DC บทที่ 240: เทพเจ้าแห่งการเสพสม

 

“นี่ดีพอสำหรับท่านหรือยังผู้อาวุโสซุน” ซูหยางหันไปถามอีกฝ่ายซึ่งกำลังจ้องมองดูเขาด้วยท่าทางสับสนดูเหมือนกำลังงุนงง

 

“ข..ข้าเดาว่างั้น” ผู้อาวุโสซุนไม่รู้ว่าควรตอบสนองอย่างไร ในเมื่อไม่มีผู้อาวุโสคนใดคาดหวังว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้

 

“ถ้ามิมีอะไรแล้วที่ท่านต้องการจากข้า ข้าคงต้องขอกลับไปฝึกฝนต่อ” ซูหยางพูดด้วยท่าทางเรียบเฉย

 

ผู้อาวุโสซุนยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนรูปปั้นชั่วขณะก่อนที่จะจากไป ในเมื่อไม่มีเหตุผลใดที่จะให้เขาอยู่นานกว่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสายตาคมกริบที่ส่งมาหาเขาจากบรรดาศิษย์หญิง

 

เขากลัวว่าถ้าเขาอยู่นานกว่านั้น ศิษย์หญิงเหล่านั้นจะมองเขาเป็นผู้ร้ายไปเลยจริงๆ

 

หลังจากที่ออกจากเขตศิษย์นอก ผู้อาวุโสซุนก็กลับไปยังสถานที่จัดการประชุม ที่ซึ่งผู้อาวุโสที่ยังคงอยู่กำลังรอข่าวจากเขา

 

“ผู้อาวุโสซุน ท่านกลับมาค่อนข้างเร็วกว่าที่ข้าคาดเอาไว้ เป็นอย่างไรกับศิษย์คนนั้น เขาสร้างปัญหาอะไรหรือไม่”

 

ผู้อาวุโสนิกายต่างพากันถามเขา

 

ผู้อาวุโสซุนส่ายหน้า “แม้ว่าข้ามิได้ทำการหว่านล้อมเขาให้หยุด บรรดาศิษย์ชายก็ควรจะมิร้องเรียนอีกต่อไปนับจากวันนี้”

 

“นั่นท่านหมายความว่าอะไร”

 

ในเวลานั้นผู้อาวุโสนิกายต่างพากันงุนงง ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร พวกเขาตกตะลึงมากกว่าที่ผู้อาวุโสซุนไม่สามารถเกลี้ยกล่อมศิษย์คนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเป็นถึงหัวหน้าผู้คุมกฏ

 

ผู้อาวุโสซุนถอนหายใจและอธิบายให้ผู้อาวุโสนิกายที่เหลือฟังว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเขาพยายามหว่านล้อมซูหยางให้หยุดความสุขสันต์จอมปลอม

 

“ใครจะคิดว่ายังมีวิธีที่ง่ายและได้ประสิทธิภาพเช่นนั้น…” ผู้อาวุโสสูงวัยที่อยู่ตรงนั้นพึมพัม

 

สิ่งที่พวกเขาทั้งหมดต้องทำก็คือการขอให้ซูหยางหว่านล้อมให้ศิษย์หญิงหยุดการไม่ให้ความสนใจกับคู่ฝึกของตนเอง และทุกสิ่งก็จะคลี่คลายไปโดยไม่ต้องให้เขาปิดบริการ

 

“แต่เมื่อมาคิดว่าเขาพูดอย่างโอหังที่ว่า “พรากความสุขของหญิงสาวไป” เห็นชัดว่าเขารู้ถึงวิธีผลักผู้คนให้ตกไปอยู่ในจุดที่ลำบาก”

 

ผู้อาวุโสนิกายบริเวณนั้นต่างพากันหัวเราะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสหญิง

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ใช่ว่าผู้อาวุโสนิกายทุกคนที่นั่นจะพึงพอใจ พวกเขาไม่ชอบที่ว่าซูหยางในฐานะแค่เพียงศิษย์สามารถทำอะไรก็ตามที่เขาต้องการราวกับว่าเขาบริหารสถานที่นั้น กล่าวไปแล้วก็ไม่มีใครที่พูดขึ้นมาเพราะพวกเขาเชื่อว่าถ้าซูหยางดำรงชีวิตอยู่ด้วยทัศนคติเช่นนั้นต่อไป เขาก็จะล่วงเกินใครสักคนที่เขาไม่สามารถที่จะล่วงเกินได้สักวันหนึ่งและได้รับรู้ถึงวิถีทางอันยากลำบาก

 

“ตอนนี้สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้ก็เพียงรอให้เกิดผลลัพธ์แท้จริงออกมา” ผู้อาวุโสซุนกล่าว

 

ทุกคนพยักหน้าพวกเขาต่างพากันออกไปจากสถานที่นั้นสองสามนาทีหลังจากนั้น

 

ในช่วงเวลานั้นย้อนกลับไปยังเขตศิษย์นอก แถวที่ด้านหน้าบ้านซูหยางไม่ได้หดสั้นลงแม้ว่าจะผ่านไปหลายชั่วโมงให้หลัง ตามจริงมันยิ่งขยายออกไปมากขึ้น

 

คำพูดถึงกลเม็ดการฝึกคู่ของซูหยางและแท่งใหญ่ที่เขากวัดแกว่งอยู่บนเตียงได้แพร่กระจายไปทั่วนิกายนับตั้งแต่วันแรก และเขตศิษย์นอกส่วนใหญ่ก็รับรู้ถึงเรื่องนี้ในเวลานี้แล้ว

 

เมื่อเวลาผ่านไปหลายวันจนถึงตอนนี้ กระทั่งกลุ่มศิษย์หญิงที่เคยเยาะเย้ยซูหยางในอดีตก็ไปหาเขาเพื่อร่วมฝึกด้วยอย่างน้อยสักครั้ง

 

กระทั่งยังมีเหล่าศิษย์ที่แอบสาบานว่าจะอยู่ให้ห่างซูหยาง แต่เมื่อไม่ได้ยินอะไรไปนอกจากชื่อเขามาหลายวันก็ทำให้พวกเธออยากรู้อยากเห็นจนทำให้พวกเธอเปลี่ยนใจและมาหาเขาแทน

 

หลังจากผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ในเขตศิษย์นอก ก็มีเพียงศิษย์นอกหญิงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังไม่เคยร่วมฝึกกับซูหยาง บางสิ่งที่พวกเธอคิดว่าเป็นสิ่งที่มีค่าพอที่จะโอ้อวดได้

 

ยิ่งไปกว่านั้นซูหยางกลายเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ภายในเขตศิษย์นอก ซึ่งหญิงสาวหลายคนเริ่มกำหนดให้เขาเป็นเทพเจ้าแห่งการเสพสมเมื่อพูดถึงเขา

 

 

 

 

เวลาหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปนับตั้งแต่โหลวหลานจีตื่นขึ้นจากการหลับไหลเป็นเวลานานของเธอ

 

“นับเป็นอาทิตย์แล้วและก็ไม่มีสัญญาณว่าท่านจะกลับไปหลับไหลเช่นนั้นอีก ท่านควรจะปลอดภัยแล้วตอนนี้ ถ้าจะกล่าวไปก็อย่าทำอะไรที่อันตรายจนเกินไปสักหนึ่งเดือนเพื่อป้องกันมันกลับมา” หมอกล่าวกับโหลนหลานจีหลังจากใช้เวลาตรวจสอบกว่าหนึ่งอาทิตย์

 

ยามเมื่อหมอจากไปแล้ว โหลวหลานจีก็พลันออกจากศาลาหยินหยางเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งอาทิตย์ และด้วยเป้าหมายในใจ เธอก็ตรงไปยังเขตศิษย์นอก

 

“เจ้ารอไป่ก่อนเถอะ ซูหยาง เจ้าอาจจะคิดว่าข้าได้ลืมเรื่องตบหน้าข้าไปแล้วเพราะว่าข้ามิได้ไปหาเจ้าในสองสามวันที่ผ่านมานี้ แต่ตอนนี้เมื่อข้าสามารถออกจากศาลาหยินหลางได้ เจ้าต้องเสียใจที่มาตบหน้าสาวสวยเช่นข้า”

 

อย่างไรก็ตามยามเมื่อโหลวหลานจีมาถึงเขตศิษย์นอก เธอต้องตื่นตระหนกกับภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า

 

นั่นมีศิษย์หญิงไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยคนป้วนเปี้ยนอยู่รอบที่พักของซูหยางและก็มีศิษย์ชายอีกเล็กน้อยที่นั่นซึ่งดูเหมือนมาพยายามเกลี้ยกล่อมศิษย์หญิงให้ไปจากบริเวณนี้

 

“ศิษย์ผู้นี้คารวะผู้นำนิกาย”

 

เหล่าศิษย์ที่อยู่ที่นั่นพลันโค้งคำนับโหลวหลานจีและทักทายเธอเมื่อพวกเขาสังเกตเห็นร่างเธอ

 

“ท-ทำไมจึงมีคนมากมายที่นี่ มีงานฉลองหรืออะไรกันรึ” เธอถามพวกหล่อนด้วยท่าทางงงงัน

 

เพราะว่าเธอได้อยู่ในศาลาหยินหยางผ่านมานับอาทิตย์และบรรดาผู้อาวุโสนิกายต่างไม่ต้องการรบกวนเธอ พวกเขาจึงไม่ได้พูดให้เธอฟังเกี่ยวกับสถานการณ์ที่นี่ ดังนั้นเธอจึงงุนงงกับสถานการณ์ที่นี่

 

“นั่นมิถูกต้อง เจ้านิกาย พวกเราทั้งหมดมาที่นี่เพื่อรอร่วมฝึกคู่กับศิษย์พี่ชายซู”

 

หนึ่งในบรรดาศิษย์ที่ตรงนั้นอธิบายกับเธอ

 

โหลวหลานจีกรามตกลงไปถึงพื้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น ศิษย์หญิงทั้งหมดนี้มาที่นี่เพื่อร่วมฝึกกับซูหยางงั้นรึ

 

“สวรรค์เบื้องบนเกิดอะไรขึ้นตอนที่ข้าไม่อยู่กัน” เธอร่ำร้องในใจ

 

ทำไมจึงพลันมีคนมากมายต้องการร่วมฝึกคู่กับซูหยาง หรือว่าเขาทำอะไรอีกแล้ว