ที่จริงแล้ว เจเทาวน์อยากพูดแบบนี้นานแล้ว
ถึงตอนแรกเขาจะใช้เหตุผลบอกว่าให้หลินจือมาเป็นแฟนเขาในนามเพื่อให้แม่เขาอยู่อย่างสบายใจ แต่เขาก็ยังมีความเห็นแก่ตัวของตัวเองอยู่
เขาชอบหลินจือ อยากได้หลินจือมามาก
แต่เขาก็รู้อยู่ลึกๆว่า หลินจือไม่ชอบเขาเลยสักนิด หลังจากใช้ข้ออ้างแบบนี้มาหลอกหลินจือ ในใจของเขาก็เสียใจสุดๆ
ตอนนี้เธอมีจอร์แดนเป็นที่พึ่งแล้ว เจเทาวน์คิดว่าตัวเองยิ่งไม่ควรจะผูกมัดเธอไม่ปล่อยอีกแล้ว
หลินจือกังวลเล็กน้อย:“แต่ว่าคุณน้าล่ะจะทำไง?”
เจเทาวน์พูดยิ้มๆ:“ไม่เป็นไร แค่พวกเราไม่คุยกับเธอ เธอก็คิดว่าพวกเรามีความสุขดี”
ในเมื่อเจเทาวน์พูดแบบนี้ หลินจือก็ได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย
สำหรับเธอแล้ว สามารถช่วยเจเทาวน์ได้ ก็ถือว่าเป็นการตอบแทนที่ตอนนั้นเจเทาวน์มีเมตตากับเธอแล้ว
ต่อไปเจเทาวน์จะเป็นเจ้านายที่ดี เพื่อนที่ดีในใจเธอต่อไป
เจเทาวน์พูดออกมาจากใจว่า:“งั้น……พวกเรามากอดกันหน่อยได้ไหม?”
หลินจือพยักหน้า เธอไม่คิดว่าแค่กอดจะเป็นอะไร
สำหรับเธอแล้ว นี่ก็ถือเป็นการกอดลา ใช้วิธีแบบนี้คืนสู่ความสัมพันธ์ของเพื่อนที่แสนบริสุทธิ์ระหว่างเธอกับเจเทาวน์ มันดีมาก
ดังนั้นเจเทาวน์เลยอ้าแขนไปให้เธอ หลินจือเดินเข้าไป ทั้งสองกอดกันอย่างแผ่วเบา
เจเทาวน์กอดเอไว้อย่างเก้ๆกังๆ:“หลินจือ ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะกอดคุณไว้แบบนี้ไม่ปล่อยเลย”
“คุณก็รู้ว่า ผมชอบคุณ ชอบคุณมากๆ”
เจเทาวน์ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป หลังจากพูดออกมาว่าจบความสัมพันธ์แฟนกันในนามเฉยๆนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะสารภาพกับเธออย่างเร่าร้อน
มองออกว่าก่อนและหลังนี้ขัดแย้งกัน แต่ก็แสดงถึงความเจ็บปวดสุดๆในใจเขา
เขาอยากกอดเธอ แต่ไม่อยากให้เธอไม่มีความสุข
ตอนที่หลินจือไม่รู้ว่าตัวเองจะพูดอะไร จู่ๆด้านหลังทั้งสองคนก็มีเสียงอันเยือกเย็นออกมา:“ปล่อยเธอ!”
หลินจือตัวแข็งทื่อ นั่นเป็นเสียงของเทาเท่
กำลังจะดิ้นรนออกมาจากอ้อมแขนเจเทาวน์ ก็ได้ยินเจเทาวน์พูดข้างหูเธอว่า:“อย่าเพิ่งบอกเขาว่าพวกเราไม่ได้เป็นอะไรกัน ผมจะให้เขาร้อนรนเพราะคุณ ตื่นตระหนกเพราะคุณ ให้เขาได้ลิ้มลองรสชาติแห่งความทุกข์หลากหลายรูปแบบในความรัก”
แบบนี้ ถึงจะคู่ควรกับความทุกข์ยากในความรักที่หลินจือประสบมาในหลายปีนั้น
เจเทาวน์พูดจบก็ปล่อยเธอ แต่มือยังวางที่ไหล่เธอเบาๆ โอบเธอหันกลับไปมองเทาเท่ที่มีสีหน้าหม่นหมองด้วยกัน
เทาเท่ส่งหลินจือกลับบ้าน พอเปิดไฟแล้วก็เงียบไปทั่วบ้าน
จากนั้นเขาก็เสียใจที่ไม่ได้ไปกินกับพวกเขาที่บ้านนานิ อยู่บ้านคนเดียว มักจะรู้สึกเหมือนเป็นภรรยาที่ไร้สามีมาอยู่เคียงข้าง
อาบน้ำเสร็จออกมา กลุ่มในโทรศัพท์ก็มีโซเมนพูดอยู่:“เท่ หลินจือเป็นลูกสาวของจอร์แดน?”
โซเมนยังส่งสติกเกอร์ตกใจหลายอันมาด้วย ดูออกว่าเรื่องนี้ทำเอาพวกเขาตกใจอย่างมาก
เทาเท่นั่งลงไปที่โซฟาแล้วหยิบโทรศัพท์มาตอบกลับไปคำหนึ่งว่า:“ใช่”
โซเมนเงียบสักพัก จากนั้นพูดต่อ:“เมื่อก่อนนายละเลยเธอ ตอนนี้เธอทำให้นายรู้สึกสูงเกินเอื้อมเลย?”
ถึงแม้สุดท้ายโซเมนจะใส่เครื่องหมายคำถาม แต่ก็ยังยากที่จะปกปิดความคิดที่เขาสะใจและเห็นใจเทาเท่สุดๆได้
เทาเท่โกรธมาก แต่ก็ต้องยอมรับว่า โซเมนพูดความจริง
ใครจะไปคิดได้ว่าจอร์แดนที่แต่งงานมาหลายสิบปีไม่มีลูกชายลูกสาวเลย ดันเป็นพ่อแท้ๆของหลินจือซะได้ และใครจะไปคิดอีกว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นที่ตอนนั้นถูกครอบครัวเขาทุกคนดูถูก ตอนนี้จะกลายเป็นดั่งเจ้าหญิงได้
จากสร้อยคอหยกเส้นนั้นของย่าที่เธอสวมจะเห็นได้ว่า ตระกูลแม็กซิมัสให้ความสำคัญอย่างมาก กับเด็กอย่างเธอที่หายไปและพบเจออีกครั้ง
ถึงแม้สิ่งของเหล่านั้นเขาก็สามารถให้เธอได้ แต่ทับหลังประตูของตระกูลแม็กซิมัสก็ตกตะกอนมาหลายสิบกว่าปี ตระกูลฟอเรนาก็ยังเทียบไม่ได้นัก ไม่รู้ว่าตอนนี้ในใจแม่ของเขาจะรู้สึกอย่างไร
นทีบดีที่ทั้งวันไม่ค่อยได้คุยในกลุ่มก็กว่าจะพูดออกมาได้นั้น:“เท่ อย่าจีบเลย เพื่อนรักฉันแนะนำผู้หญิงให้นายสักสองสามคนเอง รับรองว่าอ่อนใจเอาใจเก่งทั้งนั้น”
ไวท์ก็เห็นตามด้วย:“ที่จริงหมอผู้หญิงก็ดี แต่ละคนต่างเรียนดี”
เทาเท่โกรธสุดๆ:“พวกนายหมายความว่าไง?ฉันไม่คู่ควรเธอเหรอ?”
โซเมนพูด:“ไม่ได้บอกว่านายไม่คู่ควร นายก็มีมูลค่าเป็นพันล้าน ไม่มีอะไรคู่ควรไม่คู่ควร พวกเราแค่คิดว่า ทางเดินข้างหน้าของนายค่อนข้างลำบาก”
นทีบดีพูดต่อ:“ถึงตอนนี้ฉันยังไม่มีลูก แต่ฉันก็ลองคิดดูนะ ถ้าฉันมีลูกสาวสุดที่รัก อย่าว่าแต่ถูกผู้ชายทำเสียใจเลย แค่เธอพูดว่าเธอมีความรัก หัวใจของฉันก็แตกสลายแล้ว”
“ถ้าเธอโดนผู้ชายคนนั้นทำให้เสียใจ ฉันเอามีดไปฆ่ามันแน่”
นทีบดีพูดไปเรื่อยๆก็หงุดหงิดขึ้นมา
หลักๆคือฟุ้งซ่าน พอคิดว่าลูกสาวของตัวเองกับภรรยาตัวน้อยจะมีความรักเสียใจและผิดหวัง เขาก็ใจสลาย
โซเมนกลับพูดว่า:“หลายปีมานี้จอร์แดนไม่มีลูก ตอนนี้ได้ลูกสาวสุดที่รักมาอย่างยากลำบากแล้ว เขาก็น่าจะเอาใจเธอสุดๆเลยไม่ใช่เหรอ?ถ้านายจีบเธอ ยากยิ่งกว่าพระถังซัมจั๋งไปอัญเชิญพระไตรปิฎกเสียอีก”
ไวท์ตอบไปว่า:“ดังนั้น พวกเราสามคนแนะนำนายให้ยอมแพ้ จะได้ไม่เจ็บปวด”
เทาเท่ตอบกลับเซ็งๆ:“ไสหัวไปเถอะพวกนายน่ะ”
คนกลุ่มนี้บอกว่าเพื่อเขา แต่ที่จริงเห็นเขาเป็นเรื่องตลก สะใจ
เขาไม่อยากคุยกับพวกเขาอีกต่อไป จึงลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าแล้วออกไปจากบ้าน
เดินไปเรื่อยๆก็เดินถึงรอบบ้านนานิ เขาพูดชัดเจนไปแล้วว่าไม่กินข้าว ตอนนี้จะเข้าไปก็คงเสียหน้า ดังนั้นเลยได้แต่เดินเล่นข้างนอกอย่างเบื่อหน่าย
เดินไปสักพักจึงเห็นเจเทาวน์กับหลินจือออกมาจากบ้านนานิ ทั้งสองเดินไปไม่กี่ก้าวก็ยืนพูดอยู่ตรงนั้น พูดไปจู่ๆทั้งสองก็กอดกัน
เทาเท่ก็สีหน้าเปลี่ยนไปตรงนั้นเลย พูดตัดบททั้งสองอย่างไม่คิดอะไรทั้งนั้น
ตอนเช้าเขายังแน่ใจว่าหลินจือไม่รักเจเทาวน์ จะต้องไม่ชอบใจที่เจเทาวน์ทำตัวสนิทสนมกับเธอแน่ คิดไม่ถึงว่าตอนค่ำจะเห็นหลินจือเดินเข้าไปหาเจเทาวน์ก่อน แล้วเข้าไปในอ้อมแขนของเขา
หัวใจของเขาเหมือนกับตกลงไปในโรงน้ำแข็ง เยือกเย็นไปหมด
เจเทาวน์โอบไหล่ของหลินจือแล้วยิ้มบางๆพูดกับเทาเท่:“ประธานเทาเท่ ทำไมคุณอยู่นี่?”
เทาเท่ไม่พูด ได้แต่จ้องไปที่หลินจืออย่างเดือดจัด
หลินจือละสายตาออกปฏิเสธที่จะสบสายตากับเขา ดังนั้นเจเทาวน์จึงพูดว่า:“ผมกับหลินจือกินข้าวเสร็จแล้ว ผมกำลังจะไปส่งเธอกลับบ้าน ถ้าไม่มีอะไรพวกเราไปก่อนนะครับ”
เจเทาวน์พูดจบก็โอบหลินจือจะออกไป เทาเท่ก้าวไปขวางฝีเท้าของทั้งสองคน แล้วพูดอย่างเยือกเย็น:“เหมือนว่าประธานเจเทาวน์จะไม่ผ่านทางนะ ผมกลับไปกับเธอก็ได้”
เจเทาวน์ก็ไม่อยากถอย ดังนั้นทั้งสองจึงเผชิญหน้ากันอย่างนั้น
หลินจือรู้สึกว่าตอนนี้สภาพของเทาเท่น่ากลัวมาก ดังนั้นจึงดึงแขนเสื้อของเจเทาวน์แล้วพูดว่า:“คุณไปส่งฉันกลับเถอะนะ”
เทาเท่โดนรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด อกอีแป้นก็แทบจะแตกออกมา