หมอเทวดาหวาถอนหายใจยาว “เป็นตายโชคชะตากำหนด การแต่งงานคือพรหมลิขิต! ความคิดของท่านอ๋อง เกรงว่าแม้แต่สวรรค์ก็เดาไม่ถูก”
“ทว่าที่ข้าได้ยินมา สถานะของฮูหยินน้อย… หากเป็นเช่นนั้นจริง สุดท้ายพวกเขาก็ไม่อาจเคียงคู่กันได้”
“แม่นางเมี่ยวอวี่ ฟังคำเตือนของข้าสักคำหนึ่งเถิด พวกเราล้วนเป็นบ่าว ไม่อาจเป็นเจ้าชีวิตของตนเอง ทั้งยังถูกเจ้านายกำหนดชีวิตไว้แล้ว แม้สถานะของแม่นางหนานกงจะสูงส่ง ทว่าพูดไปแล้ว นางก็เป็นเพียงบ่าวของท่านอ๋อง เมื่อได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋องก็นับเป็นความสุขของบ่าว หากไม่ได้รับความโปรดปรานก็ควรรักษาหน้าที่ของบ่าวเอาไว้ ท่านอ๋องเป็นถึงเชื้อพระวงศ์”
พูดจบ หมอเทวดาหวาก็ส่ายศีรษะเดินออกไป
เมี่ยวอวี่มองหมอเทวดาหวาที่เดินจากไป ก่อนจะเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ทอแสงโดดเดี่ยวบนท้องฟ้า มองอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานานด้วยความเงียบงัน
“ทวยเทพบนสรวงสวรรค์ หากท่านศักดิ์สิทธิ์จริง ท่านต้องอวยพรให้นายน้อยเข้าใจความรักของคุณหนูหนานกงที่มีต่อเขาโดยเร็ว คุณหนูหนานกงมีบุญคุณกับข้า ชีวิตนี้เมี่ยวอวี่ไม่มีสิ่งใดตอบแทน หากคุณหนานกงได้รับความเมตตาจากนายน้อย เมี่ยวอวี่ยอมอายุสั้นลงยี่สิบปี”
เมี่ยวอวี่พูดพลางดึงปิ่นปักผมจากศีรษะ แทงไปที่ฝ่ามือโดยไม่ลังเล ทันใดนั้นเลือดสีแดงสดก็ไหลออกมาราวกับสายน้ำ
นางยื่นมือไปทางพระจันทร์ที่สุกสกาวและโปรยเลือดลงบนพื้น
บูชาโลหิตต่อสวรรค์ อธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์ศักดิ์
ในตำหนักเสวียนปิง เมี่ยวอินและเมี่ยวเซิ่งนำตัวซูจิ่นซีที่หมดสติโยนลงบนแผ่นหินเย็นเฉียบ ด้านบนแผ่นหินคือฮูหยินปิงจีที่มีใบหน้างดงามน่าเกรงขาม
“ฮูหยิน นำคนมาแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินปิงจีไม่พูดอันใด และไม่มีผู้ใดกล้าพูด
ผ่านไปครู่ใหญ่ ซูจิ่นซีค่อยๆ ได้สติขึ้นมา นางมองไปรอบๆ สุดท้ายจึงหยุดสายตาที่ใบหน้าของฮูหยินปิงจีซึ่งอยู่บนขั้นบันได
“ท่าน… พวกท่านเป็นผู้ใดกันแน่ จับข้ามาทำไม? ”
ฮูหยินปิงจีลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินลงบันไดอย่างเชื่องช้า นางเดินไปด้านหน้าซูจิ่นซีและก้มตัวลงจับคางของซูจิ่นซีเอาไว้
“ช่างงดงามเสียจริง ไม่แปลกใจที่โยวเหยาจะหลงรัก อย่างไรก็ตาม แม้จะงดงามเพียงใดก็เป็นแค่รูปลักษณ์ภายนอก” ฮูหยินปิงจีพูดพลางสะบัดแก้มของซูจิ่นซีไปอีกทางอย่างแรง
ซูจิ่นซีรู้สึกเจ็บที่คอและแก้ม
“เจ้าเป็นใครกันแน่? มีความสัมพันธ์อันใดกับเยี่ยโยวเหยา? เหตุใดต้องจับข้ามาที่นี่? ” ซูจิ่นซีโกรธอย่างมาก
“ที่นี่นอกจากข้าแล้ว ไม่มีผู้ใดกล้าเรียกชื่อโยวเหยา เจ้ากล้าดีอย่างไร องครักษ์! ตบปากนาง”
เมี่ยวอินเดินเข้ามาจับซูจิ่นซีไว้ เมี่ยวเซิ่งกำลังจะตบหน้าซูจิ่นซี ทว่ามือของนางกลับหยุดชะงัก
“เกิดอันใดขึ้น? ” ฮูหยินปิงจีขมวดคิ้ว มองไปที่เมี่ยวเซิ่ง
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ มือของข้าน้อยขยับไม่ได้”
เมี่ยวอินที่จับตัวซูจิ่นซีไว้พลันกรีดร้องและรีบดึงมือกลับ
ครู่หนึ่ง แขนของทั้งสองก็กลายเป็นสีดำ
ฮูหยินปิงจีมองซูจิ่นซีอย่างเย็นชา
ซูจิ่นซีเงยหน้าขึ้นสบตาฮูหยินปิงจีโดยไม่มีท่าทีอ่อนแอแม้แต่น้อย
“ถูกต้อง เป็นข้าที่วางยาพิษ หากผู้ใดไม่กลัวตายก็ลองเข้ามา”
“บังอาจ! ” เมี่ยวอินพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “เจ้ารู้หรือไม่ ผู้ที่ยืนตรงหน้าเจ้าคือผู้ใด? ”
ซูจิ่นซียกยิ้มเย็นชา “พวกเจ้าเป็นคนจับข้ามา ข้าไม่เคยพบพวกเจ้ามาก่อน จะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเจ้าเป็นใคร? ” พูดจบ ซูจิ่นซีก็มองไปทางฮูหยินปิงจีอีกครั้ง “ฮูหยิน ดูเหมือนท่านจะมีความมั่นใจมากเกินไป! ”
เมื่อได้ฟังคำเยาะเย้ยของซูจิ่นซี นึกไม่ถึงว่าฮูหยินปิงจีจะไม่โกรธเคือง “ดูแล้วเจ้าไม่เพียงดวงแข็งเท่านั้น ทว่ายังปากคอเราะร้ายอีกด้วย”
“ปากคอเราะร้ายหรือ นั่นต้องดูว่าพูดกับผู้ใด”
“ฮูหยินน้อย! ” แม้เมี่ยวเซิ่งจะถูกพิษของซูจิ่นซี ทว่านางยังกล่าวเตือนด้วยความหวังดี “ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าท่านคือฮูหยินปิงจี เจ้าตำหนักเสวียนปิง เมื่ออยู่ต่อหน้าฮูหยิน แม้แต่นายน้อยยังต้องเรียกนางว่าท่านอาด้วยความเคารพ”
นายน้อย?
ซูจิ่นซีไม่ต้องคิดให้มากความ ต้องเป็นเยี่ยโยวเหยาอย่างแน่นอน
ทว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้าท่านนี้… คือท่านอาของเยี่ยโยวเหยาหรือ?
ซูจิ่นซีจำได้ว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ใช่โอรสที่แท้จริงของเฉินไท่เฟย ทั้งยังนึกถึงคำพูดตอนที่เยี่ยโยวเหยามอบอั้นหรานเซียวหุนให้นาง ทันใดนั้น แววตาของนางพลันปรากฏความสับสน
ฮูหยินปิงจีจ้องมองใบหน้าของซูจิ่นซี ราวกับคาดหวังสิ่งใดบางอย่าง
“ว่าอย่างไร? กลัวแล้วหรือ? ” เมี่ยวอินพูดอย่างดูหมิ่น
“กลัวหรือ? ” ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา
คำว่า ‘กลัว’ ไม่เคยปรากฏในพจนานุกรมของซูจิ่นซี ทั้งนางยังไม่รู้ด้วยว่าคำนั้นเขียนอย่างไร
ใบหน้าองอาจของซูจิ่นซีสบตากับฮูหยินปิงจีด้วยท่าทีเยาะเย้ย “บริวารของท่านเรียกท่านอ๋องว่านายน้อยด้วยความเคารพ แต่กลับจับตัวพระชายาของเขามาที่นี่ คิดว่าพวกท่านคงไม่ใช่คนดีอันใด”
ฮูหยินปิงจีหรี่ตาลงอย่างเชื่องช้า ซูจิ่นซียังคงไม่แสดงความอ่อนแอ
สายตาของทั้งสองปะทะกันจนเกิดประกายไฟ ครู่หนึ่ง ฮูหยินปิงจีจึงตะโกนเสียงดัง “ยวี่จี นำนางไปเป็นอาหารให้สัตว์เทพซื่อฉิง”
เมี่ยวเซิ่งและเมี่ยวอินต่างตกตะลึงในทันที
“รับทราบ! ” ยวี่จีตอบรับและเดินเข้ามาจับตัวซูจิ่นซี
สายตาเย็นชาของซูจิ่นซีจ้องมองไปยังบุรุษที่แต่งตัวประหลาดซึ่งกำลังเดินมาทางนาง “เจ้าไม่กลัวว่าบนตัวข้าจะมีพิษหรือ? ”
ยวี่จียกยิ้มเฉยเมยพลางโบกมือ ทันใดนั้น ร่างของซูจิ่นซีก็ถูกล้อมรอบด้วยลำแสงบางอย่าง
เขาไม่จำเป็นต้องแตะตัวซูจิ่นซี จึงไม่กลัวพิษที่อยู่บนตัวนาง
ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าสัตว์เทพซื่อฉิงคือสัตว์ประหลาดชนิดใด ทว่านางไม่มีวรยุทธ์ เดิมทีเพียงกำราบสัตว์เทพกิเลนก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว นางจะรับมือกับสัตว์เทพซื่อฉิงได้อย่างไร?
ซูจิ่นซีครุ่นคิดอย่างฉับไว ทันใดนั้นนางก็พูดกับฮูหยินปิงจีว่า “หากท่านสังหารข้า ท่านไม่กลัวว่าเยี่ยโยวเหยาจะมาเอาชีวิตท่านหลังจากที่รู้เรื่องนี้หรือ? ”
“เอาชีวิตหรือ? ” ฮูหยินปิงจียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “หากเขามีความสามารถถึงเพียงนั้น ข้าก็ยินดีด้วย”
ซูจิ่นซีอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ หรือคนผู้นี้จะมีวรยุทธ์ร้ายกาจอย่างมาก แม้แต่เยี่ยโยวเหยายังเอาชนะนางไม่ได้?
ซูจิ่นซีไม่อาจดิ้นรนได้เลย นางถูกยวี่จีจับตัวไปยังข้างสระไร้รัก
เวลานี้ ฮูหยินปิงจีและคนอื่นๆ ต่างรีบตามมาที่สระไร้รัก ซูจิ่นซีต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทว่ากลับถูกยวี่จีปิดปากเอาไว้
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอย่างยวี่จี ซูจิ่นซีรู้สึกเหมือนตนเองตัวเล็กราวกับหยดน้ำในมหาสมุทร ไม่สามารถดิ้นรนได้ ทำได้เพียงจ้องมองสัตว์เทพซื่อฉิงเคลื่อนที่เข้าใกล้ตนเองเรื่อยๆ
“สัตว์เทพซื่อฉิง กลืนกินนางเดี๋ยวนี้! ”
หลังจากน้ำเสียงเย็นชาของยวี่จี สัตว์เทพซื่อฉิงก็ส่งเสียงคำรามดุดัน มันอ้าปากกว้างอยู่เหนือศีรษะของซูจิ่นซี เคลื่อนที่เข้าใกล้ซูจิ่นซีมากขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังครืน ตามมาด้วยเสียงคำรามที่ดุร้ายยิ่งกว่าสัตว์เทพซื่อฉิง รอบด้านพลันเกิดแสงสว่างเจิดจ้า
ไม่รู้ว่าสัตว์เทพที่มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าสัตว์เทพซื่อฉิงปรากฏตัวขึ้นมาได้อย่างไร มันยืนขวางอยู่ด้านหน้าซูจิ่นซี
ยวี่จี ฮูหยินปิงจี และผู้ติดตามต่างตกตะลึงกับลำแสงเจิดจ้าจนผงะถอยหลังไปหลายก้าว
“นี่คือสิ่งใด? ” ฮูหยินปิงจีใช้แขนเสื้อบังแสงพลางถามยวี่จี
ยวี่จีมีท่าทีลำบากใจ “เหมือนจะ… เหมือนจะเป็นสัตว์เทพกิเลน”
“สัตว์เทพกิเลน? ” ฮูหยินปิงจีรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก สัตว์เทพกิเลนอยู่กับสตรีผู้นี้ได้อย่างไร?
ยวี่จีก็ไม่รู้ว่าเหตุใด
เพียงเห็นสัตว์เทพกิเลนปรากฏตัวขึ้น สัตว์เทพซื่อฉิงก็หยุดการโจมตีทันที แม้มันยังต้องการโจมตีสัตว์เทพกิเลน ทว่าเสียงคำรามของสัตว์เทพกิเลนทำให้มันหวาดกลัวจนต้องถอยกลับลงไปในสระไร้รัก