สีหน้าของควีนนิ่งอึ้งไปสักพัก ยังไม่ทันโต้ตอบอะไร โซเมนก็คว้าเอาแก้วเหล้าตรงหน้าตัวเองกระดกดื่มลงคอไปทันที
เทาเท่มองการกระทำของโซเมน พลางเหลือบมองมือเขาที่จับมือของควีนไว้ สีหน้าพลันหม่นลงเล็กน้อย
ลำพังแค่คืนเดียวที่หลินจือปิดกั้นเขายังไม่พอใช่ไหม โซเมนจึงมาสร้างปัญหาขึ้นมาอีก
เมื่อโซเมนดื่มเหล้าจนหมด นานิปรบมือชอบใจยกใหญ่ “ว้าว ประธานโซเมน เป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาเลยนะ ใช้ได้เลยนี่”
โซเมนไม่ได้พูดอะไร เพียงดึงควีนให้นั่งลงเช่นเดิม
“ขอบคุณค่ะ” พูดจบ ควีนก็ชักมือตนเองกลับมา
หลินจือเม้มริมฝีปากแน่น พลางจ้องมองโซเมน นึกโมโหขึ้นมาในใจ
ไม่ใช่ว่าโซเมนไม่รู้ว่าควีนเป็นผู้สาวที่ดีคนหนึ่ง และตัวเขาเองก็ไม่ได้ศรัทธาในความรัก แล้วเหตุใดต้องมาให้ความหวังควีนแบบนี้
เกมยังคงดำเนินต่อไปอีกสองสามรอบ จวบจนทุกคนลงความเห็นว่าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเทาเท่หมุนขวด ปากขวดพลันชี้ไปยังหลินจือ เธอเลือกพูดความจริงจึงต้องเผชิญกับคำถามที่เทาเท่หยิบยกขึ้นมา
แววตาดำขลับของเทาเท่จ้องมองเธอแล้วเอ่ยถามอย่างไม่รีบร้อน “คุณกับเจเทาวน์ตกลงแล้วเป็นแฟนกันจริงๆ ใช่ไหม?”
หลินจือเม้มริมฝีปากจ้องมองเขา
ในที่สุดเธอก็เข้าใจ ที่โซเมนหยิบยกเกมนี้ขึ้นมาเล่นในคืนนี้ เหตุผลทั้งหมดเพื่อปูทางให้เขาได้พูดประโยคนี้
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน หลินจือคงปฏิเสธอย่างแน่นอน แต่ในคืนนี้เธอรู้สึกเหนื่อยล้าใจ
ประการแรก เธอไม่อยากให้เทาเท่คิดวางแผนนั่นนี่กับเธอเพราะเรื่องนี้ เขาไม่เหนื่อยบ้างเหรอ
ประการที่สอง เธอกับเจเทาวน์ตกลงยกเลิกความสัมพันธ์เพียงในนามระหว่างเราไปแล้ว ดังนั้นเธอจึงยอมรับอย่างไร้ข้อกังวล “พวกเรายุติความสัมพันธ์ที่เรียกว่าแฟนระหว่างเราแล้ว”
เทาเท่เลิกคิ้ว มุมปากพลางยกยิ้ม เห็นได้ชัดว่าพอใจกับคำตอบของเธออย่างมาก
และคนอื่นๆ ในที่นี้ก็ไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจมากนัก ราวกับว่าพวกเขามั่นใจว่าเรื่องระหว่างเธอกับเจเทาวน์ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน
หลินจือนึกเศร้าใจ มิน่าล่ะเทาเท่ถึงยืนกรานบังคับให้เธอยอมรับเรื่องนี้ เพราะในใจเขาไม่เคยเชื่อ แต่ให้ตายอย่างเธอก็ไม่มีทางสารภาพออกมาจากปากตัวเองก่อน เช่นนั้นเขาจึงคิดอุบายนี้ขึ้นมา
โซเมนพูดออกมาเพื่อให้บรรยากาศครึกครื้น: “สวยงาม!”
“เกมในคืนนี้จบลงไปได้ด้วยดี มา พวกเรามาชนกันสักแก้ว” โซเมนพูดพร้อมกับยกแก้วขึ้นมา
เทาเท่ค่อยๆ ยกแก้วขึ้นอย่างช้าๆ พลางจ้องมองหลินจืออย่างมีความหมาย
หลินจือไม่ได้สนใจเขา เพียงยกแก้วขึ้นมาดื่ม
หลังงานเลี้ยงจบลง และผู้คนทยอยออกไปจากร้านอาหารแล้ว เทาเท่ที่เดินถึงข้างๆ เธอรับโทรศัพท์ ขณะหลินจือมองผ่านไปอย่างไม่ได้สนใจกลับเห็นใบหน้าเขาขาวซีด ราวกับว่าเกิดเรื่องไม่ดีบางอย่างขึ้น
ไม่นานก็เห็นเทาเท่วางสายไป แล้วเดินมายืนข้างๆ เธอ พลางพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำปนใบหน้าเศร้าหมอง: “คุณปู่เป็นลมที่บ้านและเพิ่งถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล”
“เป็นลม?” หัวใจของหลินจือกระตุกวูบ
เทาเท่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “คุณไปโรงพยาบาลกับผมได้ไหม ผมกลัวว่าเขา…”
หลินจือพยักหน้าตกลงก่อนเทาเท่จะพูดจบเสียอีก คุณท่านโอธนินปฏิบัติต่อเธอเหมือนเป็นหลานสาว เดิมทีเธอตั้งใจจะหาวันไปเยี่ยมท่านอยู่แล้ว
เธอเองก็เคยประสบเหตุการณ์ใหญ่แบบนี้ตอนที่รู้จักกับจอร์แดน พูดตามหลักก็คือควรใส่ใจคุณปู่อย่างญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของเธอ แต่ยังไม่ทันได้ไปเยี่ยมคุณปู่ เขาก็เข้าโรงพยาบาลไปก่อนแล้ว
ทุกคนล้วนเป็นกังวลเรื่องสุขภาพของคุณปู่ จึงพากันมาแสดงความห่วงใย
เทาเท่ไม่รู้เช่นกันว่าตอนนี้สถานการณ์ของคุณปู่เป็นอย่างไรบ้าง เขารู้เพียงแค่ว่าหัวใจของเขาตอนนี้มันหนักอึ้ง
เขาไม่ได้ผูกพันกับผู้เป็นพ่อมากนัก แต่กับคุณปู่นั้นเขาทั้งผูกพันและเคารพนับถือท่านมาก
ตั้งแต่เขารู้ความจนเข้าโรงเรียน เป็นคุณปู่ที่คอยพร่ำสอนอยู่ข้างกายเขาเสมอมา วิธีการทำธุรกิจของเขาทั้งหมดแปดสิบเปอร์เซ็นต์มาจากคุณปู่ทั้งนั้น
เมื่อนึกถึงว่าสถานการณ์ของคุณปู่คงกำลังแย่ เทาเท่พลันเก็บความปวดร้าวบนหน้าอกไว้ไม่อยู่
หลังจากมาถึงโรงพยาบาลทั้งสองลงจากรถ ขณะเดินไปยังหอผู้ป่วย เขาเรียกชื่อหลินจือออกมาอย่างไม่สบายใจ: “หลินจือ”
หลินจือหยุดเดินแล้วหันมามองเขา: “มีอะไรเหรอ”
เทาเท่เงยหน้ามองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมอง: “ถ้าอาการของคุณปู่ไม่สู้ดีนัก คุณจะกลับมาอยู่กับผมใหม่อีกครั้งเพื่อให้ท่านสบายใจได้ไหม”
หลินจือตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา: “ขอโทษนะ”
เธอทำไม่ได้
เพราะเธอได้ให้สัญญาเรื่องนี้กับเจเทาวน์ไว้แล้วเมื่อก่อนหน้านี้ และตอนนี้เธอไม่อยากจมอยู่ในวังวนนั้นอีกต่อไป
เธอเองก็อยากให้คุณปู่มีความสุขไม่ต่างกัน แต่เธอไม่อยากเสียความรู้สึกของตัวเองไปอีกครั้ง และหลินจือเชื่อว่า คุณปู่คงไม่อยากเห็นเธอกับเทาเท่กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งด้วยวิธีนี้
สีหน้าของเทาเท่เจ็บปวด “คุณช่วยเจเทาวน์ได้ ทำไมถึงช่วยผมไม่ได้”
หลินจือนึกขำ เทาเท่ คุณไม่รู้สึกว่าระหว่างเราที่เป็นอยู่แบบนี้มันตลกเหรอ”
“สี่ปีก่อน เพื่อคุณจะได้ทำให้คุณปู่สบายใจจึงฝืนใจแต่งงานกับฉัน ในตอนนี้ยังจะทำผิดซ้ำรอยเดิมงั้นเหรอ”
พูดแล้วหลินจือพลันรู้สึกน้อยใจขึ้นมา ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอคืออะไร? สำหรับเขาแล้วเธอคืออะไร?
ทุกครั้งเธอเป็นเครื่องมือที่คอยทำให้คุณปู่ของเขามีความสุขอย่างนั้นเหรอ?
“หลินจือ…” เทาเท่รู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อยเมื่อเห็นตากลมโตของหลินจือแดงก่ำ “สี่ปีต่อมาที่ผมทำแบบนี้ ไม่ใช่เพราะทำผิดซ้ำรอยเดิม แต่เพื่อเริ่มต้นใหม่ขึ้นอีกครั้งต่างหาก”
“ผมไม่ได้หมายความว่าจะทำร้ายคุณ ครั้งนี้ผมอยากแต่งงานกับคุณจริงๆ”
“ไปเยี่ยมคุณปู่กันก่อนเถอะ” พูดจบหลินจือก็หมุนตัวเดินจากไป ปิดกั้นทุกสิ่งที่เทาเท่กำลังจะพูดต่อ
เขาจริงใจก็ดี แต่ถึงหลอกให้ตายใจก็ช่างเถอะ อย่างไรก็ตามในตอนนี้เธอไม่ต้องการมันอีกแล้ว
เทาเท่ทำได้เพียงเดินตามมา ไม่รู้ว่าต้องใช้วิธีไหนถึงจะทำให้เธอเชื่อใจเขาได้
เมื่อทั้งสองมาถึงห้องผู้ป่วยของคุณปู่ คุณปู่ก็ตื่นขึ้นมาพอดี
ตามคำพูดของคุณหมอ ครั้งนี้คุณปู่เป็นเพียงสัญญาณเตือน ไม่มีอันตรายถึงชีวิต
อาจเพราะอายุมากขึ้น หรืออาจเพราะช่วงนี้อากาศหนาวฉับพลัน จึงทำให้คุณปู่รู้สึกไม่สบาย แต่เขาไม่ยอมพูด ซ้ำยังไม่ยอมบอกพ่อบ้านที่คอยดูแลอีก
คาดว่าคืนนี้คงแบกรับไว้ไม่ไหว จึงเป็นลมล้มพับไป
หลินจือรู้สักเจ็บปวดใจเมื่อได้ยิน เธอก้าวไปข้างหน้าแล้วเอ่ย ‘ตำหนิ’ คุณปู่ด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่น: “คุณปู่คะ ไม่สบายแล้วทำไมถึงอดทนไว้ละคะ”
ชายชราดีใจมาก เมื่อเห็นว่าเธอและเทาเท่มาเยี่ยมเขาด้วยกัน
เขาไม่สนใจคำถามของหลินจือเลยสักนิด หากใช้น้ำเสียงอ่อนแรงอย่างมีความหวังถามเธอว่า “ดึกขนาดนี้ทำไมพวกเธอถึงมาด้วยกันได้ละ”
หลินจือยังไม่ทันพูดอะไร เทาเท่ที่อยู่ข้างเธอพูดอธิบายเบาๆ “พวกเรากับโซเมนและคนอื่นๆ มาทานข้าวด้วยกันครับ”
คำพูดของเทาเท่ทำลายความคาดหวังที่อยู่ก้นบึ้งของคุณปู่ลงทั้งหมด แววตาเป็นประกายของเขาดับวูบ ตอบกลับอย่างแผ่วเบา: “อ้อ”
ชายชราหลงคิดว่า เด็กทั้งสองจะคืนดีกันแล้วเสียอีก
เฮ้อ อันที่จริงเขาก็พอรู้อยู่แล้ว พวกเขาจะคืนดีกันง่ายๆ ได้อย่างไร
คนอบอุ่นอย่างหลินจือ ถ้าไม่ใช่เพราะถูกทำให้เจ็บปวดจนทนไม่ไหว จะตัดสินใจหย่าได้อย่างไร
และในเมื่อถูกทำร้ายขนาดนั้น จะคืนดีกันเพียงคำพูดไม่กี่คำได้อย่างไรล่ะ