ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 42 นัดหมายลับๆ (1)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

หลายวันที่ผ่านมา ซูหลีได้รับข่าวการนัดหมายจากตงฟางเจ๋อ แต่กลับไปไม่อาจปลีกตัวออกไปได้ หลังจากงานเลี้ยง ถึงแม้ฮ่องเต้แคว้นติ้งจะอาการดีขึ้นบ้างแล้ว แต่กลับยิ่งไม่ยอมอยู่ห่างนางมากกว่าเดิม และมีสารพัดเหตุผลที่ไม่อาจปฏิเสธในการขอให้นางอยู่ข้างกาย หลายครั้งที่นางอยากจะเอ่ยปาก แต่กลับถูกแววคาดหวังในดวงตาของเสด็จพ่อทำให้ต้องล้มเลิกความคิด เพราะความใจอ่อน

 เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้มาเรื่อยๆ กลับทำให้ตงฟางเจ๋อต้องลำบาก เขาเดินทางมาไกลถึงพันลี้เพื่อนาง นึกว่าเมื่ออยู่ใกล้อย่างไรก็คงคลายความคิดถึงได้บ้าง นึกไม่ถึงเรื่องราวกลับกลายเป็นเช่นนี้ วันนี้เสวยมื้อเช้าเสร็จ ฮ่องเต้แคว้นติ้งมีราชกิจต้องสะสางบางส่วน ซูหลีจึงเพิ่งมีเวลา นางออกจากตำหนักบรรทม เดินทอดน่องไปยังอุทยานหลวง ตลอดทางท่าทางของนางดูหม่นหมอง ก้มหน้าก้มตาขบคิดเรื่องในใจ ดูเหม่อลอยเล็กน้อย ไม่ทันสังเกตเห็นเงาร่างสง่างามอรชรที่เดินเข้ามาตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

โม่เซียงที่อยู่ด้านหลังกล่าวเสียงใส “คารวะท่านหญิงอวิ๋นฮุ่ยเพคะ!”

ซูหลีเงยหน้า ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยแย้มยิ้มแล้วเดินเข้ามากุมมือนาง กล่าวหยอกล้อว่า “สมบัติในตำหนักฉางเซิงยังมีไม่มากพอหรือ? ฉางเล่อจึงได้เอาแต่ก้มมองหาสมบัติในอุทยานหลวงเช่นนี้”

ซูหลีอดยิ้มไม่ได้ “อยู่ดีๆ เจ้าก็มาล้อข้าอีกแล้ว!”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยควงแขนนาง แล้วพิจารณาสีหน้านาง “ในที่สุดก็ยิ้มแล้ว เมื่อครู่เห็นเจ้าทำหน้าหม่นหมองจากที่ไกลๆ ยังกลัดกลุ้มเรื่องการหมั้นหมายอยู่อีกหรือ?”

ซูหลียิ้มอย่างจนใจ “เดิมข้านึกว่าหากแก้ไขความขัดแย้งระหว่างตงฟางเจ๋อกับเสด็จพี่ได้แล้ว เรื่องการแต่งงานก็คงไม่มีอุปสรรคใดอีก นึกไม่ถึง…เฮ้อ งานเลี้ยงในวันนั้นเจ้าก็เห็นท่าทีที่เสด็จพ่อมีต่อเขาแล้ว…พักนี้เขานัดข้าออกไปพบหลายครั้ง แต่ข้ากลับหาโอกาสออกจากวังไปพบเขาไม่ได้เสียที เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ไม่ยอมให้ข้าห่างจากวังเลยแม้แต่วินาทีเดียว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ด้วยนิสัยของเขา ข้าเกรงว่า…อาจเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก พอถึงตอนนั้น…” กล่าวมาถึงตอนสุดท้าย น้ำเสียงนางค่อยๆ เบาลง แววกลัดกลุ้มในสายตาชัดเจนกว่าเดิม

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเองก็อดถอนหายใจไม่ได้ “ฉางเล่อกับฮ่องเต้แคว้นเฉิงรักกันมากแท้ๆ เหตุใดฝ่าบาทกับเสด็จป้ากลับไม่ยอมอวยพร?”

ซูหลีเอ่ยเสียงเบา “ระหว่างข้ากับเขา มีอดีตที่ไม่อาจอธิบายให้กระจ่างได้อยู่มากมาย เสด็จพ่อเป็นห่วงว่าข้าจะเลือกผิดคน ไม่อยากให้ข้าจากไปอยู่ต่างแคว้น เดาว่าคงเป็นเพราะเหตุผลนี้จึงไม่ยอมตกลงเรื่องแต่งงาน เสด็จพ่อทรงชรามากแล้ว ข้าเองก็ไม่อาจขัดใจพระองค์ได้”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ฉางเล่อกตัญญูถึงเพียงนี้ สักวันฝ่าบาทจะต้องเข้าใจเจ้าแน่”

ซูหลีกุมมือนาง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าดีที่สุด นึกไม่ถึงว่าตอนแรกที่ข้าลักพาตัวเจ้าตอนเข้าวังเพื่อเป็นตัวประกัน กลับลักพาสหายรู้ใจมาได้คนหนึ่ง!”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเองก็หัวเราะแล้วบอกว่า “จะว่าไปแล้ว ตอนนั้นที่ถูกเจ้าจับ ข้ากลับไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย ข้ารู้สึกได้ว่าเจ้าจะไม่ทำร้ายข้า นี่ถือว่าเป็นพรหมลิขิตได้หรือไม่?”

ทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะ ซูหลีถาม “ใช่แล้ว นี่เจ้ากำลังจะไปไหนหรือ?”

นัยน์ตาของซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยสุกสกาวขึ้นมาทันที นางยิ้มอย่างมีเลศนัย “วันนี้ข้าจะกลับจวนไปเซ่นไหว้ท่านพ่อ เพิ่งไปทูลลาฮองเฮามา พระนางบอกว่าเกาะฉางหลีดอกไม้กำลังเบ่งบาน หลายวันนี้ฝ่าบาททรงมีชีวิตชีวา มิสู้สามวันให้หลังให้เจ้ากับข้าติดตามฝ่าบาทกับฮองเฮาไปพักผ่อนด้วยกัน จะว่าไป ตั้งแต่กลับวังมา เจ้ายังไม่เคยไปเที่ยวเล่นดีๆ สักครั้งเลยนี่”

ซูหลีพลันสะดุดใจ อดประหลาดใจไม่ได้ “หลายวันมานี้เสด็จพ่อไม่อยากให้ข้าออกจากวังแม้แต่ก้าวเดียวด้วยซ้ำ เหตุใดจู่ๆ ก็อยากออกไปเที่ยวเล่นได้เล่า?”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยยิ้มแล้วกล่าวว่า “นี่เป็นโอกาสดีเชียวนะ”

ซูหลีตะลึงงันเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่า…”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเอ่ยพร้อมยกยิ้ม “ข้าจะไปส่งจดหมาย พอถึงตอนนั้น…ข้าจะหาโอกาสให้เจ้ากับฮ่องเต้แคว้นเฉิงได้พบกันสักครั้ง เท่านี้ก็แก้ปัญหาหนักใจให้เจ้าได้แล้วมิใช่หรือ?”

ดวงตาซูหลีเอ่อล้นไปด้วยความยินดี นางยิ้มแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นฉางเล่อก็ขอขอบคุณอวิ๋นฮุ่ยล่วงหน้า!”

จวนแม่ทัพไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตที่พักข้าราชการในเมือง ตอนยังมีชีวิตอยู่แม่ทัพซั่งกวนรักความสงบ จึงขออนุญาตฮ่องเต้แคว้นติ้งเป็นการพิเศษในการสร้างจวนไว้นอกเมือง ซึ่งบังเอิญอยู่ใกล้กับทะเลสาบจิ้งพัวพอดี ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยครุ่นคิดตลอดเส้นทาง หลังจากเซ่นไหว้เสร็จค่อยไปส่งข่าวปากเปล่าที่ทะเลสาบจิ้งพัว

รถม้ามาถึงหน้าประตูจวน ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยลงจากรถ

องครักษ์ชุดดำผู้หนึ่งสาวเท้ายาวๆ เดินเข้ามา น้อมส่งเทียบเยี่ยมเยือนด้วยท่าทางนบนอบ “นายท่านบ้านข้ารออยู่นานแล้ว”

แววประหลาดใจพาดผ่านดวงตาซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย นางรับเทียบเยี่ยมเยือนมาจากมือของสาวรับใช้อีกที จากนั้นก็เปิดอ่าน ไม่นานก็ตกตะลึง

รถม้าสีดำเรียบง่ายงดงามค่อยๆ จอดข้างรถม้าของซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย คุณชายหน้าตาหล่อเหลาสวมอาภรณ์สีดำรัดเกล้าสีทองผู้หนึ่งเดินออกมาจากในรถ ราศีสูงส่งไม่ธรรมดา กลับเป็นตงฟางเจ๋อ

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยรีบทำความเคารพ “อวิ๋นฮุ่ยถวายบังคมฮ่องเต้แคว้นเฉิงเพคะ!”

ตงฟางเจ๋อเดินลงจากรถ เดินเข้าไปประคองอากาศ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านหญิงไม่จำเป็นต้องมากพิธี วันนี้เจ๋อมาโดยไม่ได้รับเชิญ ท่านหญิงโปรดอภัยที่มารบกวน!”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยรีบกล่าว “จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไรเพคะ เดิมทีอวิ๋นฮุ่ยก็หมายจะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้แคว้นเฉิงอยู่แล้ว นึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้แคว้นเฉิงกลับเสด็จมาด้วยตนเอง ยืนคุยกันตรงนี้ไม่สะดวก เชิญด้านในจวนดีกว่าเพคะ”

ตงฟางเจ๋อเดินตามซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเข้าไปในห้องรับแขกที่เรียบง่ายทว่างดงาม ทั้งสองนั่งลง หลังจากสาวรับใช้นำชามาถวายแล้วถอยออกไป ห้องรับแขกก็แปรเปลี่ยนเป็นเงียบงันทันที

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเอ่ยปาก “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงเสด็จมาวันนี้ใช่เพราะเรื่องฉางเล่อหรือไม่เพคะ?”

ตงฟางเจ๋อถอนหายใจเบาๆ “ใช่แล้ว เรื่องการหมั้นหมายไม่ราบรื่น ข้านัดหมายซูซูหลายครั้งก็ยังไม่ได้พบหน้า ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นหรือเปล่า?”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “ฉางเล่อสบายดีเพคะ นางเองก็คะนึงหาฮ่องเต้แคว้นเฉิงมากเช่นกัน เพียงแต่ฝ่าบาท…” นางไม่สะดวกพูดต่อไป ทำได้เพียงมองตงฟางเจ๋อด้วยสายตาเห็นใจเล็กน้อย

ตงฟางเจ๋อตระหนักดี ลึกๆ ในใจรู้สึกขมขื่น เขาแย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าเข้าใจ นางเองก็คงลำบากใจไม่น้อย ในอดีตข้าเคยทำร้ายนางไว้มาก ฮ่องเต้แคว้นติ้งจะมีอคติกับข้าก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา” ถึงแม้ใบหน้าเขายังคงเป็นปกติ แต่ลึกๆ ในดวงตากลับปรากฏแววผิดหวังและกังวลให้เห็นรางๆ

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยมองเขา ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุด

ตงฟางเจ๋อมองมาที่นาง ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ท่านหญิงเป็นสหายรู้ใจของซูซู ก็นับว่าเป็นเพื่อนของเจ๋อ มีเรื่องใดโปรดกล่าวมาได้เลย”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยสูดหายใจลึกๆ นางเอ่ยปากอย่างพิจารณา “หัวใจที่ฮ่องเต้แคว้นเฉิงมีต่อฉางเล่อ อวิ๋นฮุ่ยล้วนเห็นแจ้งแล้ว เหตุใดตอนแรก…” นางจ้องมองเงาร่างด้านข้างอันสมบูรณ์แบบของตงฟางเจ๋ออย่างไม่เข้าใจ

ตงฟางเจ๋อทอดมองไปยังสระน้ำกลางสวน ระลอกน้ำที่ต้องแสงอาทิตย์จนเกิดเป็นประกายระยิบระยับ ทำให้เขาคล้ายจมสู่ห้วงภวังค์ ภาพเหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นมาในสมองทีละฉากๆ เนิ่นนาน เขาจึงเพิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงรวดร้าว “หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ก็คงไม่ทำตั้งแต่แรก ข้าเคยคิดว่า มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะเสียใจภายหลัง นึกไม่ถึง…”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเห็นเขาหยุดพูดไปกะทันหัน รู้ว่าเขาจะต้องนึกถึงเรื่องในอดีตแน่ นางอดถอนหายใจไม่ได้

ตงฟางเจ๋อสูดหายใจลึกๆ พูดพร้อมยิ้มหยันตนเอง “ข้าหลงคิดว่าตนเองปราดเปรื่องไม่มีผู้ใดเทียม อ่านใจผู้คนออก สามารถควบคุมทุกอย่างไว้ในกำมือ รวมถึงนางด้วย กระทั่งต่อมาซูซูนาง…จากข้าไป ข้าจึงเพิ่งเข้าใจ เรื่องของความรู้สึกมีเพียงต้องใช้ใจเท่านั้น ไม่อาจใช้กลยุทธ์หรือโกหกปิดบังได้แม้แต่น้อย มีเพียงต้องรักเดียวใจเดียว ไม่ทอดทิ้งกัน ข้าจึงจะสามารถอยู่เคียงข้างนางได้ โชคดีที่วาสนาของข้ากับนางยังไม่สิ้นสุด สุดท้ายนางก็ให้อภัยข้า”

รักเดียวใจเดียว ไม่ทอดทิ้งกัน!

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยสะท้านไปทั้งใจ นางตกตะลึง ฉางเล่อที่เย่อหยิ่งถึงเพียงนั้น เลือกที่จะจากตงฟางเจ๋อไปอย่างเด็ดเดี่ยว แล้วยังเปิดใจยอมรับตงฟางเจ๋ออีกครั้ง แต่กลับไม่รู้ว่าเพื่อความรักครั้งนี้ บุรุษผู้นี้ได้ทุ่มเทไปมากขนาดไหน?! แต่เขากลับไม่เคยพูดถึงจุดนี้เลยแม้แต่น้อย เขารักฉางเล่อจากใจจริงๆ…

หัวใจของนางป่วนพล่าน พูดอะไรไม่ออก ได้แต่จ้องมองบุรุษตรงหน้าอย่างตะลึงงัน ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองอย่างไม่อาจควบคุม ชีวิตนี้นางจะได้พบบุรุษเช่นตงฟางเจ๋อหรือไม่?

ตงฟางเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ยามนี้นางกลับมาหาครอบครัว คลายปมในใจสำเร็จ ข้าเองก็ดีใจแทนนางยิ่งนัก เพียงแต่หากยังไม่อาจกำหนดวันแต่งงานได้ ข้าก็ไม่อาจวางใจ อยากจะพบหน้านาง แล้วหารือกันว่าควรแก้ปัญหานี้เช่นไรดี”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยรีบเก็บงำความคิด แย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงไม่ต้องห่วงเพคะ สามวันให้หลัง พระองค์ก็จะสมปรารถนาเอง”

สายตาของตงฟางเจ๋อเปล่งประกายขึ้นมาเล็กน้อย เขากล่าวด้วยความดีใจ “ท่านหญิงพูดจริงหรือ?”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยพยักหน้าอมยิ้ม “จริงแท้แน่นอนเพคะ”

———————————–