ตอนที่ 500 วินิจฉัยอาการสุนัข
น่าเสียดายที่เรื่องนี้ไปสร้างประโยชน์ให้มู่จวินฮานอย่างคาดมิถึง สตรีที่อยู่ในอาการหึงหวงก็มักมิได้ไตร่ตรองมากมายนัก
เวลานี้อันหลิงเกอนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมู่จวินฮานพลางหยิบหมากล้อมขึ้นมาแล้วสนทนาเรื่องนี้กับเขา
“หากท่านใช้ประโยชน์จากกำลังทหารของเผ่าหมานอี๋ จ้าวหลานหยู่ก็คงหวาดกลัวมิน้อยเจ้าค่ะ”
“เรื่องที่จ้าวหลานหยู่มิควรทำที่สุดก็คือยั่วยุเจ้า” มู่จวินฮานยกยิ้มและวางหมาก
“มู่จวินฮาน หากให้ข้ากล่าวคือท่านมีความสามารถในการเป็นฮ่องเต้ยิ่งกว่าผู้ใดในตอนนี้เจ้าค่ะ”
ครั้นได้รับการชื่นชมก็ควรนอบน้อมต่อผู้อื่นดั่งที่ผู้อื่นนอบน้อม อันหลิงเกอจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความจริงใจ
“หากเจ้าอยู่ข้างกายผู้ใด แม้เขาไร้ความสามารถก็จักมิใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน” ในสายตาของมู่จวินฮานคืออันหลิงเกอเป็นสตรีเยี่ยงนี้จริง
นางมีความสามารถน่าทึ่ง มิเพียงเชี่ยวชาญทักษะการแพทย์แต่ยังมีมุมมองต่อการเมืองชัดเจนอีกด้วย
“เรียนท่านอ๋อง มีรายงานจากราชสำนักขอรับ”
“ให้เข้ามา”
มู่จวินฮานและอันหลิงเกอต่างมิรู้ว่าข่าวนี้เป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย
“คารวะท่านอ๋องและพระชายา”
สายตาของขันทีมองมายังอันหลิงเกอตลอดและจับจ้องนางอย่างเห็นได้ชัด
“พูดมา”
ความอันตรายฉายชัดออกมาทางแววตาของมู่จวินฮาน เขากลัวว่าจ้าวหลานหยู่วางแผนทำร้ายอันหลิงเกออีก หากเป็นเยี่ยงนั้นเขาจักปกป้องนางให้ได้
“สุนัขเลี้ยงของเฉินเจียอวี๋กินข้าวมิได้มาสองวันแล้ว ฮ่องเต้จึงเชิญพระชายามู่เข้าวังไปวินัจฉัยอาการขอรับ”
สุนัขเลี้ยงอย่างนั้นหรือ ?
เฉินเจียอวี๋คือผู้ใด ?
สำหรับนามเรียกนี้อันหลิงเกอรู้สึกมิคุ้นหูอย่างมาก แต่เมื่อคิดแล้วการเชิญนางเข้าวังเพื่อสุนัขเลี้ยงตัวหนึ่งก็เกรงว่าเจียอวี๋ผู้นั้นต้องมีความสำคัญมากทีเดียว
“รู้แล้ว ออกไปได้”
มู่จวินฮานขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่มิได้ปฏิเสธ หลังจากขันทีออกไปแล้วเขาจึงกล่าวว่า
“เฉินเจียอวี๋ผู้นี้คือพี่เลี้ยงของจ้าวหลานหยู่ หลังหลี่กุ้ยเฟยออกจากวังแล้ว นางก็ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้”
เมื่อได้ยินแล้วอันหลิงเกอก็เริ่มมีแผนการในใจ เริ่มอยากเข้าวังแล้วจริง ๆ
“หากเจ้ามิอยากไปก็ใช้ข้ออ้างว่าป่วยได้ มิมีผู้ใดประณามเจ้าเพียงเพราะสุนัขตัวเดียวหรอก”
“มิได้ ข้าต้องไปเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอยกยิ้ม พอเห็นรอยยิ้มเยี่ยงนี้ของนางแล้วมู่จวินฮานก็รู้ได้ทันที เขากลัวว่าเฉินเจียอวี๋ต้องประสบพบเจอหายนะครั้งใหญ่เสียแล้ว
ความบังเอิญของเรื่องนี้น่าจะทำให้จ้าวหลานหยู่ร้อนรนมิน้อยจนอยากให้พี่เลี้ยงมาลองหยั่งเชิงอันหลิงเกอ
ถึงอย่างไรตอนนี้หลี่กุ้ยเฟยก็ซ่อนตัวอยู่ในป่าลึกจึงมิมีผู้ใดช่วยเขาได้อีก
“แต่นางเป็นพี่เลี้ยงขององค์ชายเจ็ดแล้วจักมีตำแหน่งได้เยี่ยงไรเจ้าคะ ? ”
นี่คือเรื่องที่อันหลิงเกอมิเข้าใจ ความโปรดปรานที่ฮ่องเต้มีต่ออีกฝ่ายดูเหมือนมิได้ตื้นเขิน ทว่าสตรีที่อยู่ข้างกายจ้าวหลานหยู่ก็มิน่าพระราชทานยศถาบรรดาศักดิ์ให้ได้
“เฉินเจียอวี๋มีฐานะเป็นบ่าว ฮ่องเต้จึงขอให้อัครมหาเสนาบดียอมเป็นพ่อบุญธรรมของนาง”
เมื่อได้ยินดังนั้น อันหลิงเกอก็เข้าใจเหตุผลทันที นางสันนิษฐานได้ว่าเฉินเจียอวี๋ต้องเกลียดมู่จวินฮานยิ่งกว่าที่จ้าวหลานหยู่เกลียดเป็นแน่
อย่างไรนางก็มีฐานะต่ำต้อยกว่าหลี่กุ้ยเฟย การออกจากวังก็มิใช่เรื่องง่าย นางจึงมีโอกาสได้รับความโปรดปราน แต่เนื่องจากจ้าวหลานหยู่ถูกโจมตี นางจึงมิอาจปีนป่ายขึ้นไปยังตำแหน่งที่สูงได้
“เช่นนั้นข้าจักเข้าวังเพื่อพบเฉินเจียอวี๋เจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอเอ่ยอย่างผ่อนคลาย แต่มู่จวินฮานมิวางใจ เพราะหลายปีมานี้หลี่กุ้ยเฟยลอบสังหารพระสนมไปมิน้อย ส่วนเฉินเจียอวี๋ย่อมเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ดังนั้นจึงเป็นบุคคลที่มิควรเข้าไปยุ่ง
แม้อันหลิงเกอฉลาดแต่เทียบมิได้กับสตรีในวัง ยิ่งไปกว่านั้น*ขิงแก่ย่อมเผ็ดกว่า สำนวนนี้มู่จวินฮานรู้ดีแก่ใจ
“ท่านวางใจเถิด ในเมื่อนางใช้สุนัขเลี้ยงมาเป็นข้ออ้างให้ข้าเข้าวัง นางย่อมมิสามารถทำอันใดข้าอย่างโจ่งแจ้งได้เจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอคิดแผนการไว้ในใจแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือเฉินเจียอวี๋คงแค่ลองหยั่งเชิงเท่านั้น หากต้องการวางแผนใส่ร้ายตนก็คงมิเหมาะสม
สถานะในตอนนี้ของอันหลิงเกอมิเพียงเป็นพระชายามู่ สำหรับคนในเมืองหลวงแล้วการดำรงอยู่ของอันหลิงเกอนั้นเป็นกุญแจสำคัญแห่งความสมดุล
ดังนั้นหากเฉินเจียอวี๋คิดทำร้ายนาง มิว่าถูกหรือผิดก็ต้องมีจุดจบที่มิดีเช่นกัน
มู่จวินฮานรู้ว่าที่อันหลิงเกอกล่าวถูกต้องจึงยอมให้นางเข้าวังไปเพียงคนเดียว อันหลิงเกอเคยเข้าวังหลวงมาหลายครั้งแล้วจึงยากจะหลงทาง
“คารวะเจียอวี๋*เหนียงเหนียงเจ้าค่ะ” เฉินเจียอวี๋มิได้สนใจท่าทางคารวะของอันหลิงเกอ ตรงกันข้ามยังลากนางมานั่งเก้าอี้ด้านข้าง
“อ๋องมู่ช่างโชคดีที่ได้พระชายางดงามเยี่ยงนี้” เฉินเจียอวี๋กล่าวราวกับสนิทสนมกับมู่จวินฮานมากทีเดียว แต่อันหลิงเกอย่อมมองออกว่ารอยยิ้มนั้นเจ้าเล่ห์นัก
“ท่านก็ชมเกินไปเจ้าค่ะ มิทราบว่าสุนัขเลี้ยงเป็นเยี่ยงไรบ้าง” เมื่ออันหลิงเกอเอ่ยถามขึ้นมานางก็เหมือนเพิ่งคิดได้จึงสั่งให้นางกำนัลอุ้มสุนัขเข้ามา
อันหลิงเกอมองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าสุนัขตัวนี้มิได้เป็นอันใด ในตอนที่นางรับสุนัขเลี้ยงมานั้น ความเจ้าเล่ห์ได้ฉายออกมาจากดวงตา แต่เฉินเจียอวี๋มิทันได้สังเกต
“เหนียงเหนียง สุนัขเลี้ยงของท่านมิเป็นอันใด เหนียงเหนียงวางใจได้เจ้าค่ะ” เมื่อเห็นว่าอันหลิงเกอมิอยากสนทนาด้วย เฉินเจียอวี๋ก็เข้าใจมุมมองของอีกฝ่ายทันที
“เยี่ยงนั้นก็ขอบใจเจ้ามาก เด็กเด็ก ส่งพระชายากลับ” อันหลิงเกอทำความเคารพเล็กน้อยและออกจากตำหนักทันที
เฉินเจียอวี๋มองแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ เพราะแค่อยากเจอสตรีนางนี้เท่านั้น
อันหลิงเกอมิได้สนใจความคิดเหล่านี้ของอีกฝ่าย ในเมื่ออยากลองหยั่งเชิงตนก็ตามสบาย
แต่น่าเสียดายที่สุนัขตัวนี้มิได้เชื่องเพราะมันอาจนำพาปัญหาบางอย่างมาสู่เฉินเจียอวี๋ก็ได้
“ว้าย!” อันหลิงเกอเพิ่งเดินออกมาได้มินาน สุนัขตัวนั้นก็ดิ้นหลุดจากพันธนาการและมาชนขาของนาง นี่เป็นพฤติกรรมที่มิเคยมีมาก่อนและแน่นอนว่าเฉินเจียอวี๋ก็คาดมิถึงว่าแท้จริงเป็นฝีมือของอันหลิงเกอ
“เด็กเด็ก รีบไปจับสุนัขกลับมาเร็ว ! ”
เวลานี้ภายในตำหนักของเฉินเจียอวี๋เกิดความอลหม่านขึ้น แต่อันหลิงเกอออกจากวังหลวงไปอย่างปลอดภัยโดยมิได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
“เป็นอย่างไรบ้าง ? ” ครั้นเห็นอันหลิงเกอกลับมาแล้วในใจของมู่จวินฮานก็ผ่อนคลาย แม้รู้ความสามารถของนางแต่เขาก็ยังกังวลตลอดเวลา
“เป็นดั่งที่ข้าคิดไว้เจ้าค่ะ นางแค่อยากช่วยจ้าวหลานหยู่หยั่งเชิงข้าเท่านั้น”
ผู้ใดก็มองออกว่าอีกฝ่ายคิดอยากดึงนางเข้ามาเป็นแนวร่วม
เมื่อเห็นนางกลับมามู่จวินฮานก็โล่งใจ เดิมทีเขามิได้สนใจว่าจ้าวหลานหยู่และเฉินเจียอวี๋วางแผนอันใดเพราะความคิดของศัตรู เขารู้ชัดแจ้งมาก่อนหน้านั้นแล้ว
“เรียนท่านอ๋อง คนจากวังหลวงมาอีกแล้วขอรับ” มีคนจากวังหลวงมาเยือนอีกครั้ง มู่จวินฮานจึงเริ่มมิสบายใจเล็กน้อยเพราะกังวลว่าจักเป็นข่าวร้ายสำหรับอันหลิงเกอ
“ว่ามา”
ในเมื่อมาแล้วเขาก็ทำได้เพียงต้อนรับ ยิ่งไปกว่านั้นอันหลิงเกอก็แสดงท่าทางมิเป็นเดือดเป็นร้อนอันใด เขารู้ว่านางชั่งน้ำหนักเรื่องได้ดีพอจึงมิมีทางสร้างปัญหาในวังหลวงเป็นแน่
“พระชายามู่มีจิตใจบริสุทธิ์จึงประทานทองคำ 100 ชั่งและเงิน 1,000 ตำลึงขอรับ”
“ผู้ใดประทานให้หรือ ? ” อันหลิงเกอเงยหน้าขึ้นและมิได้รีบร้อนกล่าวขอบคุณ
“เฉินเจียอวี๋เหนียงเหนียงขอรับ เหนียงเหนียงคิดว่าเมื่อพระชายามู่ช่วยรักษาสุนัขเลี้ยง นางจึงประทานรางวัลเป็นการตอบแทนขอรับ”
…
*ขิงแก่ย่อมเผ็ดกว่า หมายถึง ผู้สูงอายุย่อมมีความรู้และประสบการณ์ในชีวิตมากกว่าหนุ่มสาว
*เหนียงเหนียง เป็นคำเรียกเจ้านายผู้เป็นสตรี