แดนนิรมิตเทพ บทที่ 542
พระภิกษุของสำนักลับคนแรกพยักหน้า “รวมกันเป็นพลัง แยกกันหมดหวัง ฉันเห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้!”

“แล้วท่านละครับ” เจี่ยงไต้ซือมองหยวนชิงซานด้วยรอยยิ้ม

หยวนชิงซานหันไปมองเฉินโม่อย่างร้อนใจ แต่เฉินโม่ก็ยังนิ่งเงียบเหมือนดั่งพระจำศีล เหมือนดั่งว่าไม่สนใจสิ่งพวกนี้

“ฉันเองก็เห็นด้วย!”

ในเมื่อเฉินโม่ไม่แสดงออกอะไร หยวนชิงซานจึงตัดสินใจเองโดยพลการ ในเมื่อมาแล้ว ก็ห้ามกลับไปมือเปล่า เขาเชื่อว่าเฉินโม่เองก็คิดอย่างนี้เช่นกัน

เจี่ยงไต้ซือพูดเสียงดังว่า “ดี อย่างนั้นพวกเราก็มาเตรียมตัวกันก่อน ฉันนับหนึ่งถึงสาม ทุกคนก็ออกแรงพร้อมกัน เช่นนี้ต้องสามารถทำลายประตูหินค่ายกลบานนี้ได้แน่นอน!”

“ตกลง!”

พระภิกษุทั้งสามรูป และหยวนชิงซาน เจี่ยงไต้ซือเดินไปหน้าประตูหินพร้อมกัน

พวกไช่เหวินหย่าต่างก็รีบถอยหลังหลบ กลัวว่าจะได้รับแรงกระทบ

เจี่ยงไต้ซือกวาดมองทุกคน แล้วตะโกนว่า “เตรียมตัว หนึ่ง สอง สาม!”

ปัง!

ทุกคนออกแรงพร้อมกัน การโจมตีครั้งนี้แรงมหาศาล สั่นสะท้านไปทั่วพระราชวังใต้ดิน คราบดินตกหล่นลงมา

แต่ว่า ขณะเดียวกันทุกคนก็ถูกกระแทกกระเด็นเช่นกัน ถึงขั้นต่างก็กระอักเลือดออกมา แต่ประตูหินบานนั้นก็ยังปกติดีเหมือนเดิม

“เป็นไปได้ยังไงกัน!”

ทุกคนต่างก็เบิกตาโต สีหน้าตกใจอย่างไม่กล้าเชื่อสายตา!

เจี่ยงไต้ซือสีหน้ามืดขรึม “เมื่อกี้พวกเรารวมพลังกันโจมตี พลังมากพอที่จะสามารถฆ่าปรมาจารย์แดนแปรภาพคนหนึ่งได้แล้ว แต่ประตูหินบานนี้กลับยังปกติดีทุกอย่าง ความแข็งแกร่งของค่ายกลนี้ช่างตะลึงจริงๆ!”

ทุกคนต่างก็รู้สึกหนักใจ

“ดูแล้ว พวกเราคงทำได้แค่คิดหาวิธีอื่นแล้วละ!”

ไช่เหวินหย่าพูดเพ้อเจ้อว่า “เจี่ยงไต้ซือ พวกเราขุดหลุมอ้อมประตูหินบานนี้ไปกันดีมั้ยคะ!”

เจี่ยงไต้ซือส่ายหัว “ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อมีค่ายกลอยู่ ก็ต้องครอบคลุมไปทั่วสุสานแน่นอน นอกเสียจากว่าจะทำลายค่ายกลทิ้ง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีวิธีใดที่จะสามารถเข้าไปได้”

“แล้วจะทำยังไงดีละคะ? แค่ตรงหน้าก็จะสามารถหาดอกฮิกันบานะกลับไปช่วยคุณปู่ได้แล้ว แต่ตอนนี้กลับถูกขวางกั้นไว้นอกประตูหิน ช่างน่าโมโหจริงๆ!” ไช่เหวินหย่าโมโหจนหน้าแดง ใช้เท้าถีบเตะกำแพงหินไม่หยุด

ในขณะที่ทุกคนไม่รู้ควรจะทำอย่างไรต่อ มีร่างของคนคนหนึ่งเดินไปข้างหน้าเงียบๆ แล้วหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูหินร้อยเมตร

คนผู้นี้ ก็คือเฉินโม่

ทุกคนนิ่งอึ้ง แล้วต่างก็มีความสงสัยขึ้นพร้อมกัน “เขาคิดจะทำอะไร?”

เฉินโม่มองประตูหินตรงหน้า ฉีกยิ้มบางๆ เหมือนดั่งว่าได้พบเจอกับเพื่อนเก่าที่ห่างหายไปกันนานหลายปี

“เขาคงไม่ได้คิดอยากจะเปิดประตูหินหรอกใช่มั้ย?” บอดี้การ์ดคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังไช่เหวินหย่าพูดออกมา

ไช่เหวินหย่าหัวเราะเยาะ สีหน้าที่มองเฉินโม่เต็มไปด้วยความดูถูก “เจี่ยงไต้ซือรวบรวมพลังของทุกคนยังเปิดไม่ออก นายคิดอยากจะใช้พลังของตัวเองเพียงคนเดียวเปิดประตูหินงั้นหรอ? ไม่รู้จักเจียมตัว!”

ในแววตาของเจี่ยงไต้ซือมีความเหยียดหยาม ขนาดพวกเขารวมพลังกันยังไม่สามารถเปิดออกได้ แล้วกะอีแค่เขาที่เป็นนักเรียนมัธยมปลาย ยังคิดอยากจะอวดเก่ง!

“หึ ไม่เจียวกะลาหัว!” เจี่ยงไต้ซือพูดเยาะ

พระภิกษุสามรูปเงียบไม่พูดอะไร แต่ในสายตาก็มีความดูถูกเช่นกัน ต่อหน้ายอดฝีมือมากมายขนาดนี้ การกระทำของชายหนุ่มผู้นี้ช่างโอหังจริงๆ!

มีเพียงหยวนชิงซานที่รู้ตัวตนของเฉินโม่ แต่แววตากลับดูซับซ้อน แม้ว่าเขาจะคาดหวังอย่างมากที่เฉินโม่จะสามารถเปิดประตูหินได้ แต่สติสัมปชัญญะบอกกับเขาว่าสิ่งนี้มันเป็นไปไม่ได้

เฉินโม่ไม่ได้สนใจความคิดของคนอื่นๆ ฝ่ามือของเขาหมุนอยู่กลางอากาศ รอบข้างประตูหินสีเขียวมีไออากาศบางๆลอยขึ้น แต่กลับไม่ได้ดีดเขากระเด็นออก

“นี่มัน….”

ทุกคนต่างตกตะลึง บางทีเจ้าหนุ่มคนนี้อาจจะสามารถเปิดประตูบานนี้ได้จริงๆ

ฝ่ามือของเฉินโม่หมุนเวียนไปเรื่อยๆ อย่างอ่อนโยน ทะนุถนอม เหมือนกำลังดูแลรักษาสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง

สุดท้าย เขาหลับตาลง บนใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ รอยยิ้มอ่อนโยนมาก มีความรู้สึกเหมือนดั่งไม่ได้พบเจอกันนาน

ทันใดนั้น สองมือของเฉินโม่หยุดลง แล้วลืมตาขึ้น พูดออกมาว่า “เปิด!”