บทที่ 329 ความช่วยเหลือที่มาถึงอย่างไม่คาดฝัน
มี่หรู่หยานไม่รู้ว่าบุคคลที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านี้เป็นใครกันแน่
แต่นางรับรู้ได้ถึงรังสีอันตรายที่แผ่ออกมาจากตัวของเขา
ทว่า เมื่อหลินเป่ยเฉินหายจากอาการตกตะลึง เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ปรากฏว่าเป็นเฒ่าทะเลนั่นเอง
“อาจารย์จำได้อย่างไรขอรับ?”
เด็กหนุ่มในร่างหญิงสาวถามด้วยความสงสัย
นั่นคือสิ่งที่เขาอยากรู้
หลินเป่ยเฉินอุตส่าห์ยอมลงทุนแต่งหญิงเต็มรูปแบบ แต่กลับถูกเฒ่าทะเลจดจำได้อย่างง่ายดาย มันช่างน่าเจ็บใจเหลือเกิน
หรือว่าชายชราจะมีดวงตาวิเศษสามารถมองเห็นร่างที่แท้จริงได้?
หลินเป่ยเฉินครุ่นคิดด้วยความสงสัย
“พลังลมปราณมัจฉากลายร่างเป็นมังกร”
เฒ่าทะเลตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
การโคจรพลังลมปราณด้วยวิชามัจฉากลายร่างเป็นมังกร จะทำให้พลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายมีรูปแบบที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ยิ่งไปกว่านั้นในเมืองหยุนเมิ่งแห่งนี้ นอกจากตัวของเฒ่าทะเลกับหลินเป่ยเฉินแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดใช้วิชานี้อีก
“ตามข้ามา”
เฒ่าทะเลเดินนำทาง
หลินเป่ยเฉินลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ตัดสินใจเชื่อใจชายชราและจูงมือมี่หรู่หยานเดินตามเขาไปในที่สุด
เฒ่าทะเลนำเด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองคนเดินอ้อมไปในเส้นทางที่วกวน ผ่านไปชั่ว 1 ก้านธูป พวกเขาก็มาถึงหน้าจวนหลังหนึ่งที่มีสถาปัตยกรรมแตกต่างจากอาคารบ้านเรือนโดยรอบ ชายชรายกมือเคาะประตูเล็กน้อย ก่อนที่จะผลักประตูเปิดเข้าไป
ด้านหลังประตูกลายเป็นทะเลสาบจำลองขนาดเล็ก
กลางทะเลสาบมีเกาะลอยน้ำหลายแห่งปรากฏอยู่ในสายตา
บนเกาะเหล่านั้นมีบ้านเรือนหน้าตาประหลาดเหมือนโพรงถ้ำถูกสร้างเอาไว้มากมาย
“ที่นี่คือที่ไหนกันขอรับ?” หลินเป่ยเฉินถามด้วยความเหลือเชื่อ
เขาเพิ่งจะรู้ว่าในเมืองหยุนเมิ่งมีสถานที่เช่นนี้อยู่ด้วย
“นี่คือพื้นที่ปกครองพิเศษของชาวเผ่าทะเลเจ้าค่ะ” มี่หรู่หยานแอบกระซิบบอกเขา
พื้นที่ปกครองพิเศษอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินยืนกะพริบตาปริบๆ เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
ในเมืองหยุนเมิ่งมีสถานที่เช่นนี้อยู่ได้อย่างไรกัน?
เด็กหนุ่มกวาดสายตามองรอบตัวอย่างระมัดระวังและพบว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ต่างก็เป็นชาวทะเลทั้งสิ้น และพวกเขาก็มีลักษณะเหมือนชาวทะเลที่อยู่บนเรือสินค้า ซึ่งหลินเป่ยเฉินเคยพบเห็นตอนที่ไปฝึกซ้อมก่อนการแข่งขัน ชาวทะเลมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ แต่หน้าตาและสีผิวมีความหลากหลายเหมือนสัตว์น้ำ นอกจากนั้นยังมีอวัยวะอื่นๆ ที่มนุษย์ไม่มีอย่างเช่นครีบและซี่เหงือกบริเวณข้างลำคอ
คาดการณ์ว่าชาวเผ่าทะเลคงเสียเงินไปไม่ใช่น้อย กว่าจะสร้างที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมสำหรับพวกเขาขึ้นมาได้อย่างนี้
หลินเป่ยเฉินชำเลืองมองไปที่ทะเลสาบด้วยความสงสัย ว่าน้ำที่อยู่ในนี้เป็นน้ำเค็มหรือน้ำจืดกันแน่?
แล้วเรือน้อยลําหนึ่งก็มารับพวกเขาเดินทางไปยังเกาะที่อยู่ใจกลางทะเลสาบ
ตลอดทาง ชาวทะเลที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำพากันปรากฏตัวขึ้นมาบนผิวน้ำ ยกมือขวาประทับลงไปที่หน้าอกบริเวณหัวใจ ค้อมศีรษะทำความเคารพเฒ่าทะเลด้วยความนอบน้อม
นี่แสดงให้เห็นว่าสถานะของชายชราไม่ต่ำต้อย
บนเกาะแห่งนั้นมีบ้านเรือนที่เหมือนโพรงถ้ำอยู่หลายหลัง
สีสันไม่สดใส อากาศเปียกชื้น เพียงเดินเข้าไปก็รู้สึกไม่สบายตัว
“นั่งก่อนสิ” เฒ่าทะเลชี้มือไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่งภายในบ้านพัก “ตกลงว่าเจ้ามาอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินตอบหน้าตาเฉยว่า “เป็นวิชาปลอมตัวน่ะขอรับ”
“นอกจากมีวิชาแบ่งปันพลังให้ผู้อื่นแล้ว เจ้ายังมีวิชาปลอมตัวด้วยหรือ?” เฒ่าทะเลยิ้มกริ่ม “นับว่าเจ้ามีความรู้กว้างขวางทีเดียวนะ แต่ช่างมันเถอะ เจ้าคงรู้ดีว่าบัดนี้เมืองหยุนเมิ่งไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยสำหรับเจ้าอีกแล้ว แม้แต่ทั้งจักรวรรดิเป่ยไห่ก็คงไม่มีใครต้อนรับเจ้า แล้วเจ้ายินดีที่จะพิจารณาข้อเสนอของข้าที่จะเข้าร่วมกับชาวทะเลหรือยัง?”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความประหลาดใจ “บัดนี้เมืองหยุนเมิ่งถูกปิดไม่ให้ผู้คนเข้าออก แล้วอาจารย์จะสามารถออกไปได้หรือขอรับ?”
เฒ่าทะเลหัวเราะเล็กน้อย “นั่นมันเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ต่อพวกผู้คนบนแผ่นดินใหญ่ แต่เราชาวทะเลได้รับสิทธิพิเศษ อย่าว่าแต่ผู้ตรวจการมณฑลจะมาสั่งห้ามเรา ต่อให้ผู้ว่าการมณฑลลงมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ก็ไม่สามารถหยุดพวกเราได้เด็ดขาด”
“ขนาดนั้นเชียวหรือขอรับ?” หลินเป่ยเฉินอุทานด้วยความไม่อยากเชื่อ
ก่อนหน้านี้เขาพอรู้มาบ้างว่าชาวเผ่าทะเลได้รับสิทธิพิเศษมากมาย โดยเฉพาะการเดินทางมาค้าขายบนแผ่นดินใหญ่ พวกเขาได้รับการละเว้นจากกฎหมายของจักรวรรดิเป่ยไห่หลายข้อ แต่ฟังจากน้ำเสียงของเฒ่าทะเลแล้ว หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างชาวเผ่าทะเลกับจักรวรรดิแห่งนี้ ไม่น่าธรรมดาอย่างที่เคยเข้าใจเสียแล้ว
ข้อมูลเหล่านี้ไม่เคยมีอยู่ในตำราเรียนเลย
เฒ่าทะเลกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบสุขุม “เจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม?”
“อาจารย์แน่ใจนะขอรับว่าจะพาพวกเราออกไปได้?”
หลินเป่ยเฉินถามอย่างระมัดระวัง
เฒ่าทะเลยิ้มตอบว่า “มั่นใจไม่มีพลาด”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“แล้วอาจารย์จะพาพวกเราออกไปอย่างไรขอรับ?” เด็กหนุ่มสอบถามอีกครั้ง
ชายชราหัวเราะเล็กน้อยและตอบว่า “เจ้าอยากพาคนไปด้วยกี่คนกันเล่า?”
หลินเป่ยเฉินไม่ทันได้ตอบ เฒ่าทะเลก็ชิงกล่าวต่อว่า “เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ ว่าเมื่อช่วยเหลือพวกเขาออกมาได้แล้ว คนเหล่านั้นยินดีที่จะหนีไปกับเจ้าหรือเปล่า?”
เด็กหนุ่มไม่ตอบ
นั่นแหละคือปัญหาใหญ่
เฒ่าทะเลกล่าวต่อไป “สิ่งที่ข้ารับปากกับเจ้าได้ก็คือ ข้าสามารถพาเจ้าหลบหนีออกไปได้อย่างปลอดภัยแน่นอน แต่ถ้าเจ้าอยากจะพาคนอื่นหลบหนีไปด้วย ข้าไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของพวกเขาได้เลย เพราะชาวเผ่าทะเลคงไม่ยินดีช่วยเหลือเพื่อนพ้องของเจ้ามากมายเกินจำเป็นแน่ๆ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า พูดออกมาในที่สุดว่า “ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ”
หลังจากนั้น เฒ่าทะเลก็หันมามองหน้ามี่หรู่หยาน หรี่ตาลงเล็กน้อยขณะพูดว่า “พวกเจ้ามีเวลาคิดหนึ่งวัน จงตัดสินใจให้เรียบร้อยว่าจะอยู่หรือไป แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่อย่าออกไปไหน พวกเรามีหน่วยข่าวกรองที่สามารถเชื่อถือได้ อีกอย่าง…”
ชายชรายกมือขึ้นและปล่อยพลังลมปราณสีน้ำเงินออกมา
พลังลมปราณเหล่านั้นรวมตัวเป็นหน้าจอขนาดใหญ่บนกำแพงหิน และมันกำลังฉายภาพถ่ายทอดสดการทรมานผู้คนในห้องคุมขังนักโทษ
“เจ้าสามารถติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆ ได้จากที่นี่”
พูดจบ เฒ่าทะเลก็หมุนตัวเดินจากไป
หลินเป่ยเฉินกับมี่หรู่หยานถูกทิ้งให้อยู่ในห้องด้วยกันตามลำพัง
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นมาเท้าคาง จมตัวอยู่ในห้วงคิดของตนเอง
ก่อนที่จะได้พบเจอกับเฒ่าทะเล หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองเป็นสุนัขจนตรอก ถูกต้อนให้จนมุม พร้อมแล้วที่จะสู้จนตัวตายเพื่อความอยู่รอด
แต่บัดนี้ เฒ่าทะเลปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับหนทางหลบหนีของเขา
ขอแค่เขารับปากชายชรา หลินเป่ยเฉินก็จะสามารถหลบหนีได้สำเร็จ
ตกลงเขาเลือกที่จะหลบหนีดีหรือไม่?
หรือว่าจะอยู่ต่อไปเพื่อหาทางช่วยเหลือทุกคน?
เนื่องจากชีวิตจริงไม่ใช่เกมออนไลน์ ตายแล้วตายเลยไม่สามารถรีสตาร์ตเริ่มเล่นใหม่ได้ ต่อให้ขณะนี้หลินเป่ยเฉินไม่กลัวตาย แต่เขาก็กลัวที่จะไม่ได้กลับโลกมนุษย์อีกครั้ง เขากลัวที่จะไม่ได้กลับไปเจอพ่อแม่และเพื่อนฝูงญาติพี่น้อง เขากลัวที่จะทำให้ทุกคนต้องเสียใจ
หรือว่าเขาจะหนีไปก่อนดีนะ?
แต่ถึงกระนั้น ต่อให้เขาหลบหนีไปฝึกฝนวิชาจนแข็งแกร่ง และสามารถกลับมาล้างแค้นได้สำเร็จ กว่าจะถึงตอนนั้น ทุกคนที่เขารู้จักก็คงถูกทรมานตายไปหมดแล้ว
ชีวิตในโลกมนุษย์ของเขาไม่เคยต้องตัดสินใจในเรื่องใหญ่ถึงขั้นนี้มาก่อน
ทำไมมันยากแบบนี้วะ
หลินเป่ยเฉินอดบ่นอยู่ในใจไม่ได้
มี่หรู่หยานนั่งรอคอยอยู่ในความเงียบ
สำหรับตัวเด็กสาว นางตัดสินใจได้นานแล้ว
แต่นางไม่อยากจะเร่งเร้าหลินเป่ยเฉิน
มี่หรู่หยานจะเคารพในทุกๆ การตัดสินใจของเขา
หากนางเป็นหลินเป่ยเฉิน นางก็จะต้องหลบหนีไปกับเฒ่าทะเลแน่นอน
เพราะถึงจะยอมมอบตัว อย่างไรก็คงช่วยเหลือทุกคนไม่ได้อยู่ดี
มิหนำซ้ำ โอกาสแก้แค้นก็จะหายวับไปด้วย
หลินเป่ยเฉินจะถูกตรึงกับเสาศักดิ์สิทธิ์ และถูกเผาทั้งเป็นเพื่อขับไล่พลังปีศาจ นอกจากตนเองจะเสียชีวิตแล้ว เขายังไม่สามารถช่วยเหลือเพื่อนพ้องผู้บริสุทธิ์ได้เลยสักคน
กาลเวลาไหลผ่านไป
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากหน้าจอถ่ายทอดสดอย่างต่อเนื่อง
หลินเป่ยเฉินนั่งนิ่งเฉยเหมือนรูปปั้น ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
แต่มี่หรู่หยานสังเกตได้ว่าแววตาของเขาเกิดความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
เพี๊ยะ!
พลัน หลินเป่ยเฉินตบมือและหัวเราะด้วยความสะใจ
เขาลุกขึ้นยืนกระโดดโลดเต้น ยิ้มแย้มเหมือนเด็กน้อย พูดว่า “ข้าตัดสินใจได้แล้ว”
มี่หรู่หยานมองหน้าเขา
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความดีใจ “ข้าจะอยู่ที่นี่ต่อไป ข้าจะทำให้ดีที่สุด เพื่อช่วยเหลือทุกคนให้ได้”
เด็กสาวในร่างมนุษย์ป้าถึงกับตกตะลึงไปแล้ว
นี่คือการตัดสินใจที่แตกต่างจากสิ่งที่นางคิดมากมายทีเดียว
การตัดสินใจเช่นนี้ ไม่ต่างไปจากการฆ่าตัวตายชัดๆ
แต่นางก็สังเกตได้อีกเช่นกันว่าหลินเป่ยเฉินมีสีหน้าที่มั่นอกมั่นใจมาก
เมื่อเลือกที่จะไม่หลบหนี ก็มีแต่ต้องสู้จนตัวตายเท่านั้น
นี่แหละวีรบุรุษตัวจริง
แม้มีหนทางเอาตัวรอด แต่เขาก็ยังไม่สนใจ
หัวใจของหลินเป่ยเฉินช่างน่ากราบเหลือเกิน
มี่หรู่หยานรู้สึกตื้นตันใจอย่างอธิบายไม่ถูก
หลินเป่ยเฉินที่ดูเหมือนจะตัดสินใจอย่างโง่เขลา แต่เขากลับเต็มไปด้วยความกล้าหาญที่ควรยกย่อง
“เจ้าซาบซึ้งใจใช่ไหมล่ะ?” หลินเป่ยเฉินพูดออกมาอย่างมีความสุข “ขนาดข้าเองน้ำตาก็จะไหลแล้วเนี่ย”
มี่หรู่หยานหัวเราะออกมาด้วยความเบิกบานใจ
แล้วทั้งสองคนก็ร่วมหัวเราะด้วยกันเหมือนคนเสียสติ
แต่ในทันใดนั้นเอง…
“ติ๊ง!”
เสียงที่คุ้นเคยดังออกมาจากโทรศัพท์อีกครั้ง
มันเป็นเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าในวีแชท
หลินเป่ยเฉินสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะเสกโทรศัพท์ออกมาปลดล็อคหน้าจอและกดเข้าไปดูในแอปวีแชท
เขาเห็นเจ้าของรูปโปรไฟล์เรียวขาขาวสวยส่งข้อความมาหาว่า…
“น้องชายอยู่หรือไม่? พี่สาวคนนี้ต้องการความช่วยเหลือ”