บทที่ 336 วันนี้องครักษ์อู๋ทำตัวประหลาด
“อ๊ะ เก็บทรงไม่อยู่ มันเป็นยังไง๊ มันเป็นยังไง ทำไมมันเมาอย่างนี้ ทำไมมันเมา ทำไมมันเมา โดนไปสองสามที
สามที สี่ที สามที สี่ที โคตรดีรู้เรื่องเลย โคตรดี โคตรดี โคตรดี โคตรดี…”
ระหว่างทางไปจวนสกุลกวน หลินเป่ยเฉินฮัมเพลงชื่อดังในอินเทอร์เน็ตก่อนที่เขาจะทะลุมิติมายังโลกนี้โดยไม่รู้ตัว
เขาก็ได้แต่หวังว่าตระกูลกวนจะมีของโคตรดีไม่ทำให้ผิดหวัง
ตราบใดที่สามารถเก็บเงินจากตระกูลกวนได้ 100,000 เหรียญทองคำ เพียงเท่านั้นปัญหาของเขาก็หมดไป
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็ตัดสินใจนำโทรศัพท์ออกมาติดต่อไปหาเทพีกระบี่หิมะไร้นามอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มตั้งปิดสัญญาณแจ้งเตือนเอาไว้ เพื่อไม่ให้ตนเองเสียสมาธิระหว่างหลอกเงินพวกของถังกู่จิน…
“ติ๊ง!”
“ติ๊ง!”
“ติ๊ง!”
ปรากฏว่าเทพีกระบี่หิมะไร้นามส่งข้อความมาหาเขาเป็นร้อยข้อความแล้ว
“น้องชายเป็นอย่างไรบ้าง? สามารถหาเงินได้ครบแล้วหรือยัง?”
“น้องชายอยู่หรือเปล่า?”
“น้องชาย เร็วๆ หน่อยสิ ทำไมตอบช้าแบบนี้…”
“ไม่ต้องมาแกล้งตายเลยนะ”
“ทำไมยังไม่ตอบอีก”
ข้อความถูกยกเลิก
ข้อความถูกยกเลิก
“น้องชาย พี่สาวจะไม่ดุด่าเจ้าอีกแล้ว แต่เจ้าช่วยตอบพี่สาวหน่อยเถอะ หรือจ่ายเงินมัดจำมาก่อนก็ได้ พี่สาวจะถูกจับตัวไปขายอยู่แล้วเนี่ย…”
เทพีกระบี่หิมะไร้นามส่งข้อความมารัวๆ
ดูเหมือนจะมีอาการร้อนรนไม่ใช่น้อย
“ใกล้จะได้เงินครบแล้ว… ทางนั้นติดต่อเทพีกระบี่เป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินส่งข้อความตอบกลับไป
“เจ้าตัวแสบ ส่งข้อความไปตั้งเยอะ ในที่สุดก็โผล่หัวมาเสียทีนะ!”
“ใกล้จะได้เงินครบแล้วใช่ไหม? เจ้าหาได้ถึง 200,000 เหรียญทองคำแล้วหรือยัง?”
“น้องชายผู้น่ารัก… รีบโอนเงินมาให้ข้าก่อนได้หรือไม่”
“ด้วยเงินจำนวนนั้น พี่สาวก็สามารถทำอะไรได้มากมายแล้ว”
เทพีกระบี่หิมะไร้นามส่งข้อความตอบกลับมาด้วยความตื่นเต้น
หลินเป่ยเฉินแทบจะมองทะลุไปยังอีกฝั่งหนึ่งของหน้าจอโทรศัพท์ได้ ว่าเทพีกระบี่หิมะไร้นามคงมีอาการตาโตน้ำลายไหลย้อยเพราะอยากได้เงินเต็มที่
“คำถามก็คือ… เกิดโอนเงินไปให้แล้วท่านไม่ยอมทำตามที่รับปากเอาไว้เล่า?” หลินเป่ยเฉินส่งข้อความตอบกลับไปด้วยความไม่ไว้ใจ
คราวนี้ เขาจะไม่ยอมเสียค่าโง่แบบครั้งก่อนๆ เด็ดขาด
คิดว่าจะสามารถหลอกเงินเขาได้ง่ายๆ เหมือนเดิมอีกหรือไง?
ฝันไปเถอะ
หลินเป่ยเฉินลอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ
“เจ้าคิดว่าพี่สาวคนนี้ยังเป็นเทพเจ้าอยู่หรือไม่?”
“ย่อมเป็นแน่นอน”
“เฮ้อ ช่างน่าเศร้าเสียเหลือเกิน พี่สาวอุตส่าห์ให้เจ้าได้มีวาสนารับชมเรือนร่างบริสุทธิ์ แต่เจ้าก็ยังใจจืดใจดำกับพี่สาวได้ลงคอ… ฮื่อ เป็นเทพเจ้าที่มนุษย์ไม่เชื่อใจ ข้าขอตายดีกว่า”
นั่นไง
พูดถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินรู้สึกร้อนวูบวาบที่ช่วงล่างขึ้นมาอีกครั้ง แล้วความรู้สึกผิดก็เล่นงานจิตใจของเขา
“ก็ได้ ข้าจะโอนเงินค่ามัดจำไปให้ก่อน 50,000 เหรียญทองคำแล้วกัน…”
“50,000 เหรียญทองคำมันไม่น้อยเกินไปหน่อยหรือไง ยังไม่พอจ่ายค่าธรรมเนียมด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็ขอสักแสนนึงสิ”
“เอ่อ…ก็ได้”
หลินเป่ยเฉินยินยอมโดยไม่เต็มใจ
เทพีกระบี่หิมะไร้นามส่งคิวอาร์โค้ดสำหรับการจ่ายเงินมาให้เขา
“ติ๊ง! การโอนเงิน 100,000 เหรียญทองคำสำเร็จแล้ว…”
เอ๊ะ
ครั้งนี้ไม่มีคิดค่าบริการเพิ่มแฮะ
เออ แบบนี้ถึงค่อยน่าทำธุรกิจร่วมกันหน่อย
“ฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดข้าก็ได้เงินแล้ว… เจ้าทำได้ดีมากน้องชาย ไม่ต้องห่วงนะ ข้าจะต้องจัดการติดต่อเทพีกระบี่ให้เจ้าแน่นอน ตราบใดที่เจ้าสามารถหาเงินมาจ่ายได้ตรงเวลา ทุกอย่างก็ยังคงเป็นไปตามกำหนดเดิม…”
แต่หลินเป่ยเฉินยังไม่ทันอ่านข้อความเหล่านั้นจบ พลัน หน้าจอก็เกิดแสงสว่างวูบวาบ
ข้อความถูกยกเลิก
มีข้อความใหม่ถูกส่งมาแทนว่า
“ได้รับเงินเรียบร้อยแล้วนะจ๊ะ ทุกอย่างจะดำเนินการตามแผนเดิมต่อไป”
หลังจากนั้น เทพีกระบี่หิมะไร้นามก็ตัดการเชื่อมต่อด้วยความเร็วแสง
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
…
ณ จวนสกุลกวน
ตระกูลกวนจัดเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ประจำเมืองหยุนเมิ่ง แม้ว่าตึกหลายหลังที่อยู่ในอาณาเขตจะไม่ได้หรูหราเหมือนจวนสกุลหลิน แต่อย่างน้อยก็มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าหลายเท่า
แค่ประตูทางเข้าจวนก็ใหญ่โตโอ่อ่ายิ่งกว่าประตูเมืองเสียอีก
กำแพงหินถูกแกะสลักอย่างสวยงาม ประดับทองคำวิบวับแวววาว โครงไม้ที่ถูกนำมาก่อสร้างเป็นไม้ชั้นดีที่ตัดมาจากหุบเขาชายแดนเหนือ ไม่ว่ามองไปทางไหนก็เห็นแต่ความสวยงามตระการตา
สถาปัตยกรรมของจวนตระกูลใหญ่ในเมืองหยุนเมิ่งจะมีประตูแบ่งออกเป็นชั้นนอกกับชั้นใน
นี่คือประตูชั้นนอก เหนือประตูมีแผ่นป้ายเขียนข้อความเอาไว้ว่า ‘ตระกูลกวนผู้สืบสานความยิ่งใหญ่’
ส่วนประตูชั้นในก็มีแผ่นป้ายอีกแผ่นแขวนเอาไว้ว่า ‘ยืนหยัดต่อต้านอุปสรรค’
แผ่นป้ายเหล่านี้ถูกแกะสลักด้วยนายช่างฝีมือดีที่สุดประจำเมือง
ไม่ว่าผู้ใดเดินผ่านไปผ่านมาก็ต้องทอดสายตามองจวนสกุลกวนด้วยความชื่นชมทั้งสิ้น
แต่วันนี้ จวนสกุลกวนไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
หน้าประตูเหล่าชายฉกรรจ์ที่เป็นเวรยามกว่า 20 นายตกอยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตาย ใบหน้าบวมช้ำเหมือนหัวหมูไหว้เจ้า พวกเขานอนระเกะระกะศีรษะจมกองเลือดอยู่สองข้างฝั่งของประตูทางเข้า มีสภาพไม่ต่างไปจากลูกไก่ที่เผชิญหน้าพายุร้าย
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากด้านในจวนตลอดเวลา
ในอากาศมีแต่กลิ่นคาวเลือด
หลินเป่ยเฉินเห็นสภาพเช่นนี้ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“เนี่ยนะสืบสานความยิ่งใหญ่?”
ช่างเป็นตลกร้ายเสียเหลือเกิน
ถือเป็นเคราะห์ร้ายของพวกเขาที่มีบุตรหลานเป็นตัวร้ายกาจอย่างกวนเฟยตู้ ถ้าไม่ใช่เพราะกวนเฟยตู้มีเจตนาหลอกลวงถังกู่จิน พวกเขาก็คงไม่ต้องพบเจอสภาพเช่นนี้
นี่จะโทษว่าเป็นความผิดของคนอื่นไม่ได้เลย
กวนเฟยตู้ไม่ควรมามีปัญหากับหลินเป่ยเฉินตั้งแต่แรก
บัดนี้ สมาชิกตระกูลกวนกำลังถูกทรมานเพื่อสอบถามที่ซ่อนตัวของกวนเฟยตู้
แต่ไม่มีใครให้คำตอบออกมาได้
สุดท้ายพวกเขาก็มีแต่โดนทรมานหนักขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้นเอง
“คาราวะองครักษ์อู๋”
เมื่อหลินเป่ยเฉินเดินเข้าไป บรรดาเจ้าหน้าที่มือปราบซึ่งยืนรวมตัวอยู่รอบบริเวณ ก็หันกลับมาประสานมือค้อมศีรษะแสดงความเคารพต่อเขาอย่างนอบน้อม
หลินเป่ยเฉินรักษาท่าทีสงบเยือกเย็นเดินเข้าไปด้านใน
เจ้าหน้าที่มือปราบเหล่านั้นรีบเดินตามเขาเข้ามาเป็นขบวน
ไม่นานต่อมา
หลินเป่ยเฉินก็มาอยู่ในห้องรับแขกของจวนสกุลกวนแล้ว
มีผู้คนรวมตัวกันอยู่มากมาย
ไม่มีใครคิดสงสัยในตัวตนของหลินเป่ยเฉิน
เพราะว่าเขาปลอมตัวได้เหมือนอู๋ซางหยานตัวจริงทุกประการ
“กราบเรียนท่านองครักษ์ เราตรวจสอบทรัพย์สินของตระกูลกวนเรียบร้อยแล้ว เราพบเครื่องประดับ 6,000 ชิ้น มูลค่าในท้องตลาดอยู่ที่ 12,000 เหรียญทองคำ นอกจากนั้นยังมีเงินสดอีกจำนวน 40,000 เหรียญทองคำ แล้วก็อัญมณีที่ตีเป็นราคาได้ 30,000 เหรียญทองคำ นอกจากนั้นก็ยังมีวัตถุโบราณที่ตีราคาได้อีก 20,000 เหรียญทองคำ และยังมีเหรียญเงินและเหรียญทองแดงที่รวมกันแล้วเป็นจำนวน 4,000 เหรียญทองคำ…”
เจ้าหน้าที่ผู้มีนามว่าโมเสี่ยวเซียงรับหน้าที่อธิบาย เขามีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่มือปราบระดับสูงของหน่วยสืบสวนจากสำนักผู้ว่าการมณฑล อายุเพียง 30 เศษ หน้าตาบอกชัดถึงความฉลาดเฉลียว แต่กลับไม่สงสัยในตัวตนของอู๋ซางหยานคนที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าแม้แต่น้อย
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว
นับว่าตระกูลกวนร่ำรวยจริงๆ
แต่ปัญหาก็คือ เขาต้องการแต่เงินสดนี่สิ
พวกข้าวของเครื่องใช้หรือเครื่องประดับอะไรพวกนั้น ไม่สามารถโอนผ่านแอปวีแชทแทนมูลค่าเงินสดได้สักหน่อย
แต่แล้วในทันใดนั้นเอง…
“ท่านองครักษ์ขอรับ ได้โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วยเถิด…” กวนหยวนฉิว ผู้เป็นหัวหน้าตระกูลกวนคนปัจจุบันไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน เขาผลักบรรดาเจ้าหน้าที่มือปราบกระเด็นออกไปขณะวิ่งเข้ามาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าหลินเป่ยเฉิน พร้อมกับขอร้องอ้อนวอนด้วยความขมขื่น
“เจ้าบังอาจมารบกวนองครักษ์อู๋ได้อย่างไร พวกเราลากมันไปตัดลิ้น”
โมเสี่ยวเซียงตะโกนออกคำสั่ง
หลินเป่ยเฉินพลันยกมือโบกสะบัด “ช้าก่อน”
เขามองหน้ากวนหยวนฉิวและพูดว่า “หึหึ เจ้าคือหัวหน้าตระกูลกวนใช่หรือไม่? อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยแล้ว เที่ยวคุกเข่าไปทั่วแบบนี้ได้อย่างไร …เอาแบบนี้ดีกว่า ข้าจะให้โอกาสเจ้าภายในเวลา 1 ก้านธูป ถ้าสามารถหาเงินมาให้ข้าได้เป็นจำนวน 100,000 เหรียญทองคำ ข้าก็จะปล่อยพวกเจ้าไป”
“ท่านองครักษ์… พูดจริงนะขอรับ?”
กวนหยวนฉิวพูดออกมาด้วยความดีใจสุดขีด
นี่เหมือนฟางเส้นสุดท้ายในชีวิตของเขาแล้ว
“แน่นอนสิ ข้าจะโกหกเจ้าเพื่ออะไร? เอ่อ ข้าขอเอาหัวของโมเสี่ยวเซียงเป็นประกันเลยก็ได้ หากข้าโกหกเจ้า โมเสี่ยวเซียงจะต้องถูกนำตัวไปประหาร” หลินเป่ยเฉินประกาศด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
โมเสี่ยวเซียงเบิกตาโตด้วยความตกใจ
กวนหยวนฉิวกัดฟันกรอด และตัดสินใจเชื่อถือคำพูดของอู๋ซางหยาน
หลังจากนั้น เขาก็เดินนำหัวหน้ากลุ่มเจ้าหน้าที่มือปราบตรงไปยังจุดที่ฝังเงินเอาไว้ในสวนหลังบ้าน เมื่อขุดดินขึ้นมาแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ได้เงินมาทั้งสิ้น 50,000 เหรียญทองคำ
ทำเอาโมเสี่ยวเซียงและเจ้าหน้าที่มือปราบคนอื่นๆ ที่เห็นแบบนั้นพลันมีใบหน้าบิดเบี้ยวเหมือนคนปวดฟัน
พวกเขาคิดว่าตนเองตรวจค้นทุกซอกทุกมุมแล้ว
คิดไม่ถึงเลยว่ายังเหลือทองคำซ่อนอยู่อีกมากมายถึงเพียงนี้
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
เมื่อรวมเข้ากับเงินของกลางที่ได้มาก่อนหน้านี้ 40,000 เหรียญทองคำ บวกกับเงินของเขาเองที่มีอยู่แล้วหมื่นกว่าเหรียญ หลินเป่ยเฉินก็ได้ค่าดำเนินการสำหรับติดต่อเททีกระบี่ครบแล้ว
เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อย
เด็กหนุ่มเก็บเหรียญทองทั้งหมดที่ได้มาจากตระกูลกวนใส่ไว้ในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ หลังจากนั้น เขาก็หมุนตัวเดินกลับออกมาโดยไม่ลังเล
“ท่านองครักษ์อู๋…จะให้ข้าจัดการพวกตระกูลกวนอย่างไรดีขอรับ?”
โมเสี่ยวเซียงส่งเสียงตะโกนถามมาจากด้านหลัง
หลินเป่ยเฉินไม่ได้หันไปมองด้วยซ้ำตอนที่ตอบว่า “เจ้าโง่ เรื่องแค่นี้ยังต้องถามข้าอีกหรือ? ทรมานพวกเขาต่อไปจนกว่าเราจะได้เบาะแส”
โมเสี่ยวเซียงพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ก็ไหนว่าเอาหัวของเขาเป็นประกันเลยไม่ใช่หรือ?
ไม่ทราบเลยว่าทำไมวันนี้องครักษ์อู๋ถึงได้ทำตัวแปลกประหลาดชอบกลนัก