กู้จิ้งพูดไม่ออก ที่แท้เซียวเถี่ยเฟิงเคยไม่เข้าใกล้ผู้หญิงอย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่ว่าเห็นผู้หญิงก็โก่งคอร้องเพลงหรอกหรือ?
แต่เห็นสีหน้าประหลาดใจของลวี่หลัว เธอก็ได้แต่กล่าวว่า “ใช่ๆๆ ท่านพูดถูก…”
แต่ในใจกลับคิดว่า ทำไมรู้สึกแปลกๆ นะ?
กำลังพูดคุยกันอยู่ อู่อ๋องกับเซียวเถี่ยเฟิงก็มาถึง
ลวี่หลัวรีบย่อกายคารวะ “ท่านอ๋อง แม่ทัพเซียว ทุกอย่างถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว แค่รอให้ถึงวันพรุ่งนี้เท่านั้น คืนนี้ให้ท่านหมอกู้อยู่กับข้าที่นี่ พรุ่งนี้ค่อยแต่งออกไป”
เซียวเถี่ยเฟิงไม่ได้เห็นกู้จิ้งมานานย่อมคิดถึงไม่น้อย ดังนั้นจึงเอ่ยถามเธอโดยไม่สนใจอู่อ๋องกับลวี่หลัวสักนิด “ยังขาดอะไรอีกไหม?”
“ไม่ พระชายาเตรียมไว้หมดแล้ว จะขาดได้ยังไง!”
กู้จิ้งตบท้ายประโยคด้วยการย้อนถาม สำหรับกู้จิ้งนี่เป็นเรื่องปกติมาก เพราะเธอพูดจาแบบนี้เป็นประจำอยู่แล้ว
แต่ลวี่หลัวเห็นแล้วกลับสะดุ้งด้วยความตกใจ
ทำไมนางถึงพูดกับแม่ทัพเซียวแบบนี้ ไม่เกรงใจสักนิด ช่างขวัญกล้าบังอาจนัก!
แต่พริบตาต่อมา การกระทำของเซียวเถี่ยเฟิงก็ทำให้เธอตกใจจนถึงกับพูดไม่ออก สีหน้าของเซียวเถี่ยเฟิงในยามนี้เต็มไปด้วยความห่วงใย “พรุ่งนี้เจ้าอยากให้ข้ามารับตอนไหน? ข้ากลัวว่ามาเช้าไปเจ้าจะพักผ่อนไม่พอ สายหน่อยดีหรือเปล่า?”
กู้จิ้งไม่ค่อยเข้าใจนัก “เรื่องนี้ต้องดูฤกษ์มงคลไม่ใช่หรือ?”
แต่เซียวเถี่ยเฟิงกลับไม่สนใจ “เวลาที่เจ้าสะดวกก็คือฤกษ์มงคล”
กู้จิ้งเองก็ไม่ค่อยสนใจ ดังนั้นจึงตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นยามเฉิน[1]ก็แล้วกัน”
“ตกลง”
กู้จิ้งบอกว่าเวลาไหน เซียวเถี่ยเฟิงก็รู้สึกว่าเวลานั้นดี
ลวี่หลัวตกใจจนอ้าปากค้าง แค่คำพูดของพวกเขายังไม่เท่าไหร่ ประเด็นสำคัญคือสีหน้าของเซียวเถี่ยเฟิงในตอนที่มองกู้จิ้ง สีหน้านั้น… นางไม่เคยเห็นเซียวเถี่ยเฟิงมีสีหน้าแบบนั้นมาก่อนเลย
นางแอบกระซิบถามอู่อ๋อง “แม่ทัพเซียวเป็นอะไรไปหรือ?”
อู่อ๋องตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ “อะไรเป็นอะไร?”
ลวี่หลัวเลิกคิ้ว “ทำไมแม่ทัพเซียวถึงเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนแบบนี้?”
อู่อ๋องตกใจจนหายตกใจไปแล้ว “นี่เป็นอาการป่วยอย่างหนึ่ง”
“อาการป่วย? อาการป่วยอะไร?”
“กลัวเมีย”
ลวี่หลัวได้ยินเช่นนี้ก็ถึงกับตะลึงงัน ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้แอบเหลือบตามองไปข้างหลังอย่างระมัดระวัง มีวันที่เซียวชูอวิ๋นกลายเป็นคนกลัวเมียด้วยหรือ?
คืนนั้น ลวี่หลัวพูดคุยเป็นเพื่อนกู้จิ้งอยู่นาน
นางถามวกไปวนมาเพราะอยากรู้ว่ากู้จิ้งรู้จักเซียวชูอวิ๋นได้อย่างไร และทำให้หมาป่าซึ่งไม่เคยเห็นความแตกต่างระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงอย่างเซียวชูอวิ๋นยอมศิโรราบได้อย่างไร
แต่จนใจที่กู้จิ้งพูดไปพูดมาก็ยังไม่ได้เรื่องอะไร
“เล่ห์เหลี่ยม ไม่มีนะ? ครั้งแรกที่ฉันเจอเขา คิดว่าเขาเป็นพวกบ้ากาม ดังนั้นก็เลยคิดว่าต้องหนีไปให้ได้”
“ต่อมา ฉันหนีไปไม่สำเร็จ เขาก็อุ้มฉันกลับไปบ้าน!”
“ยั่วยวน? ไม่นะ? ต้องยั่วยวนด้วยหรือ เขามาเองอยู่แล้วนี่นา?”
“บนเตียง? เขาน่ะร้ายกาจมาก เฮ้อ… ต่อไปฉันต้องออกกำลังกายบ่อยๆ ซะแล้ว ไม่อย่างนั้นคงทนไม่ไหวแน่”
“เขาดุฉันไหม จะดุได้ยังไง? เขาเป็นคนซื่อจะตาย! ฉันไม่เคยเห็นคนดีคนซื่อแบบเขาเสียด้วยซ้ำ!”
ลวี่หลัวปากอ้าตาค้าง ไม่กล้าเชื่อ
“เขา… คนซื่อ? คนซื่อที่ถูกข่มเหงได้ง่ายๆ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ?” กู้จิ้งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เรื่องนี้ฉันคิดเอาไว้แล้ว มีแต่ฉันที่รังแกเขาได้ แต่จะไม่ยอมให้ใครรังแกเขา เอาเปรียบเขาเด็ดขาด”
ลวี่หลัวแทบจะพลัดตกเตียง
หนิวปาจินล่ะ หนิวปาจินอยู่ไหน? นางต้องไปถามหนิวปาจิน หลายปีมานี้ เกิดอะไรขึ้นกับเซียวชูอวิ๋นผู้แข็งแกร่งปานหินผากันแน่? ทำไมเขาถึงเปลี่ยนเป็นคนละคนแบบนี้!
“หนิวปาจิน?” คิดขึ้นมากู้จิ้งก็โมโห “เขามันชั่วร้ายมาก ฉันไม่เคยเห็นคนชั่วร้ายแบบเขามาก่อนเลย!”
“หนิวปาจินชั่วร้าย?” นั่นไม่ใช่คนซื่ออันดับหนึ่งของแผ่นดินหรอกหรือ?
“ใช่ เขาหลอกลวง พูดโกหกได้ไม่กะพริบตา”
รอให้กลับไปเขาเว่ยอวิ๋นเมื่อไหร่ เธอจะทำให้เพื่อนรักคนนี้ของเซียวเถี่ยเฟิงรู้ว่า นางปีศาจอย่างเธอทำร้ายผู้คนได้มากแค่ไหน!
ลวี่หลัวกะพริบตาด้วยความงุนงง
หนิวปาจินเป็นคนชั่วร้าย หลอกลวง พูดโกหกได้ไม่กะพริบตา?
เซียวชูอวิ๋นเป็นคนซื่อ ซื่อจนถูกคนอื่นรังแกได้ง่ายๆ?
นางยกมือขึ้นลูบหน้าผาก ในสมองมึนงงไปหมด ช่างเถิด นางเข้านอนดีกว่า
นอนสักตื่น บางทีเซียวชูอวิ๋นกับหนิวปาจินอาจกลับมาเป็นปกติก็ได้
วันรุ่งขึ้น เซียวเถี่ยเฟิงแต่งงานกับกู้จิ้ง พิธีแต่งงานใหญ่โตมากอย่างที่ชาวเมืองปิ้งโจวไม่เคยเห็นมาก่อน
ในจวนของแม่ทัพเซียวมีแขกคับคั่ง ทั่วบริเวณถูกประดับประดาด้วยโคมและผ้าสีแดงสดใส เสียงแสดงความยินดีดังขึ้นไม่ขาดสาย
กู้จิ้งไหว้ฟ้าดินกับเซียวเถี่ยเฟิงเสร็จก็ถูกส่งตัวเข้าหอ แตกต่างจากกฎเกณฑ์บนเขาเว่ยอวิ๋นนิดหน่อย
เธอรออยู่ในห้องหอครู่หนึ่ง เซียวเถี่ยเฟิงก็กลับมาเปิดผ้าคลุมหน้าให้
ห้องหอถูกประดับประดาด้วยสีแดง เปลวเทียนมงคลไหววูบ เมื่ออยู่ท่ามกลางแสงไฟเช่นนี้ ชายหนุ่มร่างสูงตระหง่านก็ดูอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน เขามองกู้จิ้งตาไม่กะพริบ ทำให้กู้จิ้งซึ่งเคยชินกับเขาดีรู้สึกเขินอายขึ้นมา
จริงๆ แล้วเธอไม่ได้สนใจการไหว้ฟ้าดินหรือพิธีแต่งงานอะไรทั้งนั้น แต่ในเมื่อเขายืนกรานจะจัด เธอก็ตามใจเขา แต่ตอนนี้ หลังจากพิธีไหว้ฟ้าดินที่แสนจะศักดิ์สิทธิ์ หลังจากเขาเปิดผ้าคลุมหน้าของเธอออก อะไรบางอย่างก็เบ่งบานขึ้นในใจของเธอ
เมื่อก่อนพวกเขาก็เคยสาบานกัน แต่ตอนนี้เธอเพิ่งจะรู้สึกจริงๆ ว่า คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นสามีของเธอ
ไม่ใช่บรรพบุรุษของยาย ไม่ใช่คนที่มีความสัมพันธ์กันแค่ชั่วข้ามคืน แต่เป็นสามีของเธอ
ผู้ชายที่จะอยู่กับเธอไปจนแก่เฒ่า ผู้ชายที่จะอยู่เคียงข้างเธอไปชั่วชีวิต
แม้สวรรค์จะลิขิตให้เขามีลูกหลายคน ส่วนเธอไม่มี แต่ไม่เป็นไร พวกเขาจะช่วยกันคิดหาทางออก
นับแต่นี้เป็นต้นไป ไม่ว่าพบปัญหาอะไร พวกเขาจะปรึกษาหารือกัน เพราะพวกเขาเป็นสามีภรรยากัน
เขายกมือขึ้นเชยคางเธอเบาๆ “เราเข้าพิธีแต่งงานกันแล้ว ข้ากับเจ้าเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้อง ถ้าใครกล้ามาพูดเหลวไหลต่อหน้าข้าอีก ข้าจะเล่นงานมันซะ”
พูดจบ เขาก็ก้มลงมาจูบเธอ
แม้คืนเข้าหอของพวกเขาจะมาถึงช้าไปหน่อย แต่เริ่มตอนนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างน้อยก็คุ้นเคยกันแล้ว
คืนนี้ ความคิดเดียวที่เหลืออยู่ในหัวของกู้จิ้งระหว่างที่นอนอยู่บนผ้าห่มสีแดงคือ เธอแต่งงานกับบรรพบุรุษของตัวเอง เธอกลายเป็นบรรพบุรุษของตัวเอง
ตลอดคืนนั้น กู้จิ้งถูกข่มเหงไม่เบา พอถึงรุ่งเช้า เธอจึงหลับลึกมาก
ตอนที่พลิกตัวระหว่างที่ยังสะลึมสะลือ เธอรู้สึกได้ว่ามีแขนแข็งแรงคู่หนึ่งกอดเธอเอาไว้แน่น ดังนั้นเธอจึงส่งเสียงครางเบาๆ คำหนึ่งแล้วขยับเข้าไปใกล้เขามากขึ้น
เซียวเถี่ยเฟิงซึ่งตื่นแล้วเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดขยับเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางออดอ้อน รอยยิ้มอ่อนโยนก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขา
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม หลายวันมานี้แม้จะได้กอดนางเข้านอน แต่เขากลับนอนไม่หลับ
ต่อให้หลับไปเพราะง่วงมาก ไม่นานนักเขาก็ต้องสะดุ้งตื่น
เพราะมีแต่การกอดนางไว้ในตอนที่ตื่นอยู่และได้มองนางหลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดของตัวเองเท่านั้น ถึงจะทำให้เขาสบายใจ
เซียวเถี่ยเฟิงหรี่ตาลงด้วยความอ่อนล้าพลางใช้หน้าผากแนบกับร่างของคนที่กำลังหลับสนิท ปากก็พึมพำว่า “ตกลงกันแล้วนะ จะไม่จากกันไปไหนตลอดชีวิต”
เช้าวันรุ่งขึ้น พอกู้จิ้งลืมตาขึ้นก็เห็นเซียวเถี่ยเฟิงซึ่งนอนอยู่ข้างๆ กำลังมองเธออยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่ามองอยู่นานแค่ไหนแล้ว
นึกถึงเมื่อคืนวาน เธอคิดว่าเขาน่าจะเหนื่อยไม่น้อย ดังนั้นจึงอดสงสัยไม่ได้ “ทำไมถึงตื่นเช้าขนาดนี้ล่ะ?”
“นอนไม่หลับแล้วก็เลยตื่น”
“ทำไมฉันถึงรู้สึกว่านายไม่ได้พักผ่อนเลยนะ?”
กู้จิ้งพูดพลางยกมือขึ้นลูบใบหน้าของเขา
เธอคิดไปเองหรือเปล่า แต่หลายวันนี้เขาดูโทรมมากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งดวงตาก็มีเส้นเลือดแดงก่ำ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
คิดแล้วเธอก็ดึงมือเขามาตรวจชีพจรดู แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ
“ข้าไม่เป็นไร” เซียวเถี่ยเฟิงยืนกราน เขาสุขภาพแข็งแรงขนาดนี้ จะเป็นอะไรไปได้?
“ถ้าอย่างนั้นวันหลังเราก็เข้านอนเร็วหน่อย อย่านอนดึกแบบนี้อีก หมกมุ่นกับเรื่องนี้มากเกินไปไม่ดีต่อสุขภาพ”
กู้จิ้งคิดว่าเขาเป็นแบบนี้เพราะหมกมุ่นมากเกินไป
“ไม่ได้” เซียวเถี่ยเฟิงยืนกรานปฏิเสธ
“ถ้าอย่างนั้นก็นอนเร็วหน่อย นายดูตัวเองสิ เหมือนคนไม่ได้นอนไม่มีผิด” ผู้ชายของใครใครก็รัก กู้จิ้งปวดใจจริงๆ
“ได้ ตามใจเจ้า”
“ยังมี นับแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ฉันจะสั่งเทียบยาให้นายบำรุงร่างกาย”
“ได้ ตามใจเจ้า” เซียวเถี่ยเฟิงเห็นสีหน้าของกู้จิ้งเต็มไปด้วยความกังวลแกมห่วงใยก็ยิ้มออกมา
แม้เขาจะยอมเชื่อฟังทุกอย่าง แต่กู้จิ้งก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี เธอรู้สึกเหมือนตัวเองพลาดอะไรบางอย่างไป แต่คิดๆ ดูก็เหมือนจะไม่มี
กำลังคิดอยู่ องครักษ์ที่ด้านนอกก็มารายงานว่า “มีคนมาขอพบขอรับ บอกว่าเป็นคนบ้านเดียวกับท่านแม่ทัพ ทั้งยังเป็นสหายสนิทด้วย”
กู้จิ้งฟังแล้วอดสงสัยไม่ได้ “คนบ้านเดียวกัน สหายสนิท? คงไม่ได้มาจากเขาเว่ยอวิ๋นหรอกนะ?”
เซียวเถี่ยเฟิงสั่งองครักษ์ “เชิญเขาไปที่ห้องรับแขก”
กู้จิ้งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยกมือขึ้นลูบคางพลางพึมพำว่า “ถ้าเป็นคนบ้านเดียวกันก็ต้องมาจากเขาเว่ยอวิ๋น แถมยังเป็นเพื่อนสนิท ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าน่าจะเป็นหนิวปาจินนะ?”
“น่าจะใช่”