ตอนที่ 378: ทัณฑ์สวรรค์
เมื่อได้เห็นว่าพวกเขากำลังลอยอยู่กลางอากาศ เจี้ยนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น พลังในการต่อสู้เป็นอะไรที่เขาได้ในไม่ช้าแล้ว เขาสามารถควบคุมธาตุในธรรมชาติด้วยจิตใจของเขาได้ ดังนั้นการบินคงไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา เขาแค่ยังไม่พบวิธีก็เท่านั้น ถ้าเขามีเวลาและได้ทดลอง เขาก็คงบินได้เหมือนเซียนสวรรค์
เจี้ยนเฉินหลับตาลงช้า ๆ และเริ่มรู้สึกถึงพลังงานธาตุลมที่อยู่รอบรอบเขา และเริ่มหาหลักการในการบินและการเพิ่มความเร็ว
การบินดูเหมือนจะง่าย แต่มันมีรายละเอียดที่สำคัญที่ต้องเรียนรู้ก่อน มันต้องการการฝึกฝนเพื่อที่จะได้ชำนาญ ไม่เช่นนั้น ถ้าคนเรียนรู้ขั้นเริ่มต้นเกิดบินขึ้นไปสูงร้อยเมตรในอากาศและเจอเข้ากับกระแสลมเข้า เขาคงไม่สามารถควบคุมการบินได้
ความเร็วที่เขาบินนั้นเร็วมาก ไม่นานนักเจี้ยนเฉินและชายคนนี้กลับเขามาที่หุบเขา มันเป็นเวลาเที่ยงในตอนนี้ และควันก็ลอยขึ้นมาจากหมู่บ้าน ชายอย่างน้อย 5 คนกำลังทำท่าลุกลี้ลุกลนอยู่ในหมู่บ้าน
ชายวัยกลางคนไม่ได้ซ่อนพลังแห่งการมีอยู่ของเขาเอาไว้และพาเจี้ยนเฉินและศพของราชาหมาป่าโลหิตเข้ามาที่กลางหมู่บ้านก่อนที่จะลดความเร็วลง
“เฮ้ เซี่ยมี่กลับมาแล้ว…”
“เซี่ยมี่ เอาสัตว์อสูรตัวใหญ่กลับมาด้วย”
“ฮ่าฮ่า ดูเหมือนคนในหมูบ้านจะกินกันไม่หมดแน่ ช่างเป็นหมาป่าที่ตัวใหญ่อะไรเช่นนี้ ใครจะรู้มันว่านานขนาดไหนที่…”
“เฮ้อ เซี่ยวมี่ชอบเอาสัตว์ที่ดูพิลึกเข้ามาในหมู่บ้าน เขาชอบทำประโยชน์ให้กับหมู่บ้านเสมอ…”
ในตอนที่ทุกคนเริ่มออกมา พวกเขาทั้งหมดก็มองไปที่พ่อของเจ้าอ้วนน้อยด้วยความศรัทธาและความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง ไม่มีใครตกใจเลยที่เห็นทั้งสองบินกลับมา มันเหมือนว่ามันเป็นภาพที่ปกติมาก
พ่อของเจ้าอ้วนน้อยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนที่จะตอบทุกคนอย่างกระตือรือร้น ไม่มีความหยิ่งยโสที่เห็นได้เป็นปกติในเซียนสวรรค์เลย มีแต่ความใจดีเท่านั้น
“เซี่ยวมี่ เจ้าสุดยอดมาก ไม่ต้องคิดเลยก็รู้ว่าหมาป่านี้แข็งแกร่งมาก แต่เจ้าก็สังหารมันได้อย่างง่ายดาย” ชายผู้หนึ่งหัวเราะออกมา
ชายผู้นั้นส่ายหน้า “ทุกคนเข้าใจผิดแล้ว สัตว์อสูรตัวนี้ไม่..”
ในตอนที่ชายวัยกลางคนพูด เจี้ยนเฉินก็รีบตัดบทว่า “ท่านลุงเร็วเข้า แบ่งเนื้อของราชาหมาป่าโลหิตนี้ให้ทุกคนกัน ยิ่งมันสดมากเท่าไร มันก็ยิ่งอร่อยมากขึ้นเท่านั้น”
พ่อของเจ้าอ้วนน้อยหัวเราะ “เอาหล่ะ เอาล่ะ ต้าชวง ไปหาคนมาลอกหนังมันเพิ่มและแบ่งเนื้อด้วย”
“ได้เลย!” ชายคนนั้นตอบกลับอย่างกระตือรือล้นก่อนที่จะไปรวบรวมคน
“โว้ ท่านพ่อ ท่านเอาสัตว์อสูรตัวใหญ่ขนาดนี้กลับมาเลยหรือ ? ” เสียงที่จริงใจดังขึ้นมาจากด้านหลังในขณะที่เจ้าอ้วนน้อยกำลังเดินมาพร้อมกับจอบที่อยู่ในมือ เขาคงกลับมาหลังจากการพรวนดินกับท่านปู่เป็นแน่
พ่อของอ้วนน้อยไม่ได้อธิบายอะไรต่อ เขาพาเจี้ยนเฉินกลับไปทานอาหารหลังจากที่ทักทายทุกคนแล้ว
อาหารถูกปรุงโดยแม่ของเจ้าอ้วนน้อย นางดูอายุไม่น่าเกิน 30 ปี และนางมีรูปร่างหน้าตาดี นางให้กลิ่นอายของชนชั้นสูง แม้ว่านางจะใส่เสื้อผ้าธรรมดา แต่ก็ไม่สามารถซ่อนกิริยาท่าทางของนางได้เลย แค่มองเพียงปราดเดียวก็รู่ว่านางไม่ได้โตขึ้นมาที่หมู่บ้าน
เจี้ยนเฉินนั่งอยู่กับครอบครัวทั้งสี่คนและเริ่มทานอาหาร อาหารนั้นค่อนข้างธรรมดา และมีผักที่พวกเขาปลูกขึ้นเอง
ปู่ของเจ้าอ้วนน้อยมองไปที่เจี้ยนเฉินก่อนที่จะยิ้มออกมา “เจ้าหนุ่ม ไปที่สวนข้าวโพดกับข้าสักพักนะหลังจากนี้ มีแปลงที่ต้องปลูกอีกมากเลย”
“ท่านปู่ ร่างกายของเจี้ยนเฉินพึ่งฟื้นตัว ทำไมท่านถึงไปใช้แรงงานเขาล่ะ ? รอให้ข้ากับท่านพ่อปลูกกระหล่ำเสร็จก่อน แล้วพวกเราจะไปช่วยท่าน” เจ้าอ้วนน้อยบ่นออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจที่ปู่ของเขาบอกให้เจี้ยนเฉินไปทำสวน
หลังจากที่ได้ยินคำขอของท่านปู่เพื่อให้ไปช่วยทำสวน เจี้ยนเฉินก็อึ้งไปสักพัก จากนั้นเขาก็ทำหน้าว่างเปล่าขึ้นมา “ได้ แต่ข้าไม่เคยเรียนรู้การทำสวนมาก่อน ถ้ามีอะไรที่ข้าไม่เข้าใจ ข้าหวังว่าผูอาวุโสจะชี้แนะข้าได้” เจี้ยนเฉินรู่ว่าปู่นั้นเป็นจอมยุทธที่ปิดบังตัวเองเอาไว้ด้วยเหตุผลบางอย่าง เจี้ยนเฉินไม่อยากเสียโอกาสที่จะได้คุยกับปู่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
“ไม่ต้องเรียกข้าว่าผู้อาวุโสหรอก แซ่ของข้าคือเซี่ยว ในฐานะผู้เฒ่าของหมู่บ้าน เจ้าเรียกข้าว่าผู้เฒ่าเซี่ยวก็ได้ หรือลุงเซี่ยว” ปู่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ใจดี
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ เจี้ยนเฉินก็ตามผู้เฒ่าเซี่ยวไปที่ทุ่งข้าวโพด พร้อมกับแบกจอบไว้ที่บ่าของเขา
ในตอนที่เจี้ยนเฉินมองไปที่จอบบนไหล่ของเขา เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“เป็นเพราะฐานะเจ้าที่เป็นชนชั้นสูงงั้นหรือ เจ้าถึงได้รู้สึกว่าจอบนี้มันน่าอายสำหรับเจ้า?” ใบหน้าของปู่ไม่ใจดีเหมือนตอนที่เขาอยู่ในหมู่บ้าน ในตอนนี้ เขาไร้อารมณ์ เหมือนว่าท่าทางใจดีของเขาจะมีเฉพาะตอนอยู่ในหมู่บ้านเท่านั้น
“ผู้เฒ่าเซี่ยว ท่านเข้าใจผิดแล้ว นั่นไม่ใช่ความคิดของข้าเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าทำสวนด้วยจอบ ดังนั้นนี่จึงเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับข้า” เจี้ยนเฉินพยายามที่จะอธิบาย
“อืม ดีแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะมีฐานะหรือความแข็งแกร่งขนาดไหน เจ้าต้องไม่หลงลืมตน การมีสติอยู่ตลอดนั้นสำคัญมาก คนต้องมีความเมตตาและจิตใจดีเพื่อที่จะเชี่ยวชาญได้ในระดับสูง ระวังสิ่งนี้ไว้ด้วย ! แม้ว่าเจ้าจะเป็นอัจฉริยะและประสบความสำเร็จมานับไม่ถ้วน ในท้ายที่สุด ความสำเร็จของเจ้าก็จะไม่มีความหมายอะไรเลย” ผู้เฒ่าพูดขึ้นมา
“ผู้เยาว์จะจำคำสั่งสอนเหล่านี้ไว้ ! ” เจี้ยนเฉินพูดออกมาอย่างถ่อมตน
ผู้เฒ่าเซี่ยวเดินต่อไปที่ทุ่งพร้อมด้วยจอบที่อยู่ในมือ “ข้ารู้ว่าหัวใจของเจ้าไม่ได้ไม่ได้เข้าใจความหมายของคำพูดของข้าอย่างแท้จริง แต่เจ้าต้องรู้ไว้ว่า ทุกคนที่อยู่ในทวีปที่เป็นเซียนผู้คุมกฎนั้นชอบที่จะแยกตัวออกมาจากโลกเสมอ มันหาได้ยากมากที่จะเห็นพวกเขาท่องไปในโลก”
เจี้ยนเฉินหรี่ตาลง ในขณะที่เขาคิดเกี่ยวกับคำพูดเหล่านั้น “ผู้เยาว์ผู้นี้คิดเสมอคนที่ฝึกฝนจนถึงระดับนั้นคงจะอยู่สันโดษในโลกที่แยกตัวออกมา และละทิ้งสิ่งยั่วยุของโลกภายนอก นี่เป็นเหตุผลที่พวกเราไม่ปรากฎตัวขึ้นมาที่โลกภายนอกบ่อยนัก หลังจากที่ได้ยินที่ผู้เฒ่าเซี่ยวพูด นั้นเป็นเหตุผลจริงจริงใช่หรือไม่ ? “
“ถูกต้อง สถานการณ์มันไม่เหมือนกับที่เจ้าคิด สำหรับคนที่ได้เป็นเซียนผู้คุมกฎนั้น พวกเขาก็ได้เข้าใจถึงการมีอยู่ของความลึกลับของธรรมชาติที่ลึกซึ้งแล้ว ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ได้ความแข็งแกร่งไปด้วย พวกเขาจะสามารถรู้สึกได้ถึงข้อห้ามของธรรมชาติ”
“ข้อห้ามของธรรมชาติ ? ” เจี้ยนเฉินสงสัยมากในตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องที่เกี่ยวกับเซียนผู้คุมกฎ
“ถูกต้อง ข้อห้ามของธรรมชาติ หลังจากที่ได้เป็นเซียนผู้คุมกฎแล้ว พวกเขาจะได้รับการลงทัณฑ์จากสวรรค์ ทัณฑ์สวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่หนีไม่พ้น นี่เป็นกฎที่ใช้กับเซียนผู้คุมกฎที่แหกกฎ” ใบหน้าของผู้เฒ่าเซี่ยวนั้นเศร้าหมองในขณะที่เขาพูด เป็นข้อบ่งชี้ให้เห็นว่าทัณฑ์สวรรค์นั้นน่ากลัวเพียงใด
“ผู้เฒ่าเซี่ยว อะไรคือทัณฑ์สวรรค์กัน ? มันน่ากลัวจริง ๆ หรือ ? ” เจี้ยนเฉินสงสัย เขาไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน ดังนั้นมันจึงยากที่เขาจะไม่สงสัย
“ทัณฑ์สวรรค์เป็นกฎของธรรมชาติ มันสามารถที่จะกำจัดหรือสั่งสอนคนที่อยู่ในระดับเซียนผู้คุมกฎหรือสูงกว่านั้นได้ ทัณฑ์สวรรค์มีทั้งหมด 5 ขั้นด้วยกัน ผมจะแห้งเหมือนกองฟาง ร่างกายเหี่ยวเฉา เลือดในร่างระเหยออก อวัยวะภายในเริ่มถูกเผาไหม้ และสุดท้าย วิญญาณก็จะตายไป เมื่อมาถึงจุดนี้ ร่างและวิญญาณจะถูกกำจัดไปอย่างแท้จริง ในทวีปเทียนหยวนนั้น ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีความสามารถหรือแข็งแกร่งเพียงใด ถ้าพวกเขาได้ทำบาปมหันต์แล้ว พวกเขาจะไม่สามารถหนีการลงทัณฑ์จากสวรรค์ได้ ดังนั้นทัณฑ์สวรรค์จึงเป็นกฎที่ป้องกันไม่ให้แม้แต่เซียนผู้คุมกฎเองทำบาป”
“ถ้าอย่างนั้นแล้ว แค่ไหนที่เรียกว่าบาปมหันต์กัน ? ” เจี้ยนเฉินถาม
ในตอนนี้เอง ชายทั้งสองก็มาถึงที่ทุ่ง เขาเหวี่ยงจอบลงไปขุดดิน ผู้เฒ่าเซี่ยวเริ่มพูด “รายละเอียดตรงตรงนั้นไม่เป็นที่แน่ชัด แต่หลังจากที่ผ่านมาหลายปี คนที่แหกกฎธรรมชาติก็ได้เล่าถึงประสบการณ์ของพวกเขา จากที่พวกเขาเล่า เซียนผู้คุมกฎที่สังหารผู้บริสุทธิ์ไปนับไม่ถ้วนหรือทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บ สวรรค์จะลงทัณฑ์พวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย นอกเหนือไปจากนั้น พวกเรายังไม่มั่นใจว่าอะไรเป็นการแหกกฎอีก”
“ทัณฑ์สวรรค์เป็นกฎของธรรมชาติที่บังคับใช้กับเซียนผู้คุมกฎหรือคนที่ระดับสูงกว่าจากการกระทำบาปใดใด แต่มันไม่เคยปรากฏขึ้นกับเซียนผู้คุมกฎที่แยกตัวออกมาจากโลกภายนอก เหตุผลที่ทำไมถึงเป็นแบบนี้เป็นเพราะหนึ่งสิ่งก็คือ สติ ! “
“สติ ? ” เจี้ยนเฉินถาม
“ถูกต้อง มันคือสติ โลกของมนุษย์นั้นเป็นเหมือนถังขนาดใหญ่ ถ้ามีคนบริสุทธิ์และซื้อสัตว์ พวกเขาเหล่านั้นก็จะย้อมให้โลกเต็มไปด้วยสีสัน การที่เสียสติของเจ้าไปเป็นการปล่อยให้เงินตราและอำนาจมายั่วยุ ถ้าเซียนผู้คุมกฎปรารถนาที่จะตัดผ่าน พวกเขาต้องพยายามที่จะทำความเข้าใจในความลึกลับของธรรมชาติที่ลึกซึ้ง ทัศนคติของคนที่จะเข้าใจในความลึกลับของธรรมชาติได้จะต้องสงบและทนต่อการยั่วยุทางโลกได้ เมื่อวิญญาณเข้าใกล้กับธรรมชาติอย่างที่สุดแล้ว ในตอนนั้นก็จะเป็นเวลาที่ความเข้าใจในความลึกลับของธรรมชาตินั้นจะเร็วยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าเป็นคนที่หวั่นไหวต่อความยั่วยุทางโลกแล้ว คนคนนั้นก็จะติดอยู่ในวังวน ไม่ว่าคนนั้นจะไปที่ไหนหรือพยายามที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติมากแค่ไหน มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจความลึกลับของธรรมชาติที่ลึกซึ้ง ถ้าคนคนนั้นไม่มีสติ ก็จะไม่มีทางก้าวหน้าต่อไปได้” ผู้เฒ่าเซี่ยวขุดจอบลงไปที่พื้นครั้งแล้วครั้งเล่าในตอนที่เขากำลังพูดกับเจี้ยนเฉิน
เมื่อได้ยินดังนั้น เจี้ยนเฉินก็ไม่มีคำที่จะพูด เขาคิดต่อถึงคำที่ผู้เฒ่าเซี่ยวพูด ตำพูดของเขานั้นทำให้เจี้ยนเฉินเห็นถึงความเป็นจริง จริงที่การที่ได้ฟังคำจากคนที่ฉลาดนั้นก็เหมือนกับการอ่านหนังสือเป็นสิบปี
หนทางในการฝึกฝนของเซียนผู้คุมกฎไม่เหมือนทางปกติที่ใช้ในการฝึกพลังเซียนเพื่อที่จะพัฒนาตนเอง พวกเขาเดินในเส้นทางที่ต่างออกไป โดยการพยายามที่จะเข้าใจความลึกลับของธรรมชาติที่ลึกซึ้ง
“เจ้าหนุ่ม ข้าบอกได้เลยว่าเจ้านั้นไม่ใช่ปลาที่จะอยู่แต่ในบ่อ เจ้าจะต้องมีอนาคตที่สดใส แม้ว่าเจ้าจะสูญเสียอาวุธเซียนไป มันก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อการเติบโตของเจ้า ข้าแค่หวังให้เจ้ามีสติและไม่หลงทางในโลกมนุษย์ ออกมาจากโลกภายนอกและฝึกฝนให้อยู่ในจุดที่สูงสุด” ผู้เฒ่าซุ่ยจ้องไปที่เจี้ยนเฉินต้องสายตาที่หนักแน่น