ซูหลีให้อภัยตงฟางเจ๋อต่อหน้าทุกคน ฮ่องเต้แคว้นติ้งจึงไม่อาจตำหนิอะไรได้อีก แต่กลับไม่ยอมรับปากเรื่องหมั้นหมาย และปล่อยธิดาอันเป็นที่รักไปง่ายๆ เขาสับสนและลำบากใจ ยกถ้วยสุราขึ้นดื่มจนหมดถ้วย เงียบงันไม่พูดอะไร
ซูหลีไม่สบายใจ นางหันไปมองหลางฉ่างด้วยสายตาอ้อนวอน หลางฉ่างถอนหายใจ ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “เสด็จพ่อ ฮ่องเต้แคว้นเฉิงเป็นถึงประมุขแห่งแคว้น กล้ารับผิดต่อหน้าธารกำนัล ถือเป็นเรื่องหายาก ยามนี้ในเมื่อฉางเล่ออภัยให้เขาแล้ว เสด็จพ่อมิสู้…ยอมตกลงเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งมองเขาแวบหนึ่ง ยังคงไม่พูดอะไร
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเองก็ลุกขึ้น แล้วเอ่ยชื่นชมจากใจจริง “บุรุษใต้ฟ้านี้ล้วนอยากแต่งภรรยามากมาย และเชยชมหญิงงาม ฮ่องเต้แคว้นเฉิงเป็นถึงประมุขผู้สูงส่ง แต่กลับต้องการฉางเล่อเพียงผู้เดียว ความจริงใจนี้ ช่างน่าเลื่อมใสยิ่งนัก!”
หลางฉ่างได้ยินก็ตะลึงงันเล็กน้อย เขาหันไปมองซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย เห็นเพียงสายตาที่นางมองตงฟางเจ๋อ นอกจากความเลื่อมใสแล้วยังมีแววใฝ่ฝันผสมอยู่ด้วยรางๆ หัวใจของเขาสะท้านไปทั้งดวง ที่แท้สิ่งที่นางต้องการ ก็คือคนรักเดียวใจเดียว…
เสียงแค่นหัวเราะอย่างเย้ยหยันพลันดังมาจากที่นั่งฝั่งตรงข้าม
ทุกคนตกตะลึง หันไปมองด้วยความสงสัย
เซียงซืออวี่หมุนถ้วยชาในมือไปมา สายตาเย็นชาเล็กน้อย ราวกับกำลังชมละครฉากดี กระทั่งถึงตอนนี้ เขาจึงค่อยๆ ช้อนตาขึ้น แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “วาจาของฮ่องเต้แคว้นเฉิง ช่างซาบซึ้งกินใจเสียเหลือเกิน แต่มีคำถามหนึ่ง มิทราบจะขอบังอาจถามฮ่องเต้แคว้นเฉิงหน่อยได้หรือไม่?” เขามองตงฟางเจ๋อ แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ก่อนจะกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงกล่าวว่าเพื่ออำนาจส่วนรวมแล้วมักต้องมีคนเสียสละ ผู้น้อยเซียงใคร่ขอถาม หากคนที่เสียสละผู้นี้มิได้กลายเป็นคนรักของท่าน ท่านจะรู้สึกว่าการเสียสละเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้วหรือไม่?! และคิดว่าการได้เป็นเส้นทางสู่ความสำเร็จของท่าน ถือเป็นเกียรติใช่หรือไม่!?”
น้ำเสียงของเขาไม่ได้ดังมาก แต่วาจากลับแทงใจดำทุกคำ
สีหน้าของตงฟางเจ๋อแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เขาหันไปมองซูหลีโดยสัญชาตญาณ ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย นางจ้องหน้าเซียงซืออวี่นิ่งๆ แล้วเอ่ยเสียงเข้ม “คุณชายเซียง ข้าบอกแล้วว่าเรื่องในอดีต ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีกแล้ว ฉางเล่อปล่อยวางได้แล้ว!”
เซียงซืออวี่หันไปมองซูหลี แล้วกล่าวว่า “ปล่อยวาง? เขาทำร้ายท่านขนาดนั้น…เหตุใดท่านยังยอมอภัยให้เขาได้? หากเป็นคนอื่นกระทำเรื่องเหล่านั้นกับท่าน ท่านยังจะให้อภัยได้ง่ายๆ เช่นนี้อีกหรือไม่?”
เขาพูดพลางเดินไปหาซูหลี ในสายตาที่ดูคล้ายสงบนิ่ง คล้ายมีอารมณ์บางอย่างเดือดพล่านอยู่ข้างใน ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ตงฟางเจ๋อเดินเข้ามาขวางหน้าเขา แล้วเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นี่เป็นเรื่องของข้ากับนาง ไม่จำเป็นต้องให้คนนอกเข้ามายุ่งด้วย”
เซียงซืออวี่ยังทำท่าจะพูดต่อ หลางฉ่างรีบเดินเข้ามากดไหล่เขา แล้วเตือนเสียงนุ่มนวล “สหายเซียง! เรื่องส่วนตัวของฉางเล่อ นางย่อมตัดสินใจเองได้ พวกเราอย่าถามมากอีกเลย!”
หลางฉ่างส่ายหน้าเล็กน้อย เซียงซืออวี่หันไปมองซูหลี สายตาค่อยๆ กลับมาสงบลง ก่อนจะยิ้มหยันตนเอง แล้วกล่าวว่า “ผู้น้อยเซียงเสียกิริยาอีกแล้ว!”
ตงฟางเจ๋อยิ้มเย็น กล่าวว่า “ครานี้ คุณชายเซียงนึกถึงสหายเก่าคนใดอีกเล่า?”
เซียงซืออวี่ถอนหายใจ “บอกตามตรง ข้ามีสหายเก่าคนหนึ่ง เขาก็เคยทำผิดต่อคนรักเหมือนกับฮ่องเต้แคว้นเฉิง! แต่เขาไม่ได้โชคดีเช่นฮ่องเต้แคว้นเฉิง เขาทำทุกวิถีทาง ทว่าแม้ตายก็ยังไม่ได้รับการให้อภัยจากคนรัก…”
หัวใจของซูหลีพลันเต้นแรง ดวงหน้าอันเจ็บปวดและสิ้นหวังที่ราวกับหยุดนิ่งอยู่ในเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ในสวนดอกหลีของเมืองหลวงแคว้นเฉิงตลอดกาล พลันผุดขึ้นมาในสมองนาง…
ใบหน้าของเซียงซืออวี่ดูเจ็บปวด ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือไม่ ซูหลีพลันบังเกิดความสงสัย
ตงฟางเจ๋อไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับเขา จึงหันไปทางฮ่องเต้แคว้นติ้ง แล้วค้อมกายต่ำ กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังอีกครั้ง “เจ๋อสู่ขอซูซูด้วยความจริงใจ หวังจะเป็นพันธมิตรที่ดีกับแคว้นติ้งตลอดไป ฮ่องเต้แคว้นติ้งโปรดทรงอนุญาตด้วย!”
ความรักของบุตรธิดากลับกลายเป็นเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น สายตาของฮ่องเต้แคว้นติ้งไหวระริก ยิ้มแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ความคิดของฮ่องเต้แคว้นเฉิง ข้ากระจ่างแล้ว มิใช่ข้าไม่ยอมอนุญาตท่าน เพียงแต่…” เขาถอนหายใจ “หากพูดถึงเรื่องแต่งงาน องค์รัชทายาทเป็นพี่ชาย อีกทั้งยังเป็นว่าที่กษัตริย์ ตามหลักเขาควรแต่งงานก่อน แล้วฉางเล่อค่อยแต่งงานทีหลังก็ยังไม่สาย”
สายตาของฮั่วเสี่ยวหมานเป็นประกายขึ้นมาทันที นางหันไปมองหลางฉ่างด้วยสายตาเสน่หา
ตงฟางเจ๋อกับซูหลีสบตากัน ต่างอดไม่ได้ที่จะลอบขมวดคิ้ว พวกเขานึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้แคว้นติ้งจะใช้เรื่องการแต่งงานของหลางฉ่างมาเป็นข้ออ้างในการบ่ายเบี่ยงการสู่ขอ หากหลางฉ่างไม่ยอมสู่ขอเสียที งานแต่งของพวกเขาก็ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด?
ยามนี้เอง ฮั่วถิงชวนลุกจากที่นั่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอันก้องกังวาน “ฝ่าบาทตรัสมีเหตุผลพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมเองก็เห็นว่าการแต่งงานของบุตรธิดา ควรเป็นไปตามลำดับอาวุโส ปีนั้น ลัทธิธิดาเทพลอบสังหารฮ่องเต้พระองค์ก่อน ทำให้เกิดความขัดแย้งภายใน เพื่อคุ้มกันฝ่าบาทให้ปลอดภัย ครอบครัวของกระหม่อมถูกสังหารจนสิ้น มีเพียงฮูหยินที่ใกล้คลอดถูกคุ้มกันจนหนีรอดออกมาได้ ทว่าหลังให้กำเนิดเสี่ยวหมานนางก็จากโลกนี้ไปด้วย…ฝ่าบาททรงเห็นใจที่สกุลฮั่วของเรามีเพียงบุตรสาวคนเดียว จึงอนุญาตให้แต่งงานกับองค์รัชทายาท กระหม่อมรู้สึกซาบซึ้งในน้ำพระทัยเสมอมา…”
เขาหยุดพูดไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงโศกเศร้าว่า “ผ่านไปเกือบยี่สิบปีแล้ว หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับหมานเอ๋อร์ล้วนแต่งงานออกเรือน หมานเอ๋อร์กลับยังคงเป็นสตรีในห้องหับ! หมานเอ๋อร์นาง…แม้ไม่ใช่โฉมสะคราญที่งามที่สุดแห่งยุค แต่ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของสกุลฮั่วเรา เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของกระหม่อมฮั่วถิงชวน กระหม่อมจะทนดูนางเสียช่วงเวลาดีที่สุดในชีวิตไปเฉยๆ ได้เช่นไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ หากนางไม่คู่ควรกับองค์รัชทายาท ก็ขอฝ่าบาทโปรดบอกกระหม่อมตรงๆ กระหม่อมยินดีหาคู่ครองให้หมานเอ๋อร์ใหม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮั่วเสี่ยวหมานได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสีทันที นางลุกขึ้นด้วยความร้อนรน “ท่านพ่อ! ท่านพ่อพูดอะไรน่ะ? ข้าไม่อยากแต่งงานกับคนอื่น ข้าอยากแต่งงานกับพี่ชายรัชทายาทคนเดียวเท่านั้น!”
ฮั่วถิงชวนตำหนิเสียงเกรี้ยว “หุบปาก! เรื่องคู่ครองของบุตรธิดา ขึ้นอยู่กับคำสั่งของบุพการี และวาจาของแม่สื่อ ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะออกความเห็นได้!”
ตั้งแต่เล็กจนโต ฮั่วเสี่ยวหมานไม่เคยถูกบิดาตำหนิรุนแรงขนาดนี้ นางตะลึงงัน หมุนกายร้องไห้วิ่งออกไปทันที ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี ซูหลีมองหลางฉ่างอย่างเป็นห่วง หลางฉ่างกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉางผิงโหวต้องการบีบบังคับให้แต่งงานต่อหน้าทุกคนงั้นหรือ?”
ฮั่วถิงชวนเชิดหน้ากล่าว “กระหม่อมมิกล้า”
หลางฉ่างแค่นเสียงเล็กน้อย “บุญคุณในอดีตที่สกุลฮั่วมีต่อราชวงศ์เรา เสด็จพ่อกับข้าไม่เคยลืม ฉะนั้นจึงได้ยอมให้ฉางผิงโหวกำเริบเสิบสานในราชสำนักอยู่บ่อยครั้ง เรื่องการแต่งงานกับเสี่ยวหมาน ข้าเองก็ไม่เคยคิดจะผิดสัญญา แต่ฉางผิงโหว ถึงอย่างไรข้าก็เป็นรัชทายาท ภายหน้าต้องสืบทอดบัลลังก์ ภรรยาของข้าจะต้องกลายเป็นว่าที่มารดาแห่งแผ่นดิน ท่านถามใจตนเองดู บุตรสาวที่ท่านเลี้ยงดูมา มีคุณสมบัติที่จะรับผิดชอบหน้าที่มารดาแห่งแผ่นดินได้หรือไม่!”
วาจานี้แม้แทงใจดำ ทว่ากลับเป็นเรื่องจริง ฮ่องเต้แคว้นติ้งกระแอม “รัชทายาท!”
ฮั่วถิงชวนรีบกล่าว “พระองค์กำลังตำหนิว่ากระหม่อมเลี้ยงดูบุตรสาวไม่ดีหรือ! กระหม่อมอายุเกินครึ่งร้อยแล้ว มีบุตรสาวเพียงคนเดียว จึงรักและทะนุถนอมนางมากจริงๆ แต่นิสัยจริงๆ ของนางเป็นคนจิตใจดี นางจริงใจต่อพระองค์ยิ่งกว่ากระหม่อมเสียด้วยซ้ำ! พระองค์เห็นแก่ที่นางสูญเสียมารดาตั้งแต่เกิด ใจดีกับนางหน่อยไม่ได้เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
หลางฉ่างเงยหน้า สูดหายใจลึกๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธกรุ่น “หากข้าไม่ใจดีกับนาง ก็คงไม่คาดหวังในตัวนางมาจนถึงตอนนี้หรอก”
ซูหลีถอนหายใจ ที่แท้การหมั้นหมายของเสด็จพี่กับเสี่ยวหมานก็มีที่มาที่ไปเช่นนี้เอง! มิน่าเล่าแม้เสด็จพี่ไม่ชอบที่เสี่ยวหมานดื้อรั้นเอาแต่ใจ แต่ก็ไม่เคยถอนหมั้น
“เรื่องนี้…ล้วนโทษข้า” จู่ๆ ฮ่องเต้แคว้นติ้งก็เปิดปาก ทุกคนตกตะลึงเล็กน้อย เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ฮองเฮาคอยประคอง แต่เขาก็ยังคงซวนเซเล็กน้อย ซูหลีรีบเข้าไปประคองเขาด้วย
ฮ่องเต้แคว้นติ้งค่อยๆ ก้าวลงจากบันได พลางพูดไปด้วยว่า “เป็นเพราะหลายปีมานี้ข้าสุขภาพอ่อนแอ…รัชทายาทดูแลบ้านเมือง ยุ่งกับราชกิจ ฮองเฮาดูแลเรื่องสำคัญในวัง แล้วยังต้องคอยเป็นห่วงข้า ไม่มีเวลาอบรมเสี่ยวหมานให้ดี จนทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ถิงชวน หากเจ้าจะโทษ ก็โทษข้าเถิด”
ฮั่วถิงชวนหน้าเปลี่ยนสี รีบก้มหน้ากล่าว “กระหม่อมมิกล้า”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งตบไหล่เขา ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เจ้ากับข้าเติบโตมาด้วยกัน มิตรภาพหลายสิบปี เสมือนพี่น้องท้องเดียวกัน! ความเจ็บปวดที่เจ้าต้องสูญเสียครอบครัวไปเพราะข้า ข้าไม่กล้าลืมแม้แต่วันเดียว เสี่ยวหมานเด็กคนนี้ ข้ารู้แม้นางจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ธาตุแท้มิใช่คนเลว เอาไว้ข้าจะส่งอาจารย์ไปอบรมหลักจริยธรรมให้นางอย่างดี ให้นางได้เรียนรู้ว่าภายหน้าจะเป็นมารดาแห่งแผ่นดินที่ดีได้เช่นไร” เอ่ยจบก็หันไปหาฮองเฮา “เรื่องนี้ข้าขอมอบหมายให้ฮองเฮาจัดการ”
—————————————