ศัตรู? จะให้เรียกว่าศัตรูมันก็ได้อยู่หรอก 

 

 

 

 

 

แต่ไม่คิดเลย ว่าในเวลาเพียงไม่กี่เดือน อีกฝ่ายก็กล้ามาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้ง 

 

 

 

 

 

เดิมเขาคิดว่า การบดขยี้ผู้ใช้พลังเลเวล D เป็นเรื่องง่ายดาย ต่อให้อีกฝ่ายหลบหนีไปได้ก็ตาม แต่คงไม่สามารถสร้างผลกระทบดั่งคลื่นลูกใหญ่ได้ 

 

 

 

 

 

แต่ตอนนี้ การคาดเดาทุกอย่างดูเหมือนจะผิดพลาด ศัตรูได้รับเขี้ยวเล็บ และกำลังระบายความคั่งแค้นที่มีออกมาอย่างกะทันหัน 

 

 

 

 

 

มือปืนพยายามควบคุมฮอลศึก แต่อย่างไรก็ไม่สามารถหลบพ้นออกจากระยะการโจมตีของเมืองลอยฟ้า แต่ว่าก็ว่าเถอะ ถ้าเมืองลอยฟ้าต้องการโจมตีพวกเขาจริงๆ ฮอลศึกลำเล็ก ทั้งยังเป็นเป้าเดียวเช่นนี้ จะเล็ดลอดดงลำแสงของเมืองได้จริงๆน่ะหรือ? 

 

 

 

 

 

ภายใต้การระดมโจมตีของปืนใหญ่นับร้อย หากเอาจริง พวกเขาคงถูกสอยไปแล้ว 

 

 

 

 

 

“หยุดพูดไร้สาระ แล้วหนีให้พ้นสักที!” สีหน้าของกวงเว่ยเขียวคล้ำ หัวใจรู้สึกกดดัน จุกแน่นในอก 

 

 

 

 

 

“หนีหรือ? ถ้าผมหนีได้ก็คงจะดี!” มีปืนร้องลั่น ยังไงก็ตาม เขาพลันฉุกคิดบางอย่างได้ทันใด เอ่ยปาก “นายพลกวงเว่ย ศัตรูของคุณอยู่เลเวลไหนกัน? เขาถึงสามารถลอบเร้นเข้าไปยังเมืองลอยฟ้าได้ ลองคิดดูดีๆสิ ถ้าขนาดเขาเลเวลน้อยกว่าคุณ แต่ยังสามารถแอบเข้าไปในเมืองลอยฟ้าและยึดเมืองมาได้ .. งั้นพวกเราก็ทำได้เหมือนกัน! ” 

 

 

 

 

 

“นายพลกวงเว่ยโปรดรีบไปเถอะ คุณอยู่บนฮอลศึกนี้ต่อไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นอยู่ดี!” 

 

 

 

 

 

ใช่ อยู่ไปก็เท่านั้น อีกไม่นานก็คงโดนถล่มยิงจนตายกันทั้งลำ! 

 

 

 

 

 

กวงเว่ยพอได้ฟัง ดวงตาเปล่งประกายสดใส 

 

 

 

 

 

ในสมองเริ่มขบคิดอย่างรวดเร็ว 

 

 

 

 

 

ความแข็งแกร่งของฉินเฟิงเดิมอยู่ในเลเวล D เท่านั้น การสนทนาผ่านหน้าจอเมื่อครู่ มิได้เปิดเผยถึงความแข็งแกร่งของฉินเฟิง แต่หากสันนิษฐานตามช่วงเวลา สมควรไม่คืบหน้าจนเกินไป 

 

 

 

 

 

บางทีการที่ฉินเฟิงสามารถยึดเมืองลอยฟ้าได้ อาจเป็นเพราะอาศัยพลังมิติจากแฟนของตัวเอง จากนั้นก็ลอบโจมตี และยึดเมืองลอยฟ้าไป 

 

 

 

 

 

ต้องขอชมว่าการคาดเดาของกวงเว่ยถูกต้อง! 

 

 

 

 

 

“แกพูดถูก ช่วยพยายามยื้อเวลาต่อไปนะ ส่วนฉันจะรีบบุกเข้าไปทันที” 

 

 

 

 

 

‘นั่นสิ ทำไมฉันถึงคิดไม่ได้ ฉินเฟิงแม้สามารถกำจัดเผ่ากริม แต่เขาย่อมไม่อาจรับมือกับฉันได้ ไม่งั้นคราวก่อนเขาจะขอให้แฟนช่วยพาหนีทำไม ฉันแข็งแกร่งกว่าฉินเฟิงตั้งหลายเท่า หากบุกเข้าถึงตัวได้ นั่นไม่เท่ากับว่าเมืองลอยฟ้าตกเป็นของฉันหรือ?’ 

 

 

 

 

 

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ กวงเว่ยยิ่งมาเลือดลมยิ่งเดือดพล่าน ใบหน้าที่ปกติมักเย็นชา เปล่งประกายเล็กน้อย แสดงออกถึงความตื่นเต้นที่มี 

 

 

 

 

 

วินาทีต่อมา พลังสมาธิก็เริ่มเคลื่อนไหว ร่างของกวงเว่ย แปรสภาพเป็นกระแสหิมะและน้ำแข็งอย่างกะทันหัน 

 

 

 

 

 

ฟิ้วววว 

 

 

 

 

 

หิมะและน้ำแข็งถูกพัดพาไปตามสายลม กระพัดกระจายออกไปทุกทิศทาง เมื่อผสานรวมกับสายลม ก็พัดกวาดไปยังเมืองลอยฟ้า  

 

 

 

 

 

จากนั้น กระแสพายุหิมะนี้ก็ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เหนือเมืองลอยฟ้า หิมะเม็ดโตเริ่มโปรยปราย เพียงพริบตาเดียว ทั่วทั้งบริเวณก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ 

 

 

 

 

 

กวงเว่ยลอยล่องมากับสายลมในรูปแบบหิมะและน้ำแข็ง เพียงไม่กี่อึดใจก็สามารถหยั่งเท้าลงในเมืองลอยฟ้า 

 

 

 

 

 

ก่อนหน้า เดิมเมืองลอยฟ้ามีชั้นเกราะพลังงานป้องกันโดยรอบอยู่ เลยไม่อาจมีใครสามารถรุกล้ำเข้ามาได้ ขนาดที่ว่ากลุ่มพันธมิตรระดมยิงด้วยอาวุธขนาดใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน หมายจะทำลายมัน แต่กระสุนทั้งหมดกลับถูกขัดขวางก่อนถึงตัวเมือง 

 

 

 

 

 

แต่ตอนนี้ ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าตนสามารถลอบเข้ามาได้จริงๆ! 

 

 

 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ในเวลานี้ ปืนใหญ่ของเมืองลอยฟ้าได้หยุดยิงลง 

 

 

 

 

 

‘เฮอะ! พาเห็นว่าฉันบุกเข้ามาได้ ก็เปิดระบบฉุกเฉินในตัวเมือง และหันมาควบคุมมันแทนสิท่า เลยไม่มีสมาธิมากพอจะเบนไปควบคุมปืนใหญ่’ ความคิดผุดเข้ามาในใจของกวงเว่ย เจ้าตัวอดรู้สึกยินดีไม่ได้ 

 

 

 

 

 

“ฉินเฟิง ช่างน่าสงสารจริงๆ แต่สิ่งที่แกทำในตอนนี้ มันคือเรื่องโง่เขลาที่สุดที่แกเคยทำมา!” 

 

 

 

 

 

ขณะขบคิด พลังสมาธิของกวงเว่ยก็ถูกปลดปล่อยออกไป หมายจะค้นหาตำแหน่งของฉินเฟิง ที่กำลังควบคุมเมืองลอยฟ้าอยู่ 

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อพลังสมาธิกวาดออก กวงเว่ยกลับตระหนักได้ถึงรังสีแสงสีเงิน สาดขึ้นอย่างกระทันหันในระยะห่างออกไป 20 เมตร 

 

 

 

 

 

ต่อมา ร่างเงาของบุคคลทั้งสองก็ปรากฏขึ้น 

 

 

 

 

 

พร้อมกับสายลมอันร้อนแรง ฟุ้งไปทั่วบริเวณ   

 

 

 

 

 

เพียงพริบตา หิมะและน้ำแข็งบนเมืองลอยฟ้าก็ค่อยๆถูกละลาย 

 

 

 

 

 

รูม่านตาของกวงเว่ยหดวูบลงทันใด 

 

 

 

 

 

“เลเวล C ! นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน!” กวงเว่ยคิดว่าตนตาฝาดไป เพราะฉินเฟิงเพิ่งหนีไปได้แค่ไม่กี่เดือน แล้วเขาจะไปถึงเลเวล C ได้อย่างไร! 

 

 

 

 

 

“นายพลกวงเว่ย บุกเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ นิสัยเสียจริงๆ” 

 

 

 

 

 

“ฉินเฟิง ตอนนี้แกเป็นอาชญากรประกาศจับของทางพันธมิตร ฉันมีสิทธิมาที่นี่เพื่อจับกุมแก ไม่เกี่ยวกับการถูกรับเชิญหรือไม่” 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงยิ้มเย็นชา “อ้อ งั้นมาดูกัน ว่าแกจะมีความสามารถมากพอจะจับฉันได้รึเปล่า! นายพลกวงเว่ย ความแค้นเมื่อวันวาน จะถูกชำระลงในวันนี้!” 

 

 

 

 

 

ช่วงเวลานั้น ในโลกแห่งจิตสำนึกของพันธมิตรมนุษย์ อีกฝ่ายได้ออกหมายจับตนเอง ต่อมาก็ออกไล่สังหาร ฉินเฟิงไม่แม้จะสามารถต้านทาน 

 

 

 

 

 

ดังนั้นในปัจจุบัน เลยเป็นธรรมดาที่ฉินเฟิงต้องการระบายความคับข้องใจของเขา– 

 

 

 

 

 

–หนี้แค้นต้องได้รับการชำระ! 

 

 

 

 

 

“คิดล้างแค้น? นั่นมันเรื่องตลกที่สุดที่ฉันเคยได้ยินในปีนี้เลย อยากเห็นจริงๆ ว่าแกจะทำอะไรได้ ก้าวขึ้นเป็นเลเวล C ได้แล้วมันยังไง? ความแข็งแกร่งของแกก็ยังไม่มากพออยู่ดี!” 

 

 

 

 

 

ขณะกล่าว กวงเว่ยควบรวมอักษรรูนให้มารวมตัวกัน ก่อร่างเป็นนกฟินิกซ์  

 

 

 

 

 

“ลองรับนี่ไป แล้วแกจะได้สำนึก!” 

 

 

 

 

 

ฝั่งฉินเฟิง พลังสมาธิเริ่มถูกควบรวมเช่นกัน อักษรรูนลอยล่อง ก่อตัวลุกโชนเป็นเปลวไฟสีฟ้า ก่อร่างเป็นนกยูงรำแพน 

 

 

 

 

 

“ก็แค่นกยูง จะมาเทียบชั้นกับฟินิกซ์น้ำแข็งของฉันได้ยังไง!” กวงเว่ยเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เร่งเร้าพลังสมาธิ ฟินิกซ์น้ำแข็งสยายปีกบินออกทันใด 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงควบคุมพลังสมาธิในทำนองเดียวกัน วาดมือเบาๆ ส่งนกยูงเพลิงฟ้าพุ่งไปข้างหน้า 

 

 

 

 

 

ทั้งสองตรงเข้าหากัน ปะทะอย่างรวดเร็ว 

 

 

 

 

 

ฟินิกซ์น้ำแข็งยิ่งมายิ่งลดทอนอุณหภูมิอันร้อนแรงของนกยูงเพลิงฟ้า และฝั่งนกยูงเพลิงฟ้าเอง ยิ่งมายิ่งแผดเผาไอเย็น  

 

 

 

 

 

ต่างฝ่ายต่างหลอมละลายกันและกันอย่างบ้าครั้ง สุดท้ายเกิดระเบิดขึ้นพร้อมกัน 

 

 

 

 

 

สะเก็ดน้ำแข็งและเปลวเพลิง กระเด็นกระจายออกไปทุกทิศทาง 

 

 

 

 

 

“นี่มันเป็นไปได้ยังไง?” 

 

 

 

 

 

กวงเว่ยไม่อยากจะเชื่อสายตา 

 

 

 

 

 

ผลปรากฏว่า … อบิลิตี้ของฉินเฟิง มีอำนาจเท่าเทียมกับอบิลิตี้ของเขาอย่างกะทันหัน 

 

 

 

 

 

ในเวลานี้ พลังสมาธิของฉินเฟิงถูกเร่งเร้าขึ้นอีกครั้ง  

 

 

 

 

 

นกยูงเพลิงฟ้าเริ่มก่อร่างขึ้นข้างกายเขา 

 

 

 

 

 

ดวงตาของกวงเว่ยเบิกกว้าง 

 

 

 

 

 

“ไป!” 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงวาดมือ สั่งการมันโฉบทะยานเข้าหากวงเว่ย 

 

 

 

 

 

กวงเว่ยเห็นท่าไม่ดี เร่งเร้าพลังสมาธิเข้าตอบโต้ 

 

 

 

 

 

“ฟินิกซ์น้ำแข็ง!” 

 

 

 

 

 

ทว่าเนื่องจากใช้ออกอย่างกะทันหัน เห็นได้ชัดว่าอักษรรูนยังควบรวมได้ไม่ดีพอ ก่อร่างฟินิกกซ์ได้เพียงหนึ่ง ตรงกันข้ามกับฉินเฟิง ที่สามารถก่อร่างนกยูงได้ถึงสิบตัวในหนึ่งลมหายใจ! 

 

 

 

 

 

ฟินิกซ์น้ำแข็งมีชัยเหนือนกยูงเพลิงฟ้าตัวแรกได้เท่านั้น อีกเก้าตนมันพ่ายแพ้ราบคาบ! 

 

 

 

 

 

“ก้าวเหมันต์!” 

 

 

 

 

 

วูซซซ! กวงเว่ยดีดผึงถอยหลังกลับไป ทว่านกยูงเพลิงฟ้าไล่ล่าไม่ลดละ ราววิญญาณตามติด 

 

 

 

 

 

“กำแพงน้ำแข็ง!” 

 

 

 

 

 

กำแพงขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นจากมวลน้ำแข็ง ลุกฮือขึ้นจากพื้นดิน 

 

 

 

 

 

ตูม ตูม ตูม! 

 

 

 

 

 

สามนกยูงเพลิงฟ้าพุ่งเข้าชนมัน กำแพงน้ำแข็งถล่มลงทันที 

 

 

 

 

 

กวงเว่ยเพิ่งหลบหนีไปได้ 100 เมตรเท่านั้น เขายังเหลือนกยูงเพลิงฟ้าอีก 6 ตัวไล่ตาม 

 

 

 

 

 

กวงเว่ยยังคงปลดปล่อยอบิลิตี้ออกมาเรื่อยๆ เพื่อป้องกัน หยุดการคุกคามจากนกยูงเพลิงฟ้า เจ้าตัวทำได้เพียงรูปแบบเดียว —หนีสลับเดิน เพราะการปลดปล่อยอบิลิตี้ มันจำเป็นต้องใช้เวลา และโฟกัสอยู่กับสมาธิ 

 

 

 

 

 

เมื่อต้องทานรับด้วยภาระที่หนักหน่วงเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง กวงเว่ยเริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป 

 

 

 

 

 

ไม่ต้องกลับถึงในกรณีที่ใช้ไปด้วย หลบหนีไปด้วยอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกตัวอีกที กวงเว่ยก็พบว่าเขาถูกไล่ต้อนออกมาถึงขอบเมืองลอยฟ้าแล้ว 

 

 

 

 

 

มิอาจหาที่ซ่อนได้อีกต่อไป! 

 

 

 

 

 

“แกว๊กกกก” นกยูงเพลิงฟ้าตัวสุดท้าย โฉบกาย ดิ่งทั้งตัวทั้งร่างเข้าหากวงเว่ย กระแทกเข้าใส่เขาโดยตรง 

 

 

 

 

 

ตูม! 

 

 

 

 

 

กวงเว่ยมิอาจทานรับ โดนอัดปลิวออกจากเมืองลอยฟ้าทันที 

 

 

 

 

 

ขณะเดียวกัน มือปืนของกวงเว่ยคิดว่าฉินเฟิงคงถูกกวงเว่ยสยบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงขับฮอลศึกเข้ามาใกล้เมืองลอยฟ้าอย่างระมัดระวัง และทันใดนั้นเอง เขาก็เห็นว่ามีร่างเงาหนึ่งร่วงตกลงมา ดวงตาพลันเปล่งประกายสดใส 

 

 

 

 

 

“ไม่คิดเลย ว่านายพลกวงเว่ยจะลงมือ คว้าชัยได้รวดเร็วอย่างนี้” มือปืนขับฮอลศึกอุทานด้วยความชื่นชม 

 

 

 

 

 

ทว่าชายที่นั่งข้างหลัง และร่วมเดินทางมากับนายพลกวงเว่ย บัดนี้กลับแสดงออกถึงความสับสนเล็กน้อย ต่อมาสีหน้าของเขากลับกลายเป็นตกตะลึงและเสียขวัญ 

 

 

 

 

 

“เอ๋? เดี๋ยวก่อนสิ … ผู้ชายที่ร่วงตกลงมา –นั่นมันนายพลกวงเว่ยต่างหาก!