บทที่ 540 ประตูสวรรค์
บทที่ 540 ประตูสวรรค์
“สถานการณ์ที่นี่เป็นยังไงบ้าง?”
เซียวเฟิงกลับมาเจอหลิวเฉียงเหว่ยอยู่ที่โถงหลักเมืองแห่งความโศกเศร้า เข้าไม่รอช้าที่จะถามสถานการณ์จากเธอ
“มาแล้วเหรอ”
หลิวเฉียงเหว่ยที่กำลังสั่งงานบางอย่างอยู่ในช่องแชตกิลด์ เมื่อเธอหันมาเห็นเซียวเฟิงเดินเข้ามา นางฟ้าในคราบมนุษย์ก็รีบตอบปิดงานอย่างง่าย ๆ กับปลายทางแล้วเดินเข้าไปหาเซียวเฟิงทันที
“นี่เพิ่งจะ 12 ชั่วโมงแรกเอง เพราะงั้นสถานการณ์น่ะ ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอก ไม่มีปัญหาอะไรใหญ่โต มีขาดแคลนอุปกรณ์บ้างนิดหน่อย แต่ฉันเบิกไว้แล้ว อีกไม่นานคงจะเติมเต็มกันเหมือนเดิม” หลิวเฉียงเหว่ยดูจะเหนื่อยกว่าปกติเล็กน้อย ร่างอันนุ่มนิ่มของเธอเอนซบลงไปที่อกของเซียวเฟิงอย่างแผ่วเบา ยังไงเสียภายในโถงปราสาทแห่งนี้ก็มีเพียงผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นถึงจะเข้ามาได้ ดังนั้นเธอจึงไม่เกรงกลัวว่าจะมีใครมาเห็นภาพเช่นนี้
“ฉันเพิ่งกลับมาจากเมืองจักรวรรดิ แล้วก็ได้ยินมาว่ามันมีปัญหาที่แนวหลังกับสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดีทางฝั่งกางเขนเหล็กด้วย” เซียวเฟิงสามารถรู้สึกได้ถึงส่วนเว้าส่วนโค้งบนร่างกายของหลิวเฉียงเหว่ยได้อย่างชัดเจน มันนุ่มและอุ่น แถมเขายังสามารถได้กลิ่นหอมเย้ายวนใจจากเธอด้วย กลิ่นหอมที่เสมือนว่าตัวเขาอยู่ในสวนกล้วยไม้ ทว่ามันก็ไม่ได้ทำให้เซียวเฟิงเคลิบเคลิ้มแต่อย่างใด เขาเลือกที่จะถามสิ่งที่สงสัยออกมาแทน
“ปัญหาที่แนวหลังก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรขนาดนั้น ผู้เล่นพวกนั้นโจมตีเมืองแห่งความโศกเศร้าจากภายใน แน่นอนว่าผู้เล่นไม่สามารถหยุดผู้เล่นด้วยกันเองได้ แต่ผู้คุ้มกัน NPC หยุดพวกเขาได้ เพราะงั้นพวกเขาเลยทำไม่สำเร็จ NPC ของเมืองแห่งความโศกเศร้าน่ะ แข็งแกร่งเกินไป ฉันเดาได้เลยว่าพวกเขาไม่กล้าทำแบบเดิมอีกเป็นครั้งที่สองแน่”
หลิวเฉียงเหว่ยทำให้เซียวเฟิงขมวดคิ้วตั้งแต่ที่เธอเอ่ยปากออกมา เขาไม่คาดคิดเลยว่าพวกที่สรรเสริญชาวต่างชาตินั่นจะกล้าตั้งก๊วนเข้าโจมตีเมืองแห่งความโศกเศร้าเช่นนี้
เมืองแห่งความโศกเศร้านั้นเป็นเมืองหลักอันดับ 2 ความแข็งแกร่งทหารรักษาการณ์ประจำเมืองนี้ เหนือกว่าเมืองหลักระดับที่ 3 ของผู้เล่นกิลด์อื่น ๆ อยู่มากนัก
ในโลกของมิธ อาคารและสิ่งปลูกสร้างของเมืองหลักที่ระบบสร้างให้นั้นถือเป็นอมตะไม่สามารถถูกทำลายได้ หากแต่เป็นสิ่งปลูกสร้างภายในเมืองหลักของผู้เล่นนั้นไม่ได้มีกฎห้ามทำลายถูกตั้งไว้ มันสามารถถูกทำลายได้แม้จะไม่มีการประกาศสงครามเสียด้วยซ้ำ
“อย่าประมาทเชียว ต่อให้พวกนั้นจะทำอะไรเมืองแห่งความโศกเศร้าไม่ได้ แต่เมืองหลักเมืองอื่นก็ไม่แน่ อย่างเมืองของมิดซัมเมอร์ ถ้ายังไงเธอเรียกอัศวินมังกรทองไปที่เมืองมิดซัมเมอร์ก็ได้” เซียวเฟิงพูด
เมืองมิดซัมเมอร์นั้นมีเพียง NPC ผู้คุ้มกันเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั่ว ๆ ไปเท่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับผู้คุ้มกันหลวงของเมืองแห่งความโศกเศร้า ระดับของผู้คุ้มกันเหล่านี้ก็ต่างกันถึงหนึ่งขั้นเลย
นอกจากนั้น ในฐานะที่เป็นเมืองหลักระดับ 3 จำนวนผู้คุ้มกันที่สามารถจ้างได้นั้นน้อยกว่าเมืองหลักระดับ 2 มากเอาการ
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่แค่เหตุผลสองข้อที่กล่าวมาเบื้องต้น แต่มันคือเรื่องที่ว่าตัวหลิวเฉียงเหว่ยนั้นยังมีเลเวลไม่ถึง 50 ดังนั้นเธอจึงยังไม่สามารถเปลี่ยนเป็นคลาส 3 ได้ ด้วยเหตุนี้มันเลยทำให้ผู้คุ้มกันที่เมืองมิดซัมเมอร์จ้างได้นั้น สูงสุดเพียงระดับ 2 เท่านั้น สิ่งนี้ถือว่าทำให้การป้องกันเมืองมีระดับต่ำกว่าที่ควรอยู่มากมายเลยทีเดียว
ความห่างชั้นกันของพลังต่อสู้ระหว่างเลเวล 49 และ 50 ถ้าพูดกันตามตรงอย่างน้อย ๆ ก็มีสองเท่าเลย
เพราะงั้นแล้วจึงถือได้ว่า การป้องกันของเมืองมิดซัมเมอร์นั้นไม่แข็งแรงพอ หากมีผู้เล่นตั้งทัพกันเข้าโจมตีล่ะก็ ตัวเมืองจะได้รับความเสียหายอย่างมากแน่นอน เพราะในระดับของเลเวลผู้เล่นตอนนี้ ผนวกกับอาวุธและอุปกรณ์ ลำพังเพียง NPC ระดับ 2 นั้นไม่เพียงพอต่อการป้องกันการโจมตีได้มากขนาดนั้น แล้วยิ่งเป็น NPC ที่มีเลเวลไม่ถึง 50 ด้วย ยิ่งไม่ใช่เรื่องยากในการกำจัดเลย
แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยกฎของสงครามระหว่างเขตแดน ทำให้ผู้เล่นในเขตเดียวกันไม่สามารถโจมตีกันเองได้ เพราะงั้นต่อให้มีการโจมตีเมืองมิดซัมเมอร์โดยผู้เล่นจริง ๆ สมาชิกกิลด์มิดซัมเมอร์ก็ไม่สามารถหยุดพวกเขาได้ ยังไงพวกเขาก็ต้องพึ่ง NPC ในการป้องกันปกป้องเมือง
ความคิดที่เซียวเฟิงเสนอนั้น ก็คือการส่งเทพพิทักษ์ประจำเมืองแห่งความโศกเศร้าที่เป็นอัศวินมังกรทองไปช่วยมิดซัมเมอร์ เพราะความสามารถพิเศษของอัศวินมังกรทองคือ ตัวอัศวินทองคำและมังกรทองคำ มีสกิลสายสัมพันธ์ผู้พิทักษ์ ตราบใดก็ตามที่มีตนหนึ่งอยู่ในเมืองแห่งความโศกเศร้า อีกตนหนึ่งจะสามารถไปไหนก็ได้ จะไปสู้ก็ได้ และในฐานะที่เป็นเทพพิทักษ์ที่มีคุณสมบัติแบบผู้คุ้มกัน NPC ดังนั้นมันจึงสามารถโจมตีผู้บุกรุกได้ด้วย
ส่วนเหตุผลที่เขาเลือกจะส่งอัศวินทองคำไปแทนที่จะเป็นมังกรทองคำ นั่นก็ง่ายมาก เพราะมังกรทองคำมีขนาดตัวใหญ่เกินไป ขนาดตัวของมันใหญ่กว่าเมืองมิดซัมเมอร์เสียอีก เพราะงั้นมันจึงไม่สามารถเข้าไปอยู่ในเมืองได้ มันจะเป็นผลดีกว่าหากไม่ติดกฎอีเวนต์ในแง่การจัดการกับผู้เล่นที่เหลี่ยมจัดเช่นนี้
“ไม่เอา ฉันวางแผนจะใช้เทพพิทักษ์ของเมืองแห่งความโศกเศร้ากับอย่างอื่นแล้ว นั่นคือการส่งมังกรทองคำไปสนับสนุนเส้นทางข้ามเขตแดนทางฝั่งของกางเขนเหล็กน่ะ” หลิวเฉียงเหว่ยส่ายหน้า
แผนที่ว่าของหลิวเฉียงเหว่ย ทำให้เซียวเฟิงพยักหน้ายอมรับได้ เพราะมังกรทองคำถือเป็นบอสระดับตำนาน ผนวกกับขนาดที่มหึมา มีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมพื้นที่ในวงกว้าง เช่นนั้นแล้วการส่งมันไปยังเส้นทางข้ามเขตแดน ไม่ต่างอะไรกับการส่งอาวุธชีวภาพที่มีพลังทำลายล้างระดับสูงไปคอยคุ้มกัน อย่างน้อย ๆ เพียงการตะปบเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้ผู้คนมากมายหลายพันสามารถล้มตายได้เลย ดังนั้นแล้วตอนนี้สถานการณ์ทางกางเขนเหล็กจึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว
“แล้วเมืองมิดซัมเมอร์จะทำยังไง?” เซียวเฟิงถามต่อ
“โอกาสที่เมืองมิดซัมเมอร์จะตกเป็นเป้าหมายโจมตีนั้นไม่ได้มีมากเท่ากับเมืองอื่นซักเท่าไหร่ เพราะฉันไม่ได้เปิดจุดเทเลพอร์ตจากนอกเมืองเอาไว้ ไม่เหมือนกับเมืองแห่งความโศกเศร้า เพราะงั้นแค่เพิ่มความแข็งแกร่งของ NPC ผู้คุ้มกันก็ได้อยู่ แค่นี้ก็น่าจะเอาอยู่แล้วล่ะ” หลิวเฉียงเหว่ยอธิบาย
“เธอตั้งใจจะไปจ้างทหารที่แข็งแกร่งขึ้นเหรอ? ถ้างั้นเดี๋ยวฉันพาเธอไปนครศักดิ์สิทธิ์แล้วไปจ้างผู้คุ้มกันแบบเดียวกับที่เมืองแห่งความโศกเศร้าจ้างมาก็ได้” ได้ยินดังนั้น เซียวเฟิงก็เสนอวิธี
“ค่าจ้างของผู้คุ้มกันในเมืองแห่งความโศกเศร้ามันแพงเกินไป แต่นั่นก็เพราะว่าเมืองแห่งความโศกเศร้าสามารถหาค่าจ้างระดับนั้นได้ แต่ฉันไม่กล้าจะเอาเงินทุนของกิลด์มาลงกับเรื่องนี้มากนักหรอก ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันไปรีบเก็บเลเวลให้ถึง 50 แล้วค่อยจ้างผู้คุ้มกัน NPC ระดับ 3 จะดีกว่า ลำพังแค่พลังระดับนี้ไม่น่าจะมีปัญหาแล้ว”
หลิวเฉียงเหว่ยรีบปฏิเสธ แม้ว่าผู้คุ้มกัน NPC ของเมืองแห่งความโศกเศร้านั้นจะแข็งแกร่งหรือดีขนาดไหนก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นไปตามกลไกราคา ยิ่งจ่ายมากก็ยิ่งได้มาก แล้วยิ่งผู้คุ้มกัน NPC ที่แต่ละคนสวมชุดเกราะสีทองอร่ามตานั้นมองจากไกล ๆ ก็รู้ว่าค่าจ้างพวกเขาต้องสูงมากแน่ ๆ
เพราะงั้นกิลด์ทั่ว ๆ ไปจึงไม่คิดที่จะจ้างเลย เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะมีเงินมากมายล้นฟ้าหรือมีธุรกิจขนาดใหญ่หนุนหลังอยู่เท่านั้นถึงจะกล้าแบกค่าจ้างที่สูงเสียดฟ้านี้ได้
“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นฉันจะพาเธอไปเก็บเลเวลให้ถึง 50 ก่อนก็แล้วกัน” เซียวเฟิงคิดตามแล้วพยักหน้าเข้าใจ
“โอเค” หลิวเฉียงเหว่ยตอบรับ จริง ๆ เธอก็วางแผนแบบนี้ไว้อยู่แล้ว ในฐานะที่เธอมีคลาสเป็นนักบวช เธอไม่มีทางเก็บเลเวลด้วยตนเองได้อยู่แน่นอน แล้วยิ่งการที่เธอเป็นหัวหน้ากิลด์ด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้เธอไม่จำเป็นต้องไปสู้กับบอสด้วยตนเองเข้าไปใหญ่ ตามปกติแล้วเธอควรจะตามลูกกิลด์ระดับสูงของตนเองไปเพื่อให้ตนได้รับค่าประสบการณ์ไปด้วย แต่เพราะพักหลังมานี้เธอค่อนข้างที่จะยุ่งมาก ๆ เพราะงั้นเลยทำให้เธอมีเวลาไปเก็บเลเวลน้อยมาก ๆ
ด้วยเหตุนี้ ทางที่ดีที่สุดสำหรับการเก็บเลเวลในเวลานี้ ก็คือไปกับเซียวเฟิง เพราะด้วยศักยภาพของเซียวเฟิง การเลเวลอัปนั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอเลย
“แน่นอนว่าเธอจะไปดูสถานการณ์ที่เส้นทางข้ามเขตแดนฝั่งกางเขนเหล็กได้ด้วย เพราะงั้นไปกันเถอะ”
เซียวเฟิงอัญเชิญเสี่ยวเสวียออกมาในโถงปราสาท
“โอเค”
เทพธิดาอันดับ 1 ของเขตฮัวเซียขึ้นไปนั่งด้านหลังเซียวเฟิง เธอโอบเอวเขาไว้และค่อย ๆ แนบหน้าลงไปกับแผ่นหลังของเขาอย่างแผ่วเบา
เพราะที่เส้นทางข้ามเขตแดนแต่ละแห่งถูกทิ้งตราอวกาศเอาไว้แล้ว ดังนั้นเซียวเฟิงจึงสะดวกสบายมาก ๆ ยามที่ต้องเคลื่อนย้ายไปยังเส้นทางเหล่านี้อย่างรวดเร็ว เพราะงี้เซียวเฟิงจึงไม่ได้รีบร้อนอะไรนัก ยามที่เขาสั่งใช้งานพลังของแหวนอวกาศ ร่างของหลิวเฉียงเหว่ยและเขาก็หายไปจากโถงปราสาทอย่างไร้ร่องรอย
ครืน!!!
เสียงที่คุ้นเคยดังแทรกเข้ามาทันทีเมื่อทั้งสองมาปรากฏตัวอีกครั้งเหนือสนามรบใกล้บริเวณเส้นทางข้ามเขตแดนที่กางเขนเหล็กดูแลอยู่ ใช่แล้ว ข้างล่างกำลังปะทะกันอย่างดุเดือด
โชคยังดีที่ทั้งเซียวเฟิงและหลิวเฉียงเหว่ยคุ้นชินกับภาพเหล่านี้อยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงยังสามารถใจเย็นอยู่ได้
“งั้นฉันสร้างปาร์ตี้ก่อนก็แล้วกัน”
เซียวเฟิงส่งคำขอเชิญเข้าปาร์ตี้ให้หลิวเฉียงเหว่ย ซึ่งเขาจะได้แบ่งค่าประสบการณ์กับเธอได้ ไม่ว่าจะประสบการณ์จากการสังหารผู้เล่นหรือมอนสเตอร์ก็ตาม
“ไม่ใช่ว่าสกิลพื้นที่ของนายใช้ทำลายล้างเขตอเมริกาเหนือไปหมดแล้วเหรอ? สกิลของเสี่ยวไป๋เองก็ด้วย นายจะเก็บค่าประสบการณ์ด้วยวิธีไหนน่ะ?”
ชัดเจนเลยว่าหลิวเฉียงเหว่ยเองก็ยังคงเป็นห่วงเซียวเฟิงอยู่ ไม่ว่าจะสังเกตได้จากเลเวลของเขาในอันดับเลเวล หรือจากข่าวที่ส่งต่อกันมาว่าเซียวเฟิงได้ใช้สกิลระดับตำนานทั้งสองลงไปในเขตอเมริกาเหนือไปแล้ว เพราะงั้นหลังจากที่จับปาร์ตี้กันแล้ว เธอจึงอดถามเขาไปด้วยความสงสัยไม่ได้
“ใครบอกเธอว่าฉันมีสกิลแค่นั้นน่ะ?”
ชายหนุ่มยิ้มจาง ๆ ขณะที่สายตาจับจ้องอยู่กับสนามรบเบื้องล่าง กลุ่มคนที่มีจำนวนมหาศาลจนเหมือนกลุ่มก้อนดำ ๆ กำลังเคลื่อนไหวกันเป็นระลอกนั้นถือเป็นเป้าหมายชั้นยอด เซียวเฟิงยกค้อนแห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเหนือหัว
เทวาธิปไตย – ประตูสวรรค์!
นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวเฟิงได้ทดลองใช้สกิลนี้ แถมเขายังไม่เคยเห็นเทวทูตแห่งพลังใช้มันมาก่อนด้วย เพราะงั้นนี่เป็นครั้งแรกของทุกสิ่งที่เซียวเฟิงจะได้รับรู้จากสกิลระดับตำนานนี้!
เคร้ง!
เสียงระฆังแห่งสวรรค์ดังกังวานก้องฟ้าไม่ต่างจากสกิลอื่น ๆ แสงสีทองที่ส่องผ่านลงมาจากบนฟากฟ้าเองก็เช่นกัน ยามที่แสงทองอาบชโลมโลก ผู้เล่นนับไม่ถ้วนที่กำลังสู้รบกันอยู่ก็พากันหยุดและแหงนหน้าขึ้นมามองกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
ทว่า…เสียงระฆังสวรรค์นั้นไม่ได้ดังเพียงครั้งเดียวแล้วหยุดไป มันดังอย่างต่อเนื่องและตามมาด้วยเสียงแตรและกลองราวกับกำลังบรรเลงเพลงศึก!
ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็แยกออกแต่คราวนี้ไม่ได้มีหอกศักดิ์สิทธิ์พุ่งลงมา กลับกันมันแหวกออกแล้วกลายเป็นรูโหว่อยู่ที่กลางฟ้า!
ใช่แล้ว ต้นกำเนิดของแสงสีทองมาจากรูโหว่บนท้องฟ้านี้ มองจากระยะไกลมันมีสภาพเหมือนดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่างเรืองรองจนผู้เล่นไม่สามารถสบตามองตรง ๆ ได้ว่าภายในรูนั้นมีอะไรอยู่
แต่ไม่กี่อึดใจ ร่าง ๆ หนึ่งก็เริ่มเดินออกมาให้เห็นจากในรูโหว่บนฟากฟ้านั้น ราวกับว่าเขาเดินทางมาจากที่อันแสนไกลและลงมาสถิตย์ยังโลกนี้!
และคนคนนี้มีสองปีก! เขาคือเทวทูต!
เพียงแค่มองผ่าน ๆ เซียวเฟิงก็รู้สึกคุ้นเคยมาก ๆ เขาเหมือนเสี่ยวไป๋เมื่อครั้งยังเป็นเทวทูตที่มีสองปี แต่สิ่งนี้ดูจะมีอายุมากกว่า
สิ่งที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด น่าจะเป็นสีหน้าของเทวทูตสองปีกตนนี้ ที่มันนิ่งไร้ความรู้สึกเหมือนเสี่ยวไป๋โหมดต่อสู้จนเซียวเฟิงยังต้องขมวดคิ้ว มันดูเย็นชา เลือดเย็น และไม่แยแส ราวกับเป็นเครื่องจักรที่ไร้อารมณ์ และเป็นไปได้ว่าพวกเขาไม่มีแม้กระทั่งสติปัญญาด้วยซ้ำไป…
เทวทูตสองปีกตนนี้ ไม่ต่างอะไรกับเครื่องจักรสังหาร ไม่แม้แต่จะเหลียวมองเซียวเฟิงด้วยซ้ำไป ยามที่ปีกโบกสะบัด ร่างนั้นก็เพียงมุ่งลงไปยังสมรภูมิเบื้องล่างในชั่วพริบตา!
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
อย่างไรก็ตาม เทวทูตสองปีกตนนี้ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เสียงของระฆังสวรรค์ยังดังต่อเนื่องไม่หยุด แถมยังดังถี่ขึ้นด้วย เช่นเดียวกับเสียงรัวกลอง เสียงเหล่านี้กำลังเรียกหาบางสิ่งบางอย่างอยู่ และสิ่งนั้นก็ดูจะเป็นเครื่องจักรสังหารที่ไร้ความรู้สึกนี้ พวกเขาออกมาตนแล้วตนเล่าจากรูโหว่บนท้องฟ้า แต่ละตนที่ออกมาก็พากันมุ่งหน้าไปยังสนามรบอย่างไม่รีรอ!
“นี่มัน…สกิลระดับตำนานสกิลใหม่เหรอ?!” ดวงตาที่งดงามของหลิวเฉียงเหว่ยดูสับสนเล็กน้อย ขณะที่ริมฝีปากบางยังคงอ้าค้าง แสดงอาการตกตะลึงอยู่ภายใต้ผ้าบางที่ปิดบังใบหน้า เธอมองไปยังรูบนท้องฟ้า สลับกับสิ่งที่ออกมาทีละตน ๆ มองพวกเขาเข้าสู่สมรภูมิโดยไม่หันเหต่อสิ่งใด
พลันเมื่อเธอใช้ทักษะตรวจสอบ หลิวเฉียงเหว่ยก็พบว่า ระดับต่ำสุดของเทวทูตสองปีกเหล่านี้ก็คือระดับทอง ในขณะที่จำนวนของมันมีมากจนนับไม่ถ้วน!
ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งออกมาจากรูบนท้องฟ้าเร็วขึ้น ๆ ไปอีก!
ด้วยพลังที่น่ากลัวนี้ หลิวเฉียงเหว่ยจึงเดาไว้ทันทีว่ามันต้องเป็นสกิลระดับตำนานสกิลใหม่แน่ ๆ!
“ใช่แล้ว”
เซียวเฟิงพยักหน้าและมองไปยังสนามรบเช่นกัน ตอนนี้เขาเลเวล 66 มีค่าจิตอยู่ที่ 3,250 หน่วย นั่นหมายถึง เขาสามารถอัญเชิญเทวทูตสังหารเหล่านี้ได้มากถึง 3,250 ตน!
แถมยังเปิดประตูสวรรค์นี้ค้างไว้ได้นานถึง 325 นาที หรือ มากกว่า 5 ชั่วโมงเสียอีก! ช่างน่ากลัวจริง ๆ!
เลเวลของเทวทูตสังหารเหล่านี้จะสูงเทียบเท่าเซียวเฟิง ดังนั้นยามที่พวกเขาเข้าสู่สนามรบ มันจึงไม่ต่างอะไรจากหมาป่าที่หลุดเข้าไปในฟาร์มลูกแกะ เพียงไม่นาน ค่าประสบการณ์ของเซียวเฟิงก็พุ่งขึ้นรัว ๆ อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องทันที!