เขาจนใจนัก สุดท้ายก็ได้แต่ควักโอสถทิพย์สามเม็ดออกมาด้วยมือสั่นระริก

ตอนนั้นกู้จิ้งบอกว่าให้รอเซียวเถี่ยเฟิงแก่ก่อนค่อยมอบให้เขา แต่เขาไม่อาจทนดูเถี่ยเฟิงเจ็บปวดได้ ดังนั้นจึงคิดว่า ถ้ามอบโอสถทิพย์สามเม็ดนี้ให้ เถี่ยเฟิงอาจจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง

“นี่… นางทิ้งไว้ให้เจ้า นางบอกว่าเจ้ารู้ว่าต้องใช้ยังไง”

เซียวเถี่ยเฟิงรับยาสามเม็ดนั้นไป เขาย่อมรู้ดีว่ามันใช้ยังไง นี่คือยาวิเศษ สามารถช่วยชีวิตในยามคับขันได้!

นางไม่ได้รักเขา นางโกรธเขา ทอดทิ้งเขา สุดท้ายยังอวยพรให้เขามีลูกหลาน จากนั้นก็ทิ้งโอสถทิพย์สามเม็ดนี้ไว้ให้เขา!

นาง…สะบัดหน้าจากไปง่ายๆ แบบนี้เอง

แล้วเขานับเป็นตัวอะไร ที่เขาลำบากค้นหานางมาสี่ปีมีความหมายอะไร!

เซียวเถี่ยเฟิง…นับเป็นตัวอะไร วันเวลาที่เคยอยู่ด้วยกันบนเขาเว่ยอวิ๋น…มีความหมายอะไร!

ความเจ็บปวดผุดขึ้นในหัวใจของเขาก่อนจะแผ่กระจายไปทั่วร่างราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก เขาเจ็บปวดจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เจ็บปวดจนแทบลืมไปว่าตัวเองเป็นใคร อยู่ที่ไหนและกำลังจะไปไหน เจ็บปวดจนลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาสี่ปีที่ต้องพเนจรร่อนเร่ไปทั่ว เจ็บปวดจนรู้สึกราวกับได้เห็นผู้หญิงคนนั้นยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า

นางยิ้มแล้วบอกเขาว่า ท่านบรรพบุรุษช่างดีจริงๆ เลย

พูดจบก็เขย่งเท้าขึ้นยกมือโอบรอบคอเขาแล้วจูบแก้มเขา นางบอกว่านางชอบเขามากที่สุดในโลก

ที่แท้ทั้งหมดก็เป็นแค่คำพูดโกหก

เจ้ามันคนหลอกลวง

“เฮ้อๆๆ เถี่ยเฟิง เจ้าเป็นอะไรไปอีก?” หนิวปาจินร้องตะโกนด้วยความตกใจพลางรีบก้าวเข้าไปประคองเซียวเถี่ยเฟิงเอาไว้

เซียวเถี่ยเฟิงกระอักเลือดอีกแล้ว ล้มลงบนพื้นหิมะอีกแล้ว

“ข้ารู้อยู่แล้วว่านางมันตัวซวย ตัวซวย! ข้าไม่ควรเล่าเรื่องของนางให้เจ้าฟังเลย!”

“ควรจะลืมได้แล้ว ลืมให้หมดถึงจะดี!”

หนิวปาจินพึมพำ

เซียวเถี่ยเฟิงนอนอยู่บนพื้นหิมะด้วยความสิ้นหวัง ใบหน้าแนบกับพื้นหิมะหนาวเย็น แต่เขากลับไม่รู้สึกตัวสักนิด เลือดในร่างของเขาเหมือนจะจับตัวเป็นน้ำแข็ง เย็นจนทำให้เขาหายใจแทบไม่ออก

สมองคิดเพียงแค่ว่า…หากลืมได้ก็ดีน่ะสิ

แต่…เขาลืมไม่ได้ ลืมนางไม่ได้

นางใช้อาคมกับเขา ไม่ว่าทำอย่างไรเขาก็ไม่อาจลืมนางได้เลย

 

หลังจากไปจากเขาเว่ยอวิ๋น

กู้จิ้งไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองควรไปไหน นับแต่ข้ามเวลามายังยุคอดีตเมื่อหนึ่งพันปีก่อน เธอก็อยู่กับเซียวเถี่ยเฟิงมาตลอด เรียกได้ว่าเซียวเถี่ยเฟิงดูแลเธอเป็นอย่างดีเลยทีเดียว

ตอนนี้เซียวเถี่ยเฟิงแต่งงานกับคนอื่นไปแล้ว เขาไปดูแลคนอื่นแล้ว ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธออีก

นับแต่นี้เธอต้องดูแลตัวเองแล้ว

แต่ยังดีที่เธอมีกระเป๋าหนังสีดำใบนี้อยู่ ทำให้ไม่ถึงกับยากจนข้นแค้นมากนัก

กู้จิ้งค้นดูในกระเป๋ารอบหนึ่งก็พบว่ามีเงินอยู่จำนวนหนึ่ง เธอจึงเอามันออกมาใช้เป็นค่าเดินทาง ค่าพักแรม ค่าอาหาร ทำให้ไม่ลำบากมากนัก

เดินทางไปได้เจ็ดแปดวัน เธอก็ไปถึงเมืองแห่งหนึ่ง เมืองแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองกว่าเมืองจูเฉิงที่เธอเคยรู้จักมาก สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่อยู่ตามท้องถนนล้วนใหญ่โตโอ่อ่า เสียงร้องตะโกนขายสินค้าดังขึ้นทางนั้นทีทางนี้ที ซ้ำยังมีผู้คนเดินผ่านไปมาไม่ขาดสาย

เธอสอบถามดูถึงได้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้มีชื่อว่า ‘ปิ้งโจว’

ปิ้งโจว ดูเหมือนจะเคยได้ยินมาก่อน พอย้อนคิดดูค่อยจำได้ว่าเป็นครั้งนั้นที่เซียวเถี่ยเฟิงพาเธอไปกินข้าวที่ร้านอาหาร พวกเขาได้เจอกับคนต่างถิ่นหลายคน ตอนนั้นดูเหมือนคนพวกนั้นจะพูดถึงปิ้งโจว อู่อ๋อง แล้วก็จอกหยกมรกตหลิงหลงอะไรสักอย่าง

ดูท่าเธอคงมาถึงดินแดนของอู่อ๋องอะไรนั่นแล้วสินะ?

แต่จริงๆ เธอก็ไม่ได้สนใจอ๋องอะไรทั้งนั้น เธอแค่อยากจะไปจากเขาเว่ยอวิ๋น ไปจากเซียวเถี่ยเฟิง เป็นหมอเทวดาที่ใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรี เพราะหากอยู่ใกล้เขาเว่ยอวิ๋นมากเกินไป เกิดวันไหนเจอกันเข้า จะไม่อึดอัดหรอกหรือ?

โชคดีที่ตอนนี้เธอไม่ใช่ยัยโง่ที่เพิ่งข้ามเวลามาแล้ว ตอนนี้เธอคุ้นเคยกับประเพณีและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่นี่ ดังนั้นจึงวางแผนจะไปพักที่โรงเตี๊ยมเพื่อสืบข่าวดูก่อน จากนั้นจึงค่อยนำเงินไปเช่าหน้าร้านแห่งหนึ่ง เตรียมเปิดร้านรักษาผู้คน

หลังจากศึกษาวิจัยมาระยะหนึ่งประกอบกับมีเครื่องมือต่างๆ ที่เซียวเถี่ยเฟิงทำให้ ตอนนี้เธอสามารถใช้สมุนไพรชนิดต่างๆ ในสมัยโบราณมารักษาโรคโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยยาในกระเป๋าอีกแล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอย่อมสามารถลดความสงสัยของผู้คนรอบข้างไปได้มาก

วางแผนเสร็จเรียบร้อย ในที่สุดเธอก็เลือกหน้าร้านได้แห่งหนึ่ง ตกแต่งอีกสักเล็กน้อย เพิ่มตู้ใส่ยาสมุนไพรชนิดต่างๆ เข้าไป จุดประทัดเสร็จก็เปิดร้านได้

แต่เสียดายที่เมื่อมาอยู่ในเมืองปิ้งโจวที่แสนจะเจริญรุ่งเรืองแห่งนี้ กู้ต้าเซียนผู้มีชื่อเสียงโด่งดังบนเขาเว่ยอวิ๋นกลับไม่ได้รับความสนใจสักนิด

แต่เธอเองก็ไม่ได้ร้อนใจ ในเมื่อเปิดร้านแล้ว สักวันก็ต้องมีคนเข้ามาเอง ชื่อเสียงต้องค่อยๆ สั่งสม เป็นไปไม่ได้ที่จะประสบความสำเร็จในชั่วพริบตา เธอเป็นผู้หญิงแถมอายุยังน้อย คนอื่นไม่เชื่อถือก็เป็นเรื่องปกติ

ดังนั้นเธอจึงเริ่มใช้กลยุทธ์การตลาดโดยประกาศออกไปว่าสามวันแรกจะไม่เก็บเงินค่ารักษา เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมมีคนที่ไม่อยากจ่ายเงินพากันมาหาเธอ หลังจากกินยาที่เธอสั่งให้แล้วหายเป็นปกติ คนไข้ทั้งหลายก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ที่แท้หมอหญิงผู้นี้ก็มีฝีมือไม่เลวเหมือนกัน

กู้จิ้งเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก หลังจากนั้นเธอก็ใช้กลยุทธ์ลดราคาต่อ คนไข้จึงมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ผ่านไปประมาณครึ่งปี ในที่สุดเธอก็กลายเป็นหมอที่พอจะมีชื่อเสียงคนหนึ่งในเมืองปิ้งโจว บรรดาชาวบ้านที่ยากจนทั้งหลายเห็นเธอเก็บค่ารักษาถูกก็มักจะพากันมาหาเธอเสมอ

วันนี้เธอไปซื้อเกี๊ยวติงเซียงจากร้านข้างๆ จากนั้นก็ไปที่ร้านฝั่งตรงข้าม ซื้อขนมชุยปิ่งกับรากบัวยัดไส้รวมทั้งไส้หมูทอดกลับมานั่งกินที่ร้านของตัวเอง เธออดชมตัวเองไม่ได้ที่มองการณ์ไกล รู้จักเลือกหน้าร้านที่อยู่ท่ามกลางแหล่งของกินมากมายเช่นนี้ เวลามีคนไข้ก็รักษาคนไข้ แต่เวลาไม่มีคนไข้ก็จะได้กินๆๆ

กำลังกินอยู่ก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากแผงขายเกี๊ยวติงเซียงข้างๆ

“ตระกูลลั่วแห่งเหอหนานอะไรนั่นซวยเป็นบ้า ได้ยินว่าบ้านของพวกเขามียาวิเศษที่สามารถรักษาได้ทุกโรค ครั้งนี้ลวี่หลัวอนุของอู่อ๋องล้มป่วย อู่อ๋องก็เรียกเขาไปพบทันที”

“จะพูดว่าซวยได้ยังไง บางทียาวิเศษนั่นอาจจะรักษาอาการป่วยของอนุคนนั้นหาย หลังจากนี้พวกเขาก็จะได้ดิบได้ดี ได้เลื่อนตำแหน่งพรวดพราดก็เป็นได้!”

“หึ ได้ดิบได้ดีอะไรกัน ตอนนี้สถานการณ์ข้างนอกวุ่นวาย อู่อ๋องเองก็ตั้งตนเป็นปรปักษ์กับฮ่องเต้ที่เอี้ยนจิง ทำไปทำมาดีไม่ดีอาจจะโดนตัดหัวก็ได้!”

การก่อกบฏไม่ต่างอะไรจากการแขวนศีรษะไว้ที่ข้างเอว หากสำเร็จย่อมเป็นเรื่องดี แต่หากไม่สำเร็จ คงมีชะตาชีวิตที่ย่ำแย่ยิ่งกว่าชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเขาเสียด้วยซ้ำ

คนคนนั้นพูดพลางยกมือขึ้นทำท่าปาดคอ

“พวกเจ้านี่น้า ยังมองสถานการณ์ไม่ทะลุปรุโปร่งสินะ” ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ จู่ๆ คนคนหนึ่งซึ่งโพกศีรษะด้วยผ้าสีเหลืองก็ส่ายหน้าพลางเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าลึกลับ

“เรื่องนี้มีอะไรซ่อนอยู่อย่างนั้นหรือ? เล่าให้เราฟังบ้างสิ!” ทุกคนพากันหันไปมองชายโพกผ้าเหลืองพลางเอ่ยปากขอคำชี้แนะ

“ฮ่าๆ” ชายโพกผ้าเหลืองหัวเราะ จากนั้นจึงวางชามเกี๊ยวลงแล้วเริ่มพูดช้าๆ “พวกเจ้าไม่เคยได้ยินชื่อเซียวชูอวิ๋นบ้างเลยหรือ?”

“เซียวชูอวิ๋น?”

ทุกคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“ย่อมเคยได้ยินอยู่แล้ว มีใครไม่รู้จักเขาบ้าง เขาเป็นแม่ทัพใหญ่ไร้พ่ายเชียวนะ แต่เสียดายที่หลังจากสนับสนุนให้เว่ยอ๋องขึ้นครองราชย์สำเร็จ เว่ยอ๋องกลับล้มป่วยเสียชีวิต ตัวเขาเองก็ป่วยตายตามไปด้วย!”

“ใช่ น่าเสียดายจริงๆ หากไม่ใช่เขาตายไป สถานการณ์ทั้งหมดต้องต่างไปจากนี้แน่!”

เว่ยอ๋องที่ทุกคนพูดถึงคือพี่ชายแท้ๆ ของอู่อ๋อง

“ดังนั้นข้าถึงพูดว่าพวกเจ้าตกข่าวน่ะสิ” ชายโพกผ้าเหลืองได้ใจมาก

“หมายความว่ายังไง? หรือเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเซียวชูอวิ๋นด้วย?” ทุกคนประหลาดใจมาก คนก็ตายไปแล้ว ยังจะมาเกี่ยวข้องอะไรด้วยอีก?

ชายโพกผ้าเหลืองโคลงศีรษะไปมา สุดท้ายก็กระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า

“จริงๆ แล้วตอนนั้นเซียวชูอวิ๋นไม่ได้ป่วยตาย แต่ถูกคนชั่ววางยาพิษ หลายปีมานี้เขาหลบไปหาวิธีถอนพิษอยู่ในป่า หลังจากถอนพิษได้ บังเอิญมาเจอกับอู่อ๋องเข้า อู่อ๋องก็เลยเชิญเขามาช่วยอีกครั้ง”

“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?”

ทุกคนประหลาดใจมาก

“แน่นอน ไม่อย่างนั้นอู่อ๋องจะกล้าก่อกบฏงั้นรึ!”

“แต่ว่า…เซียวชูอวิ๋นกลับมาเมื่อไหร่หรือ ทำไมถึงไม่เห็นเลยเล่า?”

ชายโพกผ้าเหลืองกระแอมเบาๆ เขารู้เสียที่ไหน เขาเองก็แค่ได้ยินมาเท่านั้น แต่ในเวลาเช่นนี้จะถอยก็ไม่ได้ เขาจึงแสร้งวางท่าเหมือนรู้จริงพลางกล่าวว่า “ผ่านไปอีกสักระยะพวกเจ้าก็จะรู้เอง เรื่องแบบนี้ย่อมมีแต่คนที่ข่าวสารฉับไวเท่านั้นถึงจะรู้”

แววเลื่อมใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคน

กู้จิ้งกินเกี๊ยวหมด ขนมชุยปิ่งกับรากบัวยัดไส้ไม่เหลือ นิทานก็ฟังจบแล้ว แต่ในใจกลับงุนงงยิ่งกว่าเดิม

กำลังพูดถึงยาวิเศษของตระกูลลั่วแห่งเหอหนานกับอาการป่วยของอนุลวี่หลัวอยู่ดีๆ ไม่ใช่หรือ ทำไมจู่ๆ ถึงออกนอกเรื่องไปพูดถึงเซียวชูอวิ๋นอะไรนั่นได้?