ตอนที่ 502 สตรีผู้ลึกลับ

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 502 สตรีผู้ลึกลับ

อันหลิงเกอยกยิ้มและเอนกายพิงด้านข้างโดยมิได้กล่าวอันใด

ในตอนนี้เหมือนว่าอันหลิงเกอได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้นจากบริเวณใกล้เคียง

อันหลิงเกอมีประสาทสัมผัสไวต่อเสียงมาก นางคิดว่าเป็นเสียงการสนทนาและเสียงหัวเราะของบุรุษและสตรีคู่หนึ่ง แต่เสียงลมที่โชยพัดมาในยามนั้นได้กลบเสียงสนทนานี้ไปจึงทำให้ได้ยินมิชัดว่าเป็นเสียงของผู้ใด

“เจ้าได้ยินเสียงคนสนทนากันใกล้ ๆ นี้หรือไม่ ? ” อันหลิงเกอกระทุ้งซูโจวเล็กน้อย

“มิใช่เรื่องของเราก็อย่าไปฟังขอรับ” ซูโจวเป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร อันหลิงเกอจึงกลอกตาไปมาจากนั้นก็ลุกขึ้นนั่ง

นางเข้าใจว่าเรื่องเหล่านี้ซูโจวมิสนใจทั้งสิ้น แต่ตัวนางสนใจมากเป็นพิเศษจึงค่อย ๆ ลุกขึ้น จากนั้นก็เดินไปตามทิศทางของเสียงเพราะอยากเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด

“เจ้ามิรักข้าแล้วหรือ ? ” น้ำเสียงของสตรีผู้นั้นมีเสน่ห์มาก อันหลิงเกอที่ได้ยินก็อดขนลุกมิได้

คาดมิถึงว่านอกกำแพงจวนอ๋องจักมีทิวทัศน์เช่นนี้ หรือก่อนหน้านี้นางเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ?

“เจ้าคิดเยี่ยงนั้นหรือ ? ” อันหลิงเกอฟังน้ำเสียงของบุรุษออกว่ามิได้รู้สึกอันใด ดูท่าแล้วเป็นฝ่ายหญิงที่ปรารถนาเพียงผู้เดียวมากกว่า

ในตอนที่อันหลิงเกอกำลังเตรียมปีนลงจากกำแพงก็ได้เห็นรอยยิ้มตรงมุมปากของสตรีผู้นั้น

นางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนเบิกตากว้างเมื่อเห็นชายผู้นั้นโดนหนอนกู่กลืนกินและมลายหายเป็นควันในชั่วพริบตา

โลกใบนี้ยังมีวิชามารเช่นนี้ด้วย !

ในตอนที่สตรีผู้นั้นเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาสีฟ้าครามจับจ้องมาทางอันหลิงเกอราวกับกลืนกินจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น อันหลิงเกอจึงรีบส่ายหน้าทันที จากนั้นก็กระโดดลงมาโดยมิลังเลแล้วกลับไปยังสนามหญ้าเมื่อครู่

ซูโจวมิรู้ว่ากลับไปตั้งแต่ตอนไหน สนามหญ้าจึงเหลือเพียงนางผู้เดียว ครั้นนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครู่แล้วในใจของอันหลิงเกอก็อดสั่นมิได้

แม้อันหลิงเกอรู้วิชาแพทย์ แต่ศาสตร์แขนงใดก็เทียบกับสตรีเมื่อครู่มิได้ ยิ่งกว่านั้นฝีมือของอีกฝ่ายก็เก่งกาจมาก ทั้งยังทำให้บุรุษมลายหายเป็นควัน ดูท่าเหตุการณ์เยี่ยงนี้จักดูถูกพิษหนอนกู่มิได้แล้ว

มิรู้ว่าเพราะเหตุใดพอนึกถึงพิษหนอนกู่แล้ว อันหลิงเกอต้องนึกถึงฟางหลิงซู่ผู้นั้นทุกที เพราะในโลกใบนี้คนที่เทียบเทียมเขาได้ มิรู้ว่าสตรีผู้นั้นจักมีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ?

ฝีมือของฟางหลิงซู่ นางก็เคยเห็นกับตามาก่อนจึงรู้ว่าเก่งกาจเพียงใด แต่หญิงสาวเมื่อครู่มองแล้วคงมิต่างกันเท่าไรนัก

มิรู้ว่าเพราะเหตุใดเมื่อนึกถึงนัยน์ตาสีฟ้าครามเมื่อครู่ อันหลิงเกอรู้สึกคุ้นตาเหมือนว่าเห็นจากฟางหลิงซู่อย่างบอกมิถูก แต่นัยน์ตาของฟางหลิงซู่เป็นสีแดงก่ำ

คนเหล่านี้คิดทำอันใดกันแน่ ?

คำถามนี้อันหลิงเกอก็มิอาจตอบได้ มิรู้ว่าซูโจวทราบหรือไม่

น่าเสียดายที่เขารีบจากไปเสียก่อน มิเช่นนั้นนางต้องถามเขาเป็นแน่

“กำลังตามหาข้าหรือ ? ” ในตอนที่อันหลิงเกอกำลังไปตามหาซูโจวนอกเรือน สตรีเมื่อครู่ก็มาปรากฏตัวที่ด้านหลังของนาง

อันหลิงเกอสูดลมหายใจเข้าลึก อีกฝ่ายเสียงดังเยี่ยงนี้คงมิได้ซุ่มโจมตีและมิได้คิดทำร้ายตนแน่นอน

“เจ้าเป็นบุตรีของจวนโหวอันใช่หรือไม่ ? ”

รู้ได้เยี่ยงไร ? อันหลิงเกอตื่นตกใจไปชั่วขณะ สตรีผู้นั้นหายตัวไปจากตรงหน้าของนาง อันหลิงเกอมิเห็นว่าจากไปได้อย่างไร รู้สึกแค่ว่ามีลมกลุ่มหนึ่งพัดผ่านหูของตนไป เสียงอันน่าหลงใหลได้แปรเปลี่ยนเป็นไร้ตัวตน

“ข้าเคยพบมารดาของเจ้าด้วย”

เป็นไปมิได้

ในตอนที่นางเยาว์วัยท่านแม่ได้ลาสิ้นไปแล้ว เด็กสาวผู้นี้มองแล้วมีอายุมิต่างจากตนเท่าไรนัก มิน่าได้พบท่านแม่อย่างที่กล่าวไว้

อันหลิงเกอมิได้คิดให้มากความ สตรีผู้นี้มาพร้อมความลึกลับและการหายตัวไปเยี่ยงนี้สร้างความประหลาดใจมิน้อย นางมิรู้ว่าความสามารถของอีกฝ่ายแข็งแกร่งเพียงใด คนเช่นนี้นางก็มิใช่คู่ต่อสู้

“คิดอันใดอยู่หรือขอรับ ? ” เสียงของซูโจวสร้างความตกใจให้มิน้อย นางรีบดึงสติกลับมาทันใด ครั้นเห็นเขาจึงวางใจ

ความสบายใจในชั่วพริบตาเดียวทำให้ซูโจวสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น

“เมื่อครู่เจ้าไปไหน? จู่ ๆ ก็โผล่มาโดยมิให้สุ้มให้เสียงเช่นนี้ ! ”

“นั่งลงเถิดขอรับ” เขานั่งลงก่อนแล้วก็โบกมือไปทางนาง

“จริงสิ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากถามเจ้า” อันหลิงเกอเพิ่งนึกเรื่องของสตรีเมื่อครู่ได้ นัยน์ตาสีฟ้าครามคู่นั้นมีความหมายว่าเยี่ยงไร ?

เมื่อได้ยินน้ำเสียงของอันหลิงเกอ ซูโจวก็อดขมวดคิ้วมิได้

“คนที่เลี้ยงหนอนกู่ในร่างกาย หากหนอนพิษที่อยู่ในกายเป็นสีใดแล้ว รูม่านตาก็สะท้อนเป็นสีเดียวกันขอรับ”

ใช้ร่างกายหรือ ? ร่างกายของมนุษย์สามารถต้านทานหนอนพิษที่แข็งแกร่งได้หรือ ?

ดูเหมือนซูโจวเข้าใจความสงสัยของอันหลิงเกอจึงเอ่ยปาก “ด้วยเหตุนี้นัยน์ตาของพวกเขาจักเกิดการเปลี่ยนแปลง ยิ่งรวบรวมมากเพียงใด พิษหนอนกู่ก็ยิ่งร้ายแรงขึ้นเท่านั้นขอรับ”

ได้ยินประโยคนี้แล้วอันหลิงเกอก็นึกถึงฟางหลิงซู่ขึ้นมา

นัยน์ตาของฟางหลิงซู่แดงก่ำซึ่งแตกต่างจากสตรีที่พบวันนี้ ดูท่าฟางหลิงซู่เหนือกว่าไปก้าวหนึ่งแล้ว

“มนุษย์ยังห่างไกลความฉลาดมากทีเดียว เพราะพิษกู่ของพวกเขามีแต่พวกเขาถอนได้ขอรับ”

พิษงูยังพอรักษาได้ ทว่าพิษกู่นี้ไร้ยารักษา นางนึกถึงฟางหลิงซู่บุรุษอันตรายโดยมิรู้ตัว

ดูท่าวันข้างหน้านางต้องระมัดระวังตัวจากหอพิษกู่เสียแล้ว

“นัยน์ตาสีฟ้าคราม เท่าที่ข้าน้อยรู้ก็มีเพียงหนานกงหลิงเยว่ทายาทโดยสายเลือดของหอพิษกู่ที่เราเคยตามหาเมื่อครั้งก่อน นัยน์ตาของนางเป็นสีฟ้าครามเพราะใช้พิษงูกับร่างกายมานานหลายปีขอรับ”

หนานกงหลิงเยว่ก็คือคนในหอพิษกู่เยี่ยงนั้นหรือ ?

“นางเป็นลูกพี่ลูกน้องของฟางหลิงซู่ขอรับ”

ดูท่าแล้วหอกู่พิษมิยอมปล่อยอันหลิงเกอไปอย่างแน่นอน

ถึงตอนนี้อันหลิงเกอก็เข้าใจแล้วว่าหอพิษกู่แห่งนี้กำลังจับตามองนางอยู่และต้องเกี่ยวข้องกับสถานะของตนเป็นแน่ มิว่าเป็นเยี่ยงไรในเมื่อหลบหลีกมิพ้นแล้วก็เผชิญหน้ากันไปเลย

“มีเรื่องอันใดหรือขอรับ ? นางมิมีทางทำร้ายท่านเพราะหนานกงหลิงเยว่ฆ่าคนที่เนรคุณเท่านั้นขอรับ” ซูโจวเห็นสีหน้าของอันหลิงเกอก็เกิดความกังวลเรื่องหอพิษกู่ขึ้นในใจ เขาเข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงจับตามองนาง

“อืม…”

นี่คือความกระวนกระวายใจครั้งแรกของอันหลิงเกอ นางคาดเดาความแข็งแกร่งของหอพิษกู่มิได้เลยและคาดเดาจุดประสงค์มิได้ด้วย แต่นางรู้ว่าที่พวกเขาทำมิใช่เรื่องผลประโยชน์แน่

“ช่างเถิด เจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว” ซูโจวจึงเตรียมเดินจากไป

“ช้าก่อน” อันหลิงเกอลุกขึ้นยืนฉับพลัน จากนั้นก็มองไปยังน้ำชาที่เย็นชืดและขนมด้วยความเสียใจ

“ขอรับ ? ” ซูโจวสังเกตเห็นความมิสบายใจและเสียใจในแววตาของนางจึงส่งยิ้มให้เล็กน้อย

“ซูโจว อย่าบอกเรื่องนี้กับมู่จวินฮาน” หลังเงียบไปเนิ่นนานแล้วอันหลิงเกอก็กล่าวเรื่องที่เป็นห่วงออกมา

นางมิหวังให้คนข้างกายต้องมากังวลโดยเฉพาะอย่างยิ่งมู่จวินฮาน

“ขอรับ” ซูโจวตอบรับโดยมิได้ลังเล นางคืออันหลิงเกอและคำตัดสินทุกคำล้วนเป็นหน้าที่ของเขา

ในความจริงแล้วพวกเขาต่างรู้ดีว่าหากมีอ๋องมู่คอยช่วยเหลือนาง บางทีอาจหลบหลีกจากหอพิษกู่ได้ อย่างน้อยก็ให้หอพิษหวาดกลัว แต่นางมิยอมให้เป็นเยี่ยงนี้เพราะมิอยากดึงมู่จวินฮานเข้ามาในวงล้อแห่งความวุ่นวาย

หลังซูโจวจากไป อันหลิงเกอก็มิได้เรียกปี้จูเข้ามา ส่วนตนก็เก็บเศษขนมที่เลอะพื้นแล้วยกน้ำชาที่เย็นชืดขึ้นดื่มจนหมด