บทที่ 1544+1545

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1544 เกรงแต่ว่าเจ้าจะไล่สังหารข้า

คนผู้นี้ว่างมากจนน่าเบื่อหน่ายขนาดนี้เลยหรือ? มิน่าหลังจากเธอทะลุมิติมา เขาถึงได้ไล่กวดเธอไม่ยอมปล่อยประหนึ่งแผ่นยาหนังสุนัข เพื่อแสวงหาความสุขใหม่นี่เอง!

วันนี้ตี้ฝูอีเดินจูงมือเธอตลอด กู้ซีจิ่วเริ่มหวาดกลัวว่าจะดูดพลังวิญญาณของเขามา จึงแอบระวังอยู่ตลอดเวลา

ทว่าเขาจูงมือเธอเป็นเวลานานก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ในที่สุดเธอจึงวางใจลงได้

ฝ่ามือของเขาอบอุ่น ยามจูงมือเธอ ความอบอุ่นนั้นส่งผ่านจากฝ่ามือมาถึงเธอตลอด ราวกับส่งผ่านเส้นเลือดเข้าไปถึงก้นบึ้งในหัวใจ

‘เรื่องโรแมนติกที่สุดที่ข้าเคยคิดถึงก็คือการจูงมือท่าน ค่อยๆ แก่เฒ่าไปด้วยกันกับท่าน’

ถึงแม้เธอและเขาต่างไม่มีทางแก่เฒ่า ทว่าความรู้สึกที่จับมือ อิงแอบซึ่งกันและกันเช่นนี้ ก็เป็นความละโลบที่ไร้ขีดจำกัดของเธอเช่นกัน

เธอไม่ได้เรียกร้องสิ่งใด เพียงขอแค่ได้จับมือเคียงคู่กันไปอย่างนี้ยามว่างก็พ

คำนวณดูแล้ว ความจริงเธอและเขาก็ไม่ได้อยู่ด้วยแบบนี้มาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว กู้ซีจิ่วพึงพอใจมาก

เธอเอนกายพิงในอ้อมกอดเขา พลางกินถังหูลู่ที่เป็นของท้องถิ่นไม้หนึ่ง ถังหูลู่แบบนี้แตกต่างกับของสังคมในปัจจุบัน เย็นและอมเปรี้ยวเล็กน้อย มีรสชาติของแอปเปิลนิดหน่อย เป็นของกินกู้ซีจิ่วชอบอย่างหนึ่ง

ความจริงตี้ฝูอีไม่ชอบของกินประเภทนี้ แต่เมื่อกู้ซีจิ่วแกล้งเอาใส่เข้าปากเขาลูกหนึ่ง แต่เขาก็กินเข้าไปแต่โดยดีแม้จะจนใจ ทั้งยังแสดงความเห็นหลังจากกินเสร็จ “ของสิ่งนี้เย็นและหวานไปหน่อย”

ระหว่างเขาเอ่ยความเห็น กู้ซีจิ่วจึงใส่เข้าปากเขาไปอีกลูกหนึ่ง “เด็กดี กินมากหน่อยท่านก็จะไม่รู้สึกถึงความหวานของมันแล้ว”

กู้ซีจิ่วรู้ว่าเขาไม่ชอบรสหวาน จงใจจิ้มน้ำตาลอีกหนึ่งรอบจากถาดของร้านค้า ดังนั้นลูกที่ใส่เข้าปากตี้ฝูอีนี้จึงเคลือบน้ำตาลเยอะที่สุด

หากเป็นเมื่อก่อน ตี้ฝูอีจะคายของสิ่งนี้ออกดั่งอาวุธลับไปนานแล้ว ทว่าเขาคงรู้สึกว่าหลายวันมานี้ตนหมางเมินนาง ไม่ว่านางจะซุกซนอย่างไรเขาก็หวานอมขมกลืน จึงกลืนถังหูลู่ที่หวานจนเลี่ยนลูกนั้นลงไป

กู้ซีจิ่วมองเขากินลงไปตาไม่กะพริบ รู้สึกฉงนอยู่บ้าง “เอ๊ะ รสนิยมการกินของท่านเปลี่ยนไปแล้วหรือ? ชอบรสหวานแล้ว?”

เธอเลียคำสุดท้ายที่เหลืออยู่ ยังรู้สึกว่าหวานเกินไปเลย คนที่รักการกินของหวานอย่างเธอยังรับค่อยไม่ไหว…

ตี้ฝูอีอมยิ้ม “ความหวานเช่นนี้หากินไม่ได้บ่อยครั้ง ภรรยาข้า ต่อให้เจ้าป้อนยาพิษให้ข้ากิน ข้าจะกลืนลงไปด้วยรอยยิ้ม”

คนผู้นี้เอ่ยคำหวานขึ้นมาแต่ละครั้งหวานยิ่งกว่าน้ำตาลเสียอีก!

กู้ซีจิ่วหันหน้ามองเขา “เหตุใดวันนี้ท่านอารมณ์ดีขนาดนี้?”

“เอาใจเจ้า” ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ “หากไม่เอาใจเจ้าอีก เกรงแต่ว่าเจ้าจะไล่สังหารข้า”

เขาเข้าใจและรู้ว่าควรทำอย่างไรเป็นอย่างดี

กู้ซีจิ่วพึงพอใจ “ข้าไม่ไล่สังหารท่านหรอก ข้าแค่จะหย่ากับท่าน!”

ตี้ฝูอีหัวเราะเริงร่า “อย่างนั้นหรือ? เจ้าคิดจะหย่ากับข้าอย่างไร? ให้หนังสือหย่าร้างใบหนึ่งกับข้าหรือ?”

กู้ซีจิ่วได้ใจ “ข้าจะแปะหนังสือหย่าไว้ทั่วร่างกายท่าน!”

ทั้งสองคนพูดคุยพลางแย้มยิ้ม เดินเล่นและกินไปตลอดทาง ผลลัพธ์ของการกินเช่นนี้คือกู้ซีจิ่วค่อนข้างอิ่มตื้อ…

เธอคล้องแขนตี้ฝูอี แทบจะแนบชิดติดร่างกายเขา “ข้าไม่อยากเดินแล้ว” ร่างกายเธอรู้สึกอิดโรยเล็กน้อย ต้องการนอนพักผ่อน

ตี้ฝูอีแหงนหน้ามองท้องนภา รัตติกาลมาเยือน จันทรากลางเวหา ลอยอยู่ตรงนั้นทั้งกลมและโต ดวงจันทร์ส่องสว่างดวงดารามืดมิด เมฆขาวดุจแพรบางหมุนวนอยู่รอบจันทร์กลมโต

กู้ซีจิ่วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าตามเขา เธอพึงพอใจมาก

เธอกลับมาพบกับเขาอีกครั้งในคืนจันทร์เพ็ญ

เธอชอบค่ำคืนนี้!

ตี้ฝูอีโอบกอดเอวนางพลางเอ่ยถาม “ข้าจะพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง”

————————————————————————————-

บทที่ 1545 วันนี้ท่านอยากสวมบทจักรพรรดิผู้อ่อนแออีกแล้วหรือ?

“ที่ไหน?”

นิ้วของตี้ฝูอีลูบไล้ริมฝีปากเธอเบาๆ “หลับตาลงสิ”

กู้ซีจิ่วไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร ด้วยเหตุนี้เธอจึงหลับตาลง

ตี้ฝูอีโอบเอวของเธอไว้…

เกิดเสียงสายลมหวีดหวิว เวลาผ่านไปชั่วระยะหนึ่งถ้วยชา ในที่สุดตี้ฝูอีก็เปิดปากเอ่ย “เอาล่ะ ลืมตาได้”

กู้ซีจิ่วลืมตาขึ้น มองไปรอบๆ ตะลึงงันเล็กน้อย

ผืนสมุทรสีครามเข้ม ท้องทะเลอันไร้ที่สิ้นสุด ระลอกคลื่นซัดสาด ลมทะเลแฝงไอเค็มชื้น พัดต้องร่างแล้วค่อนข้างเย็นเล็กน้อย

แสงจันทร์ทอดลงบนผิวสมุทร สะท้อนตามคลื่นทะเล ดังแสงทองที่หักเห

หัวใจกู้ซีจิ่วสั่นไหวเล็กน้อย ทิวทัศน์นี้ค่อนข้างคุ้นตา คืนจันทร์เพ็ญเมื่อหลายปีก่อน เขาก็เคยพาเธอมายังสถานที่ที่คล้ายกันนี้

และก็ใช่จริงๆ ตี้ฝูอีเอ่ยถามเธอ “อยากไปเยือนตำหนักแก้วผลึกแห่งนั้นหรือไม่?”

เมื่อนึกถึงตำหนักแก้วผลึกที่หรูหรางดงามแห่งนั้น ความอบอุ่นพลันผุดขึ้นมาในหัวใจของกู้ซีจิ่ว พยักหน้าแล้วตอบ “อยาก!”

ตี้ฝูอีจูงมือเธอเขยิบเข้าใกล้ผิวสมุทร “วันนี้เจ้ามาเปิดทางสู่ก้นสมุทรแห่งนี้ ให้ข้าได้ลิ้มรสการถูกคนรักปกป้องคุ้มครองบ้างแล้วกัน”

กู้ซีจิ่วเงียบไป เธอถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง “วันนี้ท่านอยากสวมบทจักรพรรดิผู้อ่อนแออีกแล้วหรือ?”

ตี้ฝูอีจึงเอนศีรษะซบไหล่เธอเสียเลย “อืม ตอนนี้ข้าอ่อนแอมาก ต้องการให้เจ้าปกป้อง เมียจ๋า ภารกิจสำคัญเช่นการเปิดอาณาเขตคงต้องมอบให้เจ้าแล้ว”

กู้ซีจิ่วอับจนวาจา หากให้ประชาชนในทวีปซิงเยวี่ยได้เห็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายของพวกเขาทำตัวแอ๊บแบ๊วแบบนี้เข้า รู้ว่าจะตกใจตาถลนสักแค่ไหน

ยามนี้พลังยุทธ์ของกู้ซีจิ่วเพียงพอแล้ว ตี้ฝูอีก็ยืนอยู่คอยชี้ไม้ชี้มือบอกอยู่ตรงนี้ว่าต้องเปิดเส้นทางอย่างไร บอกละเอียดยิ่งนัก โดยพื้นฐานกู้ซีจิ่วก็เฉลียวฉลาดอยู่แล้ว ฝึกรอบเดียวก็ทำเป็นแล้ว

เนื่องจากต้องลงไปใต้สมุทรลึก มหาสมุทรลึกมีแรงดันสูงถ้าควบคุมไม่ดีก็มีความเป็นไปได้ที่จะกดทับทั้งสองคนจนแบนได้ ดังนั้นหลังจากกู้ซีจิ่วเรียนจนเป็นแล้วจึงคิดจะฝึกควบคุมดูอีกสักสองสามครั้ง

แต่ตี้ฝูอีกลับฉุดมือเธอพุ่งลงไปทันที “ไม่ต้องฝึกแล้ว ลงมือปฏิบัติจริงดูเลย!”

กู้ซีจิ่วอยากจะซัดเขาเหลือเกิน เพียงแต่ยามนี้ไม่มีเวลามาสนใจแล้ว รีบร่ายเวทวิชาทันที…

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม กู้ซีจิ่วก็พาตี้ฝูอีโดยสารเขตแดนที่ก่อขึ้นจากพลังวิญญาณลักษณะคล้ายฟองอากาศ ล่องลอยมาจนถึงก้นสมุทร มองเห็นตำหนักแก้วผลึกหลังนั้นอยู่ไกลๆ

ทันทีที่มองเห็นตำหนักแก้วผลึกหลังนั้น กู้ซีจิ่วก็ถอนหายใจยาวๆ ด้วยความโล่งอก การลงมาเที่ยวนี้ของเธอไม่ง่ายเลยจริงๆ!

เนื่องจากไม่คุ้นเคยกับการควบคุมจึงเกิดสถานการณ์ล่อแหลมขึ้นต่อเนื่องกันหลายครั้ง ส่วนตี้ฝูอีผู้นี้บอกว่าจะไม่ช่วยก็ไม่ช่วยเลยจริงๆ ระหว่างเดินทางไม่ว่าจะเห็นเธอยุ่งมือเป็นระวิงแค่ไหนเขาก็นั่งสอดมืออยู่ในแขนเสื้อดั่งตาเฒ่า ขอรับความคุ้มครองอย่างเดียว ทำให้กู้ซีจิ่วอยากเตะเขาออกไปยิ่งนัก!

โชคดีที่ปฏิกิริยาตอบสนองของเธอว่องไว สติปัญญาสูง ควบคุมได้ดี เมื่อเผชิญอันตรายต่อเนื่องกันหลายครั้ง เธอล้วนแก้ไขได้สำเร็จทั้งสิ้น

การฝึกภาคปฏิบัติที่เสี่ยงตายเช่นนี้เป็นวิธีที่ฝึกฝนหล่อหลอมคนได้ดีที่สุด รอจนถึงยามที่ได้เห็นตำหนักแก้วผลึกแห่งนั้น กู้ซีจิ่วก็ใช้เคล็ดวิชาชุดนี้จนคล่องแคล่วยิ่งนักแล้ว

จะว่าไปก็แปลก ที่ตั้งของตำหนักแก้ผลึกนี้ถูกน้ำทะเลกัดเซาะได้ง่ายยิ่งนัก แต่กลับดูใหม่เอี่ยมอยู่ตลอด กระเบื้องเคลือบส่องแวววาว กำแพงกระดองเต่ากระวาววาม ปะการังตั้งชะลูด ไข่มุกดั่งตะวันดวงน้อย ส่องสะท้อนอยู่เหนือตำหนักแก้วผลึก ทำให้ตำหนักแก้วผลึกที่เดิมทีค่อนข้างอ้างว้างดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา

สำหรับสถานที่แห่งนี้กู้ซีจิ่วก็นับว่ามาเยือนถิ่นเก่าเช่นกัน เธอมองเห็นโขดหินตรงหน้าประตู อักษรที่เธอจารึกลงบนโขดหินเมื่อปีนั้นยังคงอยู่ ไม่ถูกกัดเซาะไปเลยสักนิด ราวกับเพิ่งจารึกไว้ใหม่ๆ

กู้ซีจิ่ว ตี้ฝูอี ระหว่างสองนามนี้มีหัวใจที่ปักทะลุอยู่หนึ่งดวง เสมือนศรรักของกามเทพ

————————————————————————————-