ตอนที่ 498 มิสังหารแต่ช่วยเหลือ
อาโผตกตะลึง ทว่ายังโค้งกายและพยักหน้าให้ คุณชายของพวกนางเตรียมการอยู่เสมอ ดูท่าแล้วเรื่องในครั้งนี้ก็คงเป็นหนึ่งในแผนการเช่นกัน
บางทีเขาอาจรู้อยู่แล้วว่าอันหลิงเกอต้องหนีและรู้ว่าพวกตนมิมีทางพาตัวอันหลิงเกอกลับมาได้
เวลานี้อันหลิงเกอกำลังพยายามลากอวี๋เฉิงกู้ที่สลบขึ้นมาบนแพไม้ไผ่และปล่อยให้ไหลไปตามกระแสน้ำ
มิรู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อเห็นศัตรูมิได้ตามมาแล้ว ในใจของนางกลับมิวางใจยิ่งกว่าเดิม
ฟางหลิงซู่ผู้นั้นนางเคยพบมาแล้ว คนที่มีจิตใจลึกลับเยี่ยงนี้จักปล่อยนางไปจริงหรือ ?
“แค่ก แค่ก…”
ในช่วงจังหวะนั้นอวี๋เฉิงกู้ก็ลุกขึ้นนั่งแล้วสำลักน้ำออกมา
“เจ้าช่วยข้าไว้หรือ ? ”
ประโยคแรกหลังจากฟื้นขึ้นมาก็ทำให้อันหลิงเกออดหัวเราะมิได้ ประโยคต่อไปคงมิใช่การพลีกายเพื่อตอบแทนกระมัง ?
“อ๋องมู่ช่วยเจ้าไว้ต่างหาก”
อ๋องมู่
อวี๋เฉิงกู้พึมพำชื่อนี้ออกมา เขามีความประทับใจแรกและดูท่าคนที่ต้องการเอาชีวิตของเขาคงเป็นสามีน้องสาวที่ชื่อจ้าวหลานหยู่ !
ก่อนหน้านั้นมินานอวี๋หมิงหลันได้ส่งจดหมายมาแจ้งว่านางจะอภิเษกกับจ้าวหลานหยู่
“เช่นนั้นก็ขอบพระคุณอ๋องมู่”
เมื่อได้ยินประโยคที่ไร้ความจริงใจของอวี๋เฉิงกู้ อันหลิงเกอถึงขั้นกลอกตาไปมา นางมิอยากได้คำขอบคุณเยี่ยงนี้ นางช่วยคนในเผ่าหมานอี๋ไว้และสิ่งที่ต้องการก็มีแค่การสนับสนุนจากพวกเขาเท่านั้น
“ไปต่ออีกหน่อยก็เป็นเมืองของเผ่าหมานอี๋แล้ว เจ้าลงไปเถิด”
อันหลิงเกอเอ่ยอย่างไร้ความรู้สึก คนมิรู้จักบุญคุณเยี่ยงนี้ นางก็มิอยากร่วมเดินทางด้วย
“ยังมิได้ถามว่ากู่เหนียงคือ…”
ดูเหมือนอวี๋เฉิงกู้ตระหนักได้ถึงการเสียมารยาทของตนจึงหยิบป้ายห้อยเอวยื่นให้อันหลิงเกอ
“ข้าคือพระชายามู่”
นางรับมาพลางตอบคำถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ส่วนอวี๋เฉิงกู้ก็ยังตกตะลึงกับคำตอบจนมิรู้จะกล่าวอันใดไปชั่วขณะ
คาดมิถึงว่าคนที่อยากช่วยเขาไว้คืออ๋องมู่และคนที่เสียสละตรงหน้าก็คือพระชายามู่ ! สตรีผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วหล้าผู้นั้น
“ช่างเถิด ใกล้ถึงแล้วเจ้าเดินทะลุป่านี้ไปก็จักเข้าเมืองได้”
อันหลิงเกอกวัดแกว่งป้ายห้อยเอวไปมาและพบว่าเนื้อสัมผัสมิเลวเลย อวี๋เฉิงกู้ค่อย ๆ ดึงสติกลับมาแล้วหยุดแพไม้ไผ่ไว้ จากนั้นก็ขึ้นไปอยู่บนริมฝั่ง
“นั่นคือป้ายห้อยเอวของ*ชูจุนแห่งเผ่าหมานอี๋ สักวันถ้าอ๋องมู่จำเป็นต้องใช้ พวกหมานอี๋จักยอมจงรักภักดีต่ออ๋องมู่แน่นอน ! ”
เดิมทีเผ่าหมานอี๋ตกอยู่ใต้อำนาจของต้าโจว ดังนั้นการเลือกพันธมิตรที่ดีก็เป็นเรื่องที่จวินซือของชูจุนเยี่ยงเขาสมควรทำ
“ได้”
อันหลิงเกอโบกมือไปมา จากนั้นก็มองป้ายห้อยเอวอีกรอบก่อนเก็บมันไว้ ถือเป็นอันเข้าใจเจตนาของอวี๋เฉิงกู้
เมื่อเห็นนางเก็บป้ายแล้ว อวี๋เฉิงกู้ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ท่าทางอันสง่างามของสตรีผู้นี้ทำให้เขาสูญเสียความเย่อหยิ่งไปมากยามอยู่ต่อหน้านาง ราวกับว่าการเป็นพันธมิตรกับพระชายาและอ๋องมู่ถือเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ของตน
หลังอำลากับอวี๋เฉิงกู้แล้ว อันหลิงเกอก็เอนกายนอนบนแพไม้ไผ่อย่างสบายใจและปล่อยให้มันไหลไปตามกระแสน้ำมุ่งไปยังเมืองหลวง
บัดนี้อันหลิงเกอหนีออกจากหอพิษกู่แล้ว ในใจของนางจึงนิ่งสงบและสบายอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน แท้จริงแล้วเรื่องที่นางให้ความสำคัญที่สุดก็คืออิสรภาพ
เมื่อนึกถึงตอนกลับจวนอ๋องมู่ อันหลิงเกอยังรู้สึกคุ้นเคยอยู่ในใจแต่มิรู้ว่ามู่จวินฮานเข้าใจผิดหรือยังออกตามหาตนอยู่ ?
และมิรู้ว่าหากจ้าวหลานหยู่เห็นนางอีกครั้งจักมีท่าทีเยี่ยงไร ?
เมื่อนางเข้าสู่อาณาเขตของเมืองจิง เรื่องที่อวี๋เฉิงกู้โดนลอบสังหารในเผ่าหมานอี๋ก็แพร่สะพัดออกไป อันหลิงเกอมิรู้ว่าเป็นข่าวที่มาจากเผ่าหมานอี๋หรือหอพิษกู่ตั้งใจปล่อยกันแน่ แต่มิว่าเยี่ยงไรข่าวนี้ก็มิดีต่อจ้าวหลานหยู่
ก่อนหน้านั้นฮ่องเต้รู้อยู่แล้วว่าพี่ชายของอวี๋หมิงหลันได้รับความช่วยเหลือจากเผ่าหมานอี๋ แต่มิได้นำตัวเขากลับมา เหตุผลเพราะอยากให้อวี๋เฉิงกู้ไปจัดการบริหารอาณาเขตของเผ่าหมานอี๋ให้ดี ทว่าเกิดความเข้าใจผิดนี้จนเป็นข่าวลือไปทั่ว ฮ่องเต้จึงยิ่งสงสัยจ้าวหลานหยู่เข้าไปใหญ่
เพียงแต่อันหลิงเกอคิดอยู่ในใจมาโดยตลอดว่าผู้ที่ออกคำสั่งภารกิจนี้เป็นผู้ใด ? เป้าหมายแท้จริงคืออันใด ? หรือมีความแค้นอย่างลึกซึ้งต่อจ้าวหลานหยู่ ?
นางหาคำตอบเหล่านี้มิได้ในตอนนี้ ทว่าทันทีที่นางเข้าสู่เมืองหลวงแล้วสภาพจิตใจก็ดีขึ้นมาก
แม้นางรู้แก่ใจดีว่าหอพิษกู่อยู่ทางทิศใต้ของเมืองหลวงแต่มิได้น่าหวาดกลัวสักนิด หากได้พบกับฟางหลิงซู่ผู้นั้นอีกก็ถือว่าเป็นโชคชะตาของนางแล้วกัน
นางยังเดินเล่นอย่างสบายใจไปตลอดทางโดยมิหลงเหลือความหวาดกลัว จากนั้นก็เดินตรงไปยังประตูจวนอ๋องมู่อย่างมิรีบร้อน
“บังอาจ ! ใครที่กล้าบุกเข้ามาในจวนอ๋องมู่ ! ”
อันหลิงเกอเดินตรงเข้าไปแต่คาดมิถึงว่ามู่จวินฮานเปลี่ยนองครักษ์บางส่วนเพียงเพราะมีจ้าวหลานหยู่ประทับอยู่ในจวน องครักษ์เหล่านั้นมิค่อยได้เจอนางจึงเข้ามาขวางทางไว้
อันหลิงเกอจนปัญญาแต่คลำบนตัวอยู่นาน ในตอนที่ถูกจ้าวหลานหยู่ลักพาตัวก็มิได้พกป้ายห้อยเอวติดกายไว้ด้วย ตอนนี้นางจึงมิอาจพิสูจน์สถานะของตนได้
ในตอนที่นางกำลังหาสิ่งของพิสูจน์บนร่างกายนั้นก็คลำเจอป้ายห้อยเอวที่อวี๋เฉิงกู้ให้ไว้
“ข้าเป็นคนที่เผ่าหมานอี๋ส่งมาเจรจา จงให้ข้าพบอ๋องมู่เดี๋ยวนี้”
ทันทีที่เห็นป้ายห้อยเอวของชูจุนเผ่าหมานอี๋ องครักษ์ทั้งสองนายก็มองตากัน หนึ่งในนั้นรีบวิ่งไปรายงานในจวนทันที
ผ่านไปมินานก็ได้รับการอนุญาต อันหลิงเกอเดินเข้าไปข้างในพลางครุ่นคิดว่าวันข้างหน้าต้องพกป้ายห้อยเอวติดตัวตลอดเวลาเสียแล้ว มิเช่นนั้นคงเป็นแค่แขกและลำบากมิน้อย
ในเมื่อนางสมรสกับมู่จวินฮานที่เป็นเจ้าของจวน วันข้างหน้ายังต้องไปมาหาสู่กันกับคนในจวนนี้ มิเช่นนั้นครั้งต่อไปที่เข้ามาคงโดนขวางอย่างมิไว้หน้าเยี่ยงนี้อีก
ทว่ามู่จวินฮานเปลี่ยนองครักษ์มากมายเยี่ยงนี้ย่อมมีสาเหตุเป็นแน่ ดูท่าแล้วตอนนี้จ้าวหลานหยู่คงกลายเป็นคนที่น่าระแวดระวังเสียแล้ว
“เรียนท่านอ๋อง ตัวแทนเผ่าหมานอี๋มารอแล้วขอรับ”
“รู้แล้ว”
เขารู้จักอวี๋เฉิงกู้และครั้งแรกที่รู้จักกับอวี๋หมิงหลันก็มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ทันทีที่ได้ยินว่าเป็นอวี๋เฉิงกู้จึงให้เชิญเข้ามาในจวนโดยมิลังเล
แม้มิบอกกล่าวว่าอีกฝ่ายมาด้วยจุดประสงค์อันใด ทว่ามิตรภาพในอดีตก็ควรทำการต้อนรับ
ยิ่งไปกว่านั้นคือภายในเมืองหลวงล้วนมีเรื่องของการลอบสังหารแพร่สะพัด เขาก็อยากพบคนผู้นี้เช่นกัน
อันหลิงเกออยากลับไปที่เรือนฝูหลิงแต่เนื่องด้วยสถานะที่มิเหมือนเดิมในครานี้จึงทำได้แค่นั่งรอมู่จวินฮานอยู่ในห้องโถงด้านหน้า
โชคดีที่มู่จวินฮานมิได้ให้นางรอนานนัก ตอนที่เขาเข้ามาก็มิได้มองนางแต่อย่างใด
อันหลิงเกอนั่งเอนพิงพนักเก้าอี้พลางรอเขาเงยหน้ามองอย่างนึกสนุก มู่จวินฮานเสร็จสิ้นธุระก็ก้าวผ่านประตูเข้ามาด้านใน
ทันทีที่สายตาของเขาจับจ้องมายังอันหลิงเกอ เขาก็ตกตะลึงแต่เท้ายังก้าวมาข้างหน้าจนกลายเป็นกิ่งเดินกิ่งวิ่ง
เมื่อเห็นท่าทางที่ลืมตัวของมู่จวินฮานผู้เย็นชาก็มิรู้ว่าเพราะเหตุใดอันหลิงเกอจึงแอบดีใจ ภาพที่นางกำลังรอก็คือเวลาที่เขาเสียการควบคุมตนเอง
“เจ้ากลับมาแล้ว”
เสี้ยวเวลาต่อจากนั้นมู่จวินฮานก็ยกยิ้มเล็กน้อยและกลับสู่ความนิ่งสงบอีกครั้ง ทว่ารอยยิ้มในแววตามิอาจปิดบังได้และมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
“อื้อ กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
เขามิถามว่าเหตุใดนางจึงจากไปและมิถามว่าเหตุใดนางจึงกลับมา แค่รู้ว่านางกลับมาแล้วก็หมายความว่าพระชายามิเคยคิดจากเขาไปไหน
…
*ชูจุน คือ ว่าที่หัวหน้า หรือรัชทายาทในบางความหมาย