเมิ่ง.. นายเรียกพวกเราให้มาช่วยงาน หรือให้มาถูกซ้อมกันแน่?” เจ้าหนูจ้องมองถังเมิ่งพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างไม่พอใจ
เจ้าหนูนั้นไม่พอใจถังเมิ่งตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว และเมื่อต้องมาพบกับเหตุการณ์เช่นนี้อีก เขาจึงไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป
ถังเมิ่งมองเสี่ยวจี๋พร้อมกับพูดขึ้นว่า “แต่เสี่ยวจี๋เป็นคนที่ดื้อจะเดินตามพี่หยุนเข้าไปในคลินิกเอง ใครห้ามก็ไม่ฟัง เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด..”
เจ้าหนูเหลือบมองไปทางประตูคลินิกพร้อมกับร้องตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ “ก็แค่คลีนิคเล็กๆ ถ้าคนอย่างฉันอยากจะเปิดบ้าง บอกเลยว่าสามารถเปิดได้พร้อมกันสิบร้าน! แล้วคลินิกเล็กๆแค่นี้ ทำไมถึงเข้ายากเข้าเย็นยิ่งกว่าพื้นที่วอร์โซน (War Zone) สีแดงเสียอีก?”
ขณะที่ถังเมิ่งกำลังจะอ้าปากตอบโต้ เสียงของหลิงหยุนก็ดังเข้ามากระทบหูของเขา “รีบๆไล่พวกเขากลับไป ที่นี่ต้องการความสงบ! ไว้ฉันจะคิดบัญชีกับนายทีหลัง!”
ถังเมิ่งเห็นว่าหลิงหยุนเริ่มโกรธจริงๆ และรู้ว่าคงยากที่ควบคุมสถานการณ์ได้ จึงรีบส่ายหน้าแล้วก็พูดออกไปว่า
“พวกนายรีบไปจากที่นี่กันก่อนจะดีกว่า ถ้าไม่อยากโชคร้าย!”
ความตั้งใจดีของถังเมิ่งกลับนำความเดือดร้อนมาสู่ตัวเอง นี่เท่ากับว่าเขาแกว่งเท้าหาเสี้ยนแท้ๆ ถังเมิ่งประเมินเพื่อนๆของเขาต่ำไปจริงๆ
อาปิงที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด และรู้ดีว่าเสี่ยวจี๋เป็นฝ่ายผิด เขาไม่ต้องการให้ถังเมิ่งต้องลำบากใจ จึงรีบเดินออกมาข้างหน้าและพูดขึ้นว่า
“พวกเรากลับกันก่อนดีกว่า ไว้ค่อยคุยกันวันหลัง!”
แม้แต่หัวหน้าแก๊งมังกรเขียวยังต้องขับรถไปรับคนของหลิงหยุนด้วยตัวเอง แทบไม่ต้องคิดว่าหลิงหยุนจะมีอำนาจมากเพียงใด หากพวกเขายังคงดื้อดึงจะหาเรื่องอยู่ที่นี่อีก คงไม่ต่างจากการชักนำความโชคร้ายให้กับตนเองหรือ?
เสี่ยวจี๋ยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าที่บวมเปล่งของตนเองพร้อมกับจ้องมองตี้เสี่ยวอู๋อยู่นาน ในที่สุดก็ทำเสียงฟึดฟัด และเดินกลับไปที่รถทันทีโดยไม่รอใคร
เมื่อเห็นว่าเพื่อนทั้งห้าคนของเขายอมกลับออกไป ถังเมิ่งก็ถึงกับถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกก่อนจะพึมพำว่า
“ซวยชิบหาย! ทำไมฉันโชคร้ายอย่างนี้วะ!”
ตี้เสี่ยวอู๋ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เป็นความคิดของนายเองจะโทษใครได้! เท่าที่ฉันเห็น.. นอกจากอาปิงแล้วคนอื่นๆใช้การไม่ได้เลย!”
“และถ้ามันกล้าก้าวร้าวต่อหน้าพี่หยุนล่ะก็ รับรองว่าฉันจัดการให้มันไปนอนโรงพยาบาลสักสองเดือนแน่ นั่นนับว่าเป็นการลงโทษที่เบามากแล้วนะ!”
ตี้เสี่ยวอู๋มองถามเมิ่งเป็นการเตือน “นายเองก็เหมือนกัน.. ระวังตัวไว้ให้ดี! พี่หยุนจะมาคิดบัญชีกับนายแน่!”
จากนั้นตี้เสี่ยวอู๋ก็ไม่สนใจถังเมิ่งอีก..
ถังเมิ่งบนพึมพำ “พวกเขาเป็นเพื่อนซี้ของฉันที่ตั้งใจจะพามาช่วยงาน! อย่างน้อยนายก็น่าจะไว้หน้าฉันบ้าง! ไม่เห็นต้องทำรุนแรงแบบนี้เลย!”
ตี้เสี่ยวอู๋ยกมือขึ้นชี้ไปทางด้านหลังของตนเองพร้อมกับตอบถังเมิ่งไปว่า “พี่หยุนต่างหากที่เป็นคนสั่งให้ฉันตบหน้าเพื่อนนาย!”
ถังเมิ่งถึงกับอึ้งไป และพูดอะไรไม่ออกอีก..
ทุกครั้งที่เสี่ยวจี๋เห็นผู้หญิงสวยๆ ก็มักจะมีอาการเช่นนี้ และครั้งนี้เขาก็ดันชนกับตอเข้าเต็มๆ หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นเพื่อนกับถังเมิ่งแล้วล่ะก็ คงจะต้องโดนตี้เสี่ยวอู๋เล่นงานหนักกว่านี้แน่
………………
ที่ชั้นสองของคลินิกสามัญชน..
“น้ำชาค่ะ..”
เหยาลู่นับว่าเฉลียวฉลาดนัก เธอรีบจัดการรินน้ำชาให้กับฉินตงเฉี่วย และกลับไปยืนนิ่งๆ บรรยากาศภายในห้องเงียบจนเธอแทบไม่กล้าหายใจ
หนิงหลิงยู่ยิ้มให้กับเหยาลู่พร้อมกับพูดให้เธอผ่อนคลาย “พี่เหยาลู่.. ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นก็ได้ นั่งลงก่อนค่ะ..”
ฉินตงเฉี่วยนั่งอยู่บนโซฟาจ้องอมองหลิงหยุนที่สวมเสื้อกราวน์สีขาวแล้วก็ได้แต่นึกขำ จึงได้พูดขึ้นว่า
“เจ้าเด็กดื้อ.. คิดไม่ถึงจริงๆว่าจะได้เห็นเจ้าสวมเสื้อกราวน์สีขาวแบบนี้!”
หลิงหยุนที่ยืนหันหน้าไปทางหน้าต่าง รีบยกมือขึ้นทำท่าทางปัดฝุ่นที่เสื้อผ้า แล้วพูดกับฉินตงเฉี่วยด้วยน้ำเสียงและท่าทางจริงจัง
“น้าหญิง.. ท่านอยู่ที่นี่ต้องเรียกข้าว่า – คุณหมอหลิง!”
เมื่อฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่ได้ยินก็ถึงกับหัวเราะคิกคัก จากนั้นฉินตงเฉี่วยก็ทำเสียงดุ และหน้าตาขึงขัง
“เจ้าเด็กดื้อ.. กล้าพูดจาแบบนี้กับข้า กลับไปบ้านดูว่าข้าจะจัดการกับเจ้ายังไง?”
หลิงหยุนเดินไปนั่งลงข้างฉินตงเฉี่วย พร้อมกับยกมือเกาศรีษะและพูดยิ้มๆ “น้าหญิง.. ที่นี่เป็นคลินิกของข้า ท่านก็ให้หน้าข้าหน่อยไม่ได้หรือยังไง?!”
“ได้ๆ.. ข้าจะให้หน้าเจ้า – คุณหมอหลิง!” ฉินตงเฉี่วยพูดอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส
สองสามนาทีต่อมา หลิงหยุนสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวภายนอก จึงใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดู และรีบลุกขึ้นทันที
“น้าหญิง.. แขกทยอยมากันแล้ว ข้าจะออกไปต้อนรับก่อน!”
ฉินตงเฉี่วยโบกมือพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไปเถอะ.. ไม่ต้องมาคอยดูแลข้าที่นี่หรอก!”
หลิงหยุนวิ่งลงจากชั้นสอง และรีบตรงไปที่หน้าคลินิกอีกครั้ง และครั้งนี้.. คนที่มาคือฉางหลิง เหลียงเฟิงอี้ และนักข่าวท้องถิ่นคนสวยที่ชื่อซูหลิงเฟย!
“หลิงหยุน..”
เมื่อฉางหลิงเห็นหลิงหยุนเดินออกมาจากคลีนิค เธอก็รีบผละออกจากถังเมิ่งที่กำลังคุยกับเธอ และวิ่งตรงไปหาหลิงหยุนทันที
หลิงหยุนมองฉางหลิงและได้แต่พูดขึ้นว่า “ผมบอกไม่ให้คุณมายังไงล่ะ? เรื่องการสอบเอนทรานซ์สำคัญกว่า..”
ฉางหลิงกัดริมฝีปากพร้อมกับตำหนิหลิงหยุน “ก็วันนี้เป็นวันเปิดคลินิกของนาย ใครจะมีกะจิตกะใจไปนั่งเรียน..”
ฉางหลิงจึงลาหยุดหนึ่งวัน และมาพร้อมกับเหลียงเฟิงอี้กับซูหลิงเฟย
ตอนนี้เหลียงเฟิงอี้เองก็อาศัยอยู่ที่บ้านของฉางหลิง และคอยสอบถามเรื่องคลีนิคของหลิงหยุนจากฉางหลิงอยู่เสมอ เมื่อทราบว่าหลิงหยุนจะเปิดคลีนิคในวันเสาร์ซึ่งเป็นวันที่ซูหลิงเฟยไม่ต้องทำงานพอดี จึงชวนกันมาร่วมแสดงความยินดีกับหลิงหยุนในวันนี้
“นี่หลิงหยุน.. เธอเปิดคลีนิคทั้งทีทำไมถึงไม่โทรบอกกล่าวฉันบ้าง?!”
เหลียงเฟิงอี้ที่สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้า กระโปรงสีขาว ดูงดงามมีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่นั้น เมื่อพบหน้าหลิงหยุนจึงเอ่ยถามขึ้นมา
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ผมเห็นว่าพวกคุณทั้งสองคน.. คนหนึ่งเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลประจำมณฑล อีกคนก็เป็นนักข่าวคนสวยของสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น ก็คงต้องมีงานยุ่งเป็นปกติอยู่แล้ว ผมเปิดแค่คลินิกเล็กๆ มีหรือที่จะกล้ารบกวนพวกคุณทั้งสองคน?!”
ซูหลิงเฟยได้ฟัง.. ก็ได้แต่ยิ้มให้กับความช่างพูดช่างเจรจาของหลิงหยุน
“พวกเราเข้าไปดูคลีนิคสามัญชนของคุณหมอหลิงกันดีกว่าว่าเป็นยังไงบ้าง?”
เหลียงเฟิงอี้พูดพร้อมกับเดินนำเข้าไปในคลีนิคสามัญชนของหลิงหยุน