ฮองเฮารีบรับคำ “หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาเพคะ”
“ดูท่าเจ๋อคงต้องแสดงความยินดีกับองค์รัชทายาทแล้ว!”
หลางฉ่างได้ยินก็หันไปมอง ตงฟางเจ๋อประสานมืออวยพรด้วยรอยยิ้ม “ฮองเฮาทรงส่งคนไปอบรมด้วยตนเอง คุณหนูฮั่วรักมั่นทั้งใจ เพื่อได้อภิเษกสมรสกับองค์รัชทายาทโดยเร็ว นางจะต้องตั้งใจเรียนอย่างแน่นอน ไม่เกินสามเดือน คงเปลี่ยนเป็นคนละคนได้แน่!”
หลางฉ่างกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็คงต้องขอบคุณคำอวยพรของฮ่องเต้แคว้นเฉิง”
ฮั่วถิงชวนชำเลืองมองฮ่องเต้แคว้นติ้ง แล้วกล่าวหยั่งเชิง “กระหม่อมซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทและฮองเฮายิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อองค์รัชทายาทและหมานเอ๋อร์ต่างตกลงปลงใจ เช่นนั้น…สมควรกำหนดวันอภิเษกสมรสเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมจะได้สั่งให้คนเตรียมเครื่องแต่งกายสำหรับงานอภิเษกสมรสให้หมานเอ๋อร์ล่วงหน้า!”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งหันไปมองหลางฉ่าง แล้วถามเขา “รัชทายาทเห็นว่าอย่างไร?”
หลางฉ่างหันไปมองซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยโดยสัญชาตญาณ เห็นเพียงนางหลุบตาต่ำ เห็นได้ชัดว่านางมองว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง หลางฉ่างเศร้าหมองเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองซูหลี หากเขาไม่ยอม เกรงว่าวันแต่งงานของฉางเล่อก็คงต้องยืดเยื้อออกไปอีก…เขาเก็บงำความคิดอันสับสน จากนั้นก็ยิ้มบาง แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นก็จัดงานอภิเษกสมรสในอีกสามเดือนให้หลังเถิด รบกวนเสด็จแม่ให้คนหาวันมงคลในเดือนเจ็ดให้ลูกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาตกตะลึง หันไปมองฮ่องเต้แคว้นติ้ง ฮ่องเต้แคว้นติ้งขมวดคิ้วกล่าวว่า “งานอภิเษกสมรสของรัชทายาท ไม่เหมือนงานแต่งของชาวบ้านทั่วไป จำต้องให้ความสำคัญ ไม่อาจละเลย”
หลางฉ่างยิ้มพลางกล่าวว่า “เสด็จพ่อโปรดวางใจ เวลาสามเดือนถือว่าเพียงพอ มีเสด็จแม่อยู่ ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งมองเขาเงียบๆ โอรสที่ความคิดสื่อถึงกันเสมอมาของเขา กลับไม่สนใจคำแนะนำของเขาเป็นครั้งแรก
ฮ่องเต้แคว้นติ้งกุมมือซูหลีแน่น ซูหลีรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก เสด็จพี่เห็นใจนาง จึงเร่งรัดงานอภิเษกสมรสของตนเองให้ใกล้เข้ามา เสด็จพ่อทุกข์ใจถึงเพียงนี้ นางไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไรดี
ฮ่องเต้แคว้นติ้งถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วหันไปกล่าวกับฮั่วถิงชวนที่กำลังรอคอยด้วยสีหน้าคาดหวังว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็กลับไปเตรียมการเถิด”
ฮั่วถิงชวนพลันยินดี “กระหม่อมทูลลา” เขาสาวเท้ายาวๆ เดินออกจากศาลาอวิ๋นไหล อยากกลับไปแจ้งข่าวดีให้บุตรสาวอันเป็นที่รักรู้จนแทบทนไม่ไหว
ฮ่องเต้แคว้นติ้งยืนครู่เดียวก็รู้สึกเหนื่อย ฮองเฮาที่เอาใจใส่อยู่แล้วสังเกตเห็นทันที นางรีบแย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฮ่องเต้แคว้นเฉิง คุณชายเซียง ล้วนกลับไปนั่งเถิด ฝ่าบาท หม่อมฉันพาพระองค์กลับที่นั่งนะเพคะ”
ทุกคนกลับไปนั่งที่ ตงฟางเจ๋อยังคงยืนอยู่กลางตำหนัก ครั้นฮ่องเต้แคว้นติ้งนั่งลง เขาก็ค้อมกายคารวะอีกครั้ง และกล่าวอย่างขอร้อง “ในเมื่อองค์รัชทายาทกำหนดวันอภิเษกสมรสแล้ว ความปรารถนาของเจ๋อ ขอฮ่องเต้แคว้นติ้งโปรดทรงอนุญาตด้วย”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งชะงักงัน คนผู้นี้ขอร้องครั้งแล้วครั้งเล่า หนักแน่นไม่ยอมลดละ ทำเอาเขาปวดหัวยิ่งนัก ซูหลีกังวลเล็กน้อย มองดูใบหน้าอ่อนล้าของเสด็จพ่อ ก็อยากจะเกลี้ยกล่อมตงฟางเจ๋อให้พักเรื่องนี้ไว้ก่อน
ฮองเฮามองหน้าฮ่องเต้แคว้นติ้งเล็กน้อย รีบยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงหนักแน่นต่อฉางเล่อดังคาด ท่านร้อนใจเรื่องงานอภิเษกสมรสถึงเพียงนี้ ข้าเห็นแล้วก็ดีใจแทนฉางเล่อยิ่งนัก เพียงแต่…” นางถอนหายใจ แล้วกล่าวคล้ายลำบากใจ “ฉางเล่อแยกจากพวกเราตั้งแต่เด็ก นี่ก็เพิ่งจะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้า ฝ่าบาทเห็นฉางเล่อเป็นดังแก้วตาดวงใจ ไม่เห็นหน้านางแม้เพียงวันเดียวก็ไม่ได้ ข้าเองก็เห็นฉางเล่อเป็นเสมือนบุตรสาวแท้ๆ ของตนเอง ทำใจให้นางแต่งออกไปอยู่ไกลหูไกลตาไม่ได้จริงๆ…ฮ่องเต้แคว้นเฉิงโปรดเข้าใจหัวใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่เช่นพวกเรา พักเรื่องนี้ไว้ก่อนได้หรือไม่? พวกท่านยังเด็ก ยังมีเวลาอีกมาก”
ตงฟางเจ๋อลอบขมวดคิ้ว ฮองเฮามักพูดแทนยามที่ฮ่องเต้เงียบเสมอ เห็นได้ชัดว่าวันนี้พวกเขาตัดสินใจจะไม่อนุญาตเรื่องการหมั้นหมายในครั้งนี้
เซียงซืออวี่ที่เงียบมานานลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทกับฮองเฮาทรงอาลัยอาวรณ์องค์หญิง ฮ่องเต้แคว้นเฉิงก็ดึงดันจะสู่ขอองค์หญิงให้ได้…ผู้น้อยเซียงมีข้อเสนออย่างหนึ่ง ไม่ทราบสมควรกล่าวหรือไม่”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เชิญว่ามาได้เลย”
เซียงซืออวี่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงกล่าวว่ายอมสูญเสียได้ทุกสิ่ง มีเพียงองค์หญิงฉางเล่อผู้เดียวที่จะไม่ยอมเสียไปเด็ดขาด หากท่านพูดจริง ท่านก็สละราชบัลลังก์ ละทิ้งบ้านเมือง แล้วมาเป็นราชบุตรเขยแห่งแคว้นติ้งที่นี่ เช่นนั้น ก็ถือเป็นเรื่องดีต่อทุกฝ่ายแล้วมิใช่หรือ?”
สายตาของฮ่องเต้แคว้นติ้งไหวระริก เขาจ้องหน้าตงฟางเจ๋ออย่างครุ่นคิด
ตงฟางเจ๋อแค่นยิ้มเย็นชาแล้วกล่าวว่า “คุณชายเซียงเสนอแนะได้ดี! ก่อนหน้านี้ก็ตั้งคำถามกับข้า พยายามยุแยงให้ข้ากับซูซูแตกแยกกัน ยามนี้ก็ยังจงใจหาเรื่อง บีบบังคับให้ข้าเลือกระหว่างบ้านเมืองกับซูซู เซียงซืออวี่ เจ้ามีจุดประสงค์ใดกันแน่? เจ้ามาแคว้นติ้งเพื่ออะไร? และเจ้าเป็นนายน้อยแห่งเกาะตงหมิงจริงหรือ?”
เขาตั้งคำถามทีเดียวสามข้อ แต่ละข้อคมปลาบเชือดเฉือนขึ้นเรื่อยๆ พาให้ผู้คนตกตะลึงอึ้งงัน ซูหลีชำเลืองมองเซียงซืออวี่เงียบๆ ความรู้สึกคุ้ยเคยที่อยู่ลึกๆ ในใจสลัดอย่างไรก็ไม่ยอมหายไป
เซียงซืออวี่กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เหตุใดฮ่องเต้แคว้นเฉิงจึงถามเช่นนี้? หากข้ามิใช่นายน้อยแห่งเกาะตงหมิง แล้วจะเป็นฮ่องเต้จากแคว้นเฉิงหรืออย่างไรเล่า? ข้าจะมีจุดประสงค์ใดได้ ข้าเพียงเลื่อมใสองค์หญิง จึงอยากไขว่คว้าโอกาสบ้างก็เท่านั้น” เขาพลันหันไปทางฮ่องเต้แคว้นติ้ง แล้วค้อมกายอย่างหนักแน่น “ฝ่าบาท ฮ่องเต้แคว้นเฉิงสู่ขอองค์หญิง รับปากและสัญญามากมาย แต่ในสายตากระหม่อม เป็นเพียงสัญญาลมปาก หาความน่าเชื่อถือไม่ได้ ชีวิตยังอีกยาวไกล ความรู้สึกคนเราเปลี่ยนแปลงกันได้ ติ้งและเฉิงอยู่ห่างกันเป็นพันลี้ ผู้ใดจะรับประกันได้ว่าองค์หญิงจะปลอดภัย? ผู้น้อยเซียงไม่ได้เก่งกาจสามารถ ตั้งแต่พบองค์หญิงครั้งแรก กระหม่อมก็ชมชอบนาง ยินยอมพร้อมใจจะจากบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อนาง และยอมแลกทุกอย่างที่มี เพื่อให้ได้อยู่กับองค์หญิงไปตลอดชีวิต!”
เขากล่าวด้วยสีหน้าอ้อนวอน ราวกับทุกวาจาที่เอ่ย ล้วนออกมาจากใจทั้งสิ้น
ซูหลีตกตะลึง มองหน้าเขาด้วยความตกใจ พบกันเพียงไม่กี่ครั้ง เขาก็ยอมทอดทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อนางแล้ว?
ตงฟางเจ๋อจ้องหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา คล้ายต้องการมองทะลุหน้ากากของคนผู้นี้ ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่!
ฮ่องเต้แคว้นติ้งอึ้งงัน หากคนในดวงใจของฉางเล่อเป็นเซียงซืออวี่ก็คงดี! จิตใจและความคิดเป็นหนึ่งเดียว สายตาที่เขามองเซียงซืออวี่อ่อนโยนขึ้นหลายส่วน
ซูหลีตกตะลึง รีบลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “ความรู้สึกของคุณชายเซียง ฉางเล่อขอรับไว้ด้วยใจ ทว่าวาจาของคุณชายเซียง ฉางเล่อกลับไม่อาจเห็นด้วย บ้านเมือง และบัลลังก์ ไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ ขณะเดียวกันยังเป็นภาระหน้าที่ที่ไม่อาจบอกปัดได้ ฉางเล่อไม่มีทางใช้ความรักมาบีบบังคับให้ฮ่องเต้แคว้นเฉิงทอดทิ้งแว่นแคว้น ทอดทิ้งราษฎร ยิ่งไม่มีทางขอให้คุณชายเซียงทิ้งบ้านเกิดเมืองนอน และเสียสละทุกอย่าง ชีวิตนี้ ฉางเล่อขอแต่งงานกับคนที่รักเท่านั้น!”
ซูหลีหันกลับไป ตัดสินใจชี้แจงความในใจให้กระจ่าง นางเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เสด็จพ่อเพคะ…”
จู่ๆ ฮ่องเต้แคว้นติ้งก็ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าซีดเผือด
หลางฉ่างร้องขึ้นด้วยความตกใจ “เสด็จพ่อ! เป็นอะไรไปพ่ะย่ะค่ะ?”
ร่างกายของฮ่องเต้แคว้นติ้งซวนเซเล็กน้อย ก่อนจะล้มลงไปด้านหนึ่ง ซูหลีกับหลางฉ่างตกตะลึง รีบวิ่งเข้าไปประคองซ้ายขวา
ฮองเฮาขานเรียกด้วยความร้อนใจ “ฝ่าบาท?! เด็กๆ! รีบประคองฝ่าบาทกลับตำหนัก เรียกหมอหลวงมาเร็วเข้า!”
ภายในห้องโถงชุลมุนวุ่นวาย ทุกคนรุมล้อมอยู่ข้างกายฮ่องเต้แคว้นติ้ง ด้านนอก เกี้ยวพระที่นั่งจอดรออยู่แล้ว ซูหลีกับหลางฉ่างช่วยกันประคองฮ่องเต้แคว้นติ้งไปที่เกี้ยวพระที่นั่ง ฮ่องเต้แคว้นติ้งอ่อนแรง หมดสติไปแล้ว แต่กลับจับมือซูหลีไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมือ ราวกับกลัวว่าในช่วงที่เขาหมดสติไป ธิดาอันเป็นที่รักของเขาจะจากเขาไป
ซูหลีเจ็บปวดหัวใจ รู้สึกเสียใจที่ตนเองวู่วาม
จู่ๆ ฮ่องเต้แคว้นติ้งก็ประชวร ทุกคนคาดไม่ถึง ตงฟางเจ๋อยืนอยู่หน้าประตู มองดูเกี้ยวพระที่นั่งของฮ่องเต้แคว้นติ้งถูกหามออกไปอย่างรวดเร็ว เงาร่างของซูหลีจมหายเข้าไปในกลุ่มคน นางร้อนใจดั่งไฟสุมอก มัวแต่เป็นห่วงฮ่องเต้แคว้นติ้ง ไม่มีแม้แต่เวลาบอกลาเขา
ตงฟางเจ๋ออดไม่ได้ที่จะก้าวเท้าเดินตามไป มองดูเงาร่างของหญิงงามในเกี้ยวที่ห่างออกไปเรื่อยๆ หมายจะเอ่ยปากขานเรียกนาง ยามนี้เอง ซูหลีหันกลับมาท่ามกลางความวุ่นวาย และมองเขาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
ใบหน้าตงฟางเจ๋อเต็มไปด้วยความกังวล เขาทำได้เพียงชะงักเท้า ลึกๆ ในใจรู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก
เกี้ยวพระที่นั่งค่อยๆ ห่างออกไป จนหายลับไปจากครรลองสายตาในที่สุด…
———————————–