บทที่ 168 ย่อมเป็นที่ที่คุณหาไม่เจอ

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

ทว่าเธอไม่เข้าใจ ท้องของหม่ามี๊เล็กขนาดนั้นจะใส่เธอลงไปได้ยังไง?

ทว่าอาจารย์ดวงใจไม่หลอกเธอแน่นอน ดังนั้นเธอไม่ใช่คนที่ลอยมาบนน้ำ แต่เกิดมาจากท้องของหม่ามี๊

เวลาเด็กคิดอะไรอยู่ก็จะเผยอารมณ์ทางสีหน้า ไม่มีทางปิดบังเลยสักนิด

ออกัสรู้สึกใจอ่อน จ้องมองลูกสาวด้วยแววตาอ่อนโยน เมื่อริมฝีปากบางกระตุก เสียงทุ้มต่ำที่ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติมากนักก็ลอยออกมา“ฉันเป็นแด๊ดดี้ของหนูจริงๆ”

เขาไม่เคยอยู่กับเด็กอายุเล็กบอบบางขนาดนี้มาก่อน จึงทำให้ไม่รู้จะเสวนาเช่นไร

“จริงเหรอคะ?” ใบหน้าเล็กของซารางเอนเอียง ยังไม่เชื่อคำพูดของเขา เพราะหม่ามี๊ไม่เคยบอกว่าเขาเป็นแด๊ดดี้เธอมาก่อน

“แน่นอนครับ หนูอยากดื่มอะไรครับ น้ำผลไม้หรือว่าน้ำโค้กล่ะ?”

ซารางขยับกาย“หนูไม่อยากดื่มอะไรทั้งนั้นค่ะ คุณไม่ใช่บอกว่าหม่ามี๊จะมาไม่ใช่เหรอคะ แล้วหม่ามี๊จะมาเมื่อไหร่?หนูเอาแต่หม่ามี๊ ไม่เอาน้ำผลไม้ ไม่เอาน้ำโค้กด้วย”

เธอไม่เชื่อคำพูดของเขา เธอจะถามหม่ามี๊ ถามหม่ามี๊ว่าเธอมีแด๊ดดี้หรือเปล่า แล้วเขาคนนี้ใช่แด๊ดดี้ของเธอหรือไม่ เธอเชื่อคำพูดของหม่ามี๊เท่านั้น

ออกัสกระพริบตา ดวงตาจดจ่อกับใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับตน หัวใจยิ่งอ่อนนุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ “หม่ามี๊อยู่บนเครื่องบินไฟล์ทต่อจากพวกเราครับ เดี๋ยวก็ถึงครับ”

ซารางกลับมองนอกหน้าต่าง เธอคิดถึงหม่ามี๊ คุณอาน่าเกลียดคนนี้บอกว่าหม่ามี๊ให้พวกเธอนั่งเครื่องบินไปที่หนึ่ง จากนั้นเมื่อหม่ามี๊ทำธุระเสร็จจะตามมาทีหลัง ตอนนี้ธุระด่วนของหม่ามี๊เสร็จหรือยังนะ?

ออกัสผู้ซึ่งไม่เคยอยู่กับเด็กมาก่อน เมื่อเห็นท่าทีของซารางก็ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นและนิ่งเงียบ

สองชั่วโมงให้หลัง เครื่องบินที่ท่าอากาศยานเมือง ซึ่งไม่รู้ว่าซารางผล็อยหลับบนเก้าอี้หนังตั้งแต่เมื่อใด ตอนเครื่องบินลงจอดก็ยังไม่ตื่น

ออกัสขมวดคิ้วเล็กน้อย โค้งร่างสูงโปร่งลง ก่อนจะอุ้มซารางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวังและไม่เป็นธรรมชาติ

ปกติสามทุ่มก็จะเข้านอนแล้ว ตอนนี้เวลาล่วงเลยมาถึงสี่ทุ่มกว่า เธอจึงง่วงจนลืมตาไม่ขึ้น

รถสีดำขลับจอดรออยู่นอกสนามบินก่อนแล้ว ออกัสก้าวเท้ายาวเข้าไปนั่ง ส่วนซารางยังคงหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนเขา

มือใหญ่ข้างหนึ่งจับตัวร่างน้อยๆไว้ ส่วนมือใหญ่อีกหนึ่งล้วงมือถือออกจากกางเกงสแล็ค เมื่อเปิดเครื่องพลันพบว่าไม่ได้รับสายทั้งหมดสิบสองสาย ซึ่งไม่ได้รับจากเธอเจ็ดสาย ส่วนอีกห้าสายเป็นของเลอแปง

นิ้วมือเรียวยาวเลื่อนหน้าจอ เมื่อเขาโทรออก เรียกได้ว่าเพียงเสี้ยววินาที อีกฝ่ายก็รับสายเสียแล้ว เสียงเชอร์รีนมีความกราดเกรี้ยวส่งมา“ออกัส คุณพาซารางไปไหน?”

“คุณเดาดูสิ?” ริมฝีปากบางกระตุกขึ้น จากนั้นก็ลั่นสิ่งนี้ออกมา จากนั้นก็ทิ้งประโยคหนึ่งขึ้นมาเนือยๆ “ย่อมเป็นที่ที่คุณหาไม่เจออยู่แล้ว……”

ประโยคนี้ทำให้ความโกรธของเชอร์รีนยิ่งทวีคูณมากขึ้น“ออกัส!”

“เมืองS……” ออกัสลั่นอีกหนึ่งประโยคออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ คล้ายกับเห็นเพลิงโทสะของเธอแล้วก็ไม่ปาน เขากระพริบตา เมื่อหางตาเห็นซารางขมวดคิ้ว หลังได้ยินเสียงรบกวน เขาเลยตัดสายทิ้งทันที

“คุณ——”

เธอยังไม่ทันเอ่ยสิ่งใด อีกฝั่งหนึ่งก็ตัดสายทิ้งเสียแล้ว ข้างหูจึงได้ยินแต่เสียง ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด

เชอร์รีนมองมือถือ เพลิงโทสะในหัวใจแผดเผาอย่างลุกโชติช่วงยิ่งขึ้น เวลานี้ มือถือก็เกิดการสั่นคลอน เป็นเพราะเลอแปงโทรมาหานี่เอง

“ผมไปคอนโดของพี่ใหญ่แล้ว ไม่มีคนเลยครับ ผมจะช่วยคุณตามหาที่อื่นต่อนะครับ คุณรอสายจากผมนะครับ”

เลอแปงก้าวเดินอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะคุยผ่านโทรศัพท์ ทว่าเชอร์รีนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบอย่างชัดเจน “เลอแปง ไม่ต้องหาแล้วค่ะ ฉันได้คุยกับเขาผ่านมือถือแล้วค่ะ”

“ได้คุยแล้วเหรอครับ?”

“ใช่ค่ะ ดึกแล้วคุณกลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ”

ได้ยินดังนั้น เลอแปงพลันเบาใจ“ครับ ถ้ามีอะไรก็โทรหาผมนะครับ อีกอย่างซารางเป็นลูกของพี่ใหญ่ ไม่เป็นอันตรายหรอกครับ คุณไม่ต้องเป็นห่วง”

เมื่อสิ้นการสนทนาทางสายกับเลอแปง สิ่งแรกที่เชอร์รีนกลับถึงบ้านแล้วทำคือ จองตั๋ว

จองตั๋วคืนนี้ไม่ได้แล้ว ดังนั้น เธอได้แต่จองรอบบินที่เช้าที่สุดของวันพรุ่งนี้

เชอร์รีนนอนไม่สนิทตลอดคืน นอนพลิกตัวไปมา เธอมักจะคิดถึงซารางเสมอ

เธอไม่ได้วิตกกังวลว่าออกัสจะทำอะไรกับซาราง ทว่าเธอกังวลว่าซารางจะร้องไห้ เมื่อไม่ได้เจอหน้าเธอ แล้วไม่รู้ว่าลูกสาวจะนอนหลับไหม……

เพราะซารางนอนกับเธอตั้งแต่เด็กทุกคืน ตอนนี้ขาดร่างตัวน้อยที่แสนจะนุ่มนิ่งอยู่ข้างกายกะทันหัน หัวใจจึงรู้สึกว่างเปล่าเคว้งคว้าง ยากจะข่มตานอน

เธอนอนตะแคง สายตามองไปที่มือถือ ซึ่งอยู่ด้านข้างหมอนบ่อยๆ เพราะซารางอาจจะโทรหาเธอก็ได้ ดังนั้นเธอต้องวางมือถือให้ใกล้ตัว

ทว่า เวลาหนึ่งคืนเต็มๆ มือถือไม่ได้ดังขึ้นเลย อย่างนี้ก็ดี อย่างน้อยๆก็แสดงว่าซารางไม่ได้ร้องไห้โวยวาย เธอก็พอจะวางใจได้บ้าง

เช้าตรู่ของวันถัดไป เชอร์รีนตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง แล้วมุ่งหน้าไปยังสนามบินแบบไม่หยุดนิ่งเลยแม้แต่วินาทีเดียว

ภายในคอนโด

ออกัสนั่งอยู่ด้านหน้าหน้าต่าง ร่างสูงโปร่งยังคงส่วนใส่ชุดนอนอยู่ หน้าตาคมคายเผยอารมณ์ชิลๆอย่างส่วนและยังมีการใจลอยร่วมด้วย

บนในห้องนอนมีขนาดใหญ่ ร่างตัวน้อยๆของซารางจึงกลิ้งได้ตามใจชอบ ผ่านไปสักพัก เธอก็ดีดตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง พลางเอาสองมือขยี้ดวงตาอันงัวเงีย ปากเล็กกำลังขานเรียกหม่ามี๊คล้ายกับฝันคล้ายไม่ฝัน

ผ่านไปเนิ่นนาน เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ เธอจึงวางสองมือที่ขยี้ตาลงก็เห็นห้องแปลกตาแปลกใจที่มีสไตล์การตกแต่งไม่เหมือนกัน เธอรีบกระโดดลงจากเตียง แล้ววิ่งออกไปด้านนอกด้วยเท้าเปล่า

ออกัสได้ยินเสียงฝีเท้าก็เงยหน้าขึ้น ก่อนจะเห็นซารางวิ่งมาด้วยเท้าเปล่า เมื่อเห็นดังนั้น ใบหน้างดงามก็เลิกคิ้ว “รองเท้าล่ะครับ?”

คิ้วเส้นเล็กๆของซารางก็ขมวดขึ้นเช่นกัน สีหน้าท่าทางราวกับถอดแบบเขามาเลย“หม่ามี๊ล่ะคะ?”

“ไปใส่รองเท้าครับ……” ไม่ได้ตอบคำถามเธอ ออกัสแค่พูดประโยคนี้ออกมา

“หม่ามี๊ล่ะคะ? หนูจะเอาหม่ามี๊” ซารางไม่ไปใส่รองเท้า โวยวายว่าจะเอาหม่ามี๊ท่าเดียว

ออกัสละสายตาจากร่างน้อยที่ทั้งอ่อนนุ่มและไม่เชื่อฟัง รู้สึกจนปัญญากับลูกสาวจริงๆ จากนั้นสายตาเขาก็หยุดอยู่อีกหมุมหนึ่ง มุมปากกระตุกขึ้น “ป้าบัว”

ป้าบัวที่กำลังยุ่งอยู่ในห้องนอนก็รีบเดินออกมา เมื่อเห็นเท้าของซารางก็รีบหมุนกายอย่างเร็วไว จากนั้นก็หยิบรองเท้าในห้องมา พลางกล่อมเสียงเบาบาง“คุณหนูค่ะ พวกเราใส่รองเท้าก่อนนะคะ”

ป้าบัวถูกเรียกตัวมาเมื่อคืน ซึ่งเป้าหมายหลักคือการดูแลซาราง

ระหว่างที่พูด ป้าบัวก็อุ้มซารางนั่งบนโซฟา จากนั้นก็ทิ้งตัวลงแล้วก้มหน้าใส่รองเท้าให้แก่ซาราง

ทว่าเห็นได้ชัดว่าซารางไม่ให้ความร่วมมือ สองขาแกว่งไปมาอย่างเรื่อยเปื่อย หม่ามี๊ เธอเอาแต่หม่ามี๊!

ป้าบัวใส่รองเท้าได้แล้ว ขาเล็กของเธอก็สะบัดเท้า รองเท้าจึงลอยกระเด็นไปไกล

เห็นภาพนี้แล้ว ป้าบัวก็ต้องไปเก็บกลับมาใหม่ จากนั้นก็เอ่ยกล่อมเสียงอ่อนโยน “คุณหนูเป็นเด็กดีนะคะ พวกเราใส่รองเท้าก่อนนะคะ ดีไหมคะ?”

ซารางไม่ตอบไม่อะไร ปิดปากไว้แน่น เท้าเล็กสะบัดแรงๆอีกครั้ง และรองเท้าก็ลอยไปไกลอีกครั้ง เธอไม่ยอมเชื่อฟัง จึงเกิดเหตุการณ์ซ้ำๆอยู่อย่างนี้

ไม่มีทางเลือก ป้าบัวแต่ได้เก็บกลับมาซ้ำๆ

ออกัสมองลูกสาวเจ้าอารมณ์ ดวงตาที่อ่อนโยนก่อนหน้านี้ค่อยๆเคร่งขรึม กระทั่งถ้อยคำที่เปล่งออกมาก็กลายเป็นเย็นเยียบและเข้มขรึมด้วย “หนูลองสะบัดรองเท้าทิ้งดูอีกครั้งสิ……”

ปกติใบหน้าเขาก็แลดูเย็นชาอยู่แล้ว เมื่อบวกกับสีหน้าอันเคร่งขรึม ใบหน้าจึงยิ่งสะท้อนความเย็นเยียบและแข็งกระด้างมากขึ้น

ซารางยังอายุน้อย เมื่อถูกตำหนิเช่นนี้ เธอนั่งขดตัวบนโซฟาอย่างรู้สึกหวาดกลัว จากนั้นก็ส่งเสียงร้องไห้

เธอนั่งร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลอยู่ตัวนั้น ระหว่างร้อง ร่างกายก็สั่นเทา จมูกก็กลายเป็นแดงก่ำ ช่างน่าสงสารยิ่ง

ป้าบัวเห็นแล้วพลันเกิดความสงสาร รีบอุ้มร่างน้อยๆขึ้นมาแล้วลูบหลัง ปลอบใจเบาๆ

ดวงตาลุ่มลึกจับจ้องหยดน้ำตาขนาดเท่าเม็ดถั่วไหลอาบแก้มอมชมพู หัวใจพลันกระเพื่อมขึ้น ทั้งยังรู้สึกหายใจไม่สะดวกเล็กน้อย คิ้วงามของออกัสย่นลงอีกครั้ง เมื่อกี้เขาพูดเสียงดุเกินไปใช่ไหม?