ภายในบริษัทก่อสร้างเทียนเฉิน
ขณะจ้องมองเนื้อหาที่แสดงอยู่ในจอLCDขนาดใหญ่ จางเวยสีหน้าดูแย่สุดๆ เหมือนคนที่เพิ่งกินขี้เข้าไป
ตอนแรกทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เขาคาดการไว้ คือหลังจากที่ตลาดหุ้นเปิด ราคาหุ้นของบริษัทแซ่เฉินก็ถูกเขาที่เตรียมตัวมาก่อนกดไปอยู่ที่สามเหรียญกว่า
แต่มันก็เป็นแบบนั้นเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง หลังจากที่ตำรวจเปิดแถลงข่าว ราคาหุ้นของบริษัทแซ่เฉินก็เพิ่มกลับขึ้นไปอีกครั้ง และขึ้นสูงกว่าก่อนหน้านี้ด้วย
ในเวลาครึ่งชั่วโมงนี้ทำให้เขาสูญเสียไปไม่ต่ำกว่าห้าล้าน แล้วจะไม่ให้เขาหน้าซีดได้ยังไง?
“ประธานจาง คุณว่าตอนนี้เราควรทำยังไงดีครับ? ถ้าคาดการณ์จากราคาหุ้นของบริษัทแซ่เฉินในตอนนี้ ต่อให้เป็นทรัพย์สินมูลค่ากว่าแปดร้อยล้านก็ไม่น่าจะพอครับ”
พอเห็นราคาหุ้นของบริษัทแซ่เฉินที่พุ่งขึ้นเรื่อยๆ เทรดเดอร์ที่รับหน้าที่เทรดก็ได้ถามออกมา
“ทำยังไง? แกมาถามฉันว่าให้ทำยังไง? แล้วจะให้กูไปถามใครล่ะว่าควรทำยังไง!”
จางเวยที่หงุดหงิดอยู่แล้วก็ได้ตะคอกกลับไป
พนักงานที่ถามมาถูกความดุร้ายของจางเวยทำให้ตกใจจนสะดุ้ง เงียบไปและไม่กล้าพูดอะไรอีก
“ประธานจาง มีข่าวดีครับ!”
ทันใดนั้น ก็มีพนักงานอีกคนลุกขึ้นมารายงานว่า “ไม่รู้ทำไม ในทุกๆ แพลตฟอร์มต่างก็พูดถึงข่าวด้านลบของเย่เทียนไปทั่ว”
“ประธานจาง ตรงนี้ยังมีข่าวที่เพิ่งถูกปล่อยออกมาเมื่อกี้ ในข่าวบอกว่าเกิดปัญหาขึ้นกับลิฟต์ของบริษัทแซ่เฉิน และคาดการณ์ว่าเฉินหวั่นชิงกับสามีจะอยู่ในนั้นครับ!”
พนักงานอีกคนลุกขึ้นมา
ข้อมูลนี้มันทำให้จางเวยดีใจขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย เขาไม่ได้โง่ เขารู้ดีว่าข่าพวกนีมันจะทำให้บริษัทแซ่เฉินตกไปอยู่ในสภาพไหน
หลายวิก่อนเขายังคิดอยู่เลยว่าครั้งนี้ต้องแพ้แล้วแน่ๆ ไม่นึกเลยว่าจะเกิดการเปลี่ยนขึ้นเร็วขนาดนี้ สวรรค์ช่างเมตตาจริงๆ!
ในเวลาเดียวกัน เจิ้นเซ่าเฉินที่กำลังเฝ้าดูราคาหุ้นของบริษัทแซ่เฉินอยู่หน้าจอคอมก็ได้ออกคำสั่งอย่างเคร่งขรึมให้ตระกูลเจิ้นก็เริ่มเข้าแทรกแซงสงครามที่ไร้ซึ่งอาวุธสงครามได้แล้ว เป้าหมายมีเพียงอย่างเดียว ซึ่งมันก็คือการทำให้บริษัทแซ่เฉินพังพินาศนั่นเอง!
……….
ห้องโถงใหญ่ตรงชั้นหนึ่งของบริษัทแซ่เฉิน
ทุกคนต่างเบิกตามองไปยังประตูลิฟต์ที่เปิดออกด้วยสีหน้าที่สงสัยและแปลกใจ
แต่สิ่งที่ไม่มีใครสังเกตเห็นก็คือ ช่างซ่อมบำรุงที่เป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ไม่เพียงไม่สนใจสถานการณ์ที่เกิดกับลิฟต์ แต่กลับเดินออกจากบริษัทเเซ่เฉินอย่างรวดเร็ว
พอออกห่างจากบริษัทแซ่เฉินไปร้อยกว่าเมตร ชายวัยกลางคนก็หยุดลงในซอยเล็กๆ ระหว่างที่ถอดชุดช่างซ่อมบำรุงด้วยความเร่งรีบไป ก็โทรศัพท์ไปด้วย
“ลูกพี่ ภารกิจล้มเหลวครับ!”
เสียงที่ทุ้มลึกของชายคนหนึ่งดังมาจากอีกด้านของมือถือ “ช่วงนี้นายอย่าเพิ่งอยู่ในเจียงหนัน ออกไปซ่อนตัวสักพักสักพักฉันจะโอนเงินไปในบัญชีของนาย”
พูดจบ เขาก็วางสายไป สายมองไปยังชายวัยกลางคนตรงหน้าที่กำลังเขียนพู่กันจีนอยู่
ถ้าเย่เทียนอยู่ตรงนั้น ก็น่าจะจำได้ว่าชายวัยกลางคนคนนี้คือหนึ่งในศัตรูเมื่อชาติก่อน หมาป่าโลภนั่นเอง!
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะคาดเดาว่าชายที่รับสายคือใคร ซึ่งเขาก็คือหัวหน้าแก๊งมังกรดำ หลงเจี้ยนหัวนั่นเอง!
หลงเจี้ยนหัวได้วางท่าต่ำต้อยที่สุด แล้วบอกไปตามตรงว่า “พี่หมาป่า แผนการล้มเหลวแล้วครับ”
แกร็ก!
ทันทีที่คำพูดนี้ถูกพูดออกมา พู่กันในมือของหมาป่าโลภก็หักออกไปสองท่อน
เขาเงยหน้าเล็กน้อยแล้วจ้องมองไปที่หลงเจี้ยนหัว และพูดออกมาเบาๆ ว่า “ล้มเหลวแล้วใช่มั้ย?”
ทันใดนั้น เขาก็หัวเราะออกมาเหมือนกับคนบ้า “ล้มเหลวสิดี ถ้าสำเร็จง่ายๆ แบบนั้น ฉันก็มาเสียเที่ยวแย่เลย”
หลงเจี้ยนหัวถามไปว่า “พี่หมาป่า ตอนนี้เราทำยังไงต่อดีครับ?”
หมาป่าโลภไม่ได้ตอบ แต่กลับเปลี่ยนเรื่องไปว่า “ฉันจำได้ว่าเมื่อเช้าทางเซิ่งเหอเซิ่งแห่งเมืองเอกได้เชิญนายไปร่วมกินข้าวด้วยใช่มั้ย? ฉันจำได้ว่าพวกนั้นยังเชิญคนของแก๊งเสือดำกับแก๊งไผ่เขียวไปด้วยใช่มั้ย?”
“ใช่ครับ จูยิ่วถิงโทรมาด้วยตนเอง บอกผมว่าคืนนี้ต้องไปให้ได้” หลงเจี้ยนหัวพยักหน้า
“ในเมื่อเขาเชิญมาแล้ว งั้นนายก็ไปดูหน่อยก็ได้!”
มุมปากของหมาป่าโลภแย้มขึ้นมาอย่างน่าประหลาด “เรื่องของบริษัทแซ่เฉินนายยังไม่ต้องสนใจ ไปดูว่าจูยิ่วถิงมันคิดจะทำอะไร และไปดูซิว่าช่วงนี้เชิ่งหู่กับหลิวชิงมันวางแผนชั่วอะไรกันอยู่”
“ครับ พี่หมาป่า!”
……
“เลือดล่ะ? คนล่ะ?”
ภายในบริษัทแซ่เฉิน ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตะโกน ทำให้ผู้คนที่ตกอยู่ในความช็อกเริ่มตั้งสติกันได้ พวกเขาที่เงียบไปพักหนึ่งได้พูดคุยเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง
เห็นแค่ประตูลิฟต์ที่ถูกหน่วยกู้ภัยเปิดออกอย่างยากลำบาก แผ่นโลหะที่อยู่ด้านในเหมือนถูกรถบดถนนบดมาอย่างหนักจนเสียรูปไปอย่างหนัก เห็นแล้วดูหน้าแตกตื่น น่าตกอกตกใจ
แต่มันก็ไม่ใช่เท่านั้น แผ่นโลหะที่ถูกเอาออกมาจากปล่องลิฟต์อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่เลือดสักหยดยังไม่มี!
กริ้งกริ้ง!
ในตอนนั้นเอง มือถือของเหอเชิ่งหัวหน้ารปภก็ได้ดังขึ้น
เพื่อนร่วมงานที่ชั้นสิบสองเป็นคนโทรมา พอรับสายแล้วคุยได้ไม่ถึงสองคำ สีหน้าของเหอเชิ่งก็เปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็วิ่งตาตื่นเข้าไปในบันไดหนีไฟ
พอนักข่าวที่ตาไวเห็นเข้า ก็รีบวิ่งตามเหอเชิ่งวิ่งขึ้นบันได มุ่งไปยังชั้นสิบสองทันที
นั่งลิฟต์เหรอ?
ถึงมันจะเร็วกว่า สะดวกกว่า แต่เมื่อกี้เพิ่งเกิดเรื่องกับลิฟต์อีกช่อง ใครจะไปรู้ว่าลิฟต์อีกช่องจะขัดข้องด้วยมั้ย? พวกเขาไม่มีความสนใจกับอะไรพวกนั้นเหมือนตอนวัยรุ่นหรอก
ตอนที่เหอเชิ่งวิ่งหอบๆ มาถึงหน้าลิฟต์ชั้นสิบสอง ภาพที่เห็นกลับเป็นร่างที่คุ้นเคยของใครบางคนกำลังสั่งรปภให้งัดประตูลิฟต์ออก
และคนออกคำสั่งถ้าไม่ใช่เย่เทียนแล้วจะเป็นใครได้อีก?
เหอเชิ่งรีบเดินเข้าไป แล้วพูดหอบๆ ไปว่า “คุณชายเย่ คุณไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ? แล้วประธานเฉินล่ะครับ?”
“ประธานเฉินยังอยู่ข้างใน รีบช่วยเปิดประตูออกเร็ว”
เย่เทียนในตอนนี้จะเอาอารมณ์ที่ไหนมาอธิบาย จึงพูดเตือนไปว่า “เปิดออกมาแค่นิดเดียวก็พอ ที่เหลือผมจะจัดการเอง”
ถึงจะบอกว่าลิฟต์ของบริษัทแซ่เฉินจะพัฒนาให้ทันเทคโนโลยีตลอด ติดประตูนิรภัย แต่การที่เย่เทียนจะเปิดมันออกก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
จะเสียก็เสียทตรงที่ไม่มีอุปกรณ์อะไรที่ใช้ในการงัดประตูเลย เมื่อตกอยู่ใสสถานการณ์ที่ไม่มีจุดให้รวบรวมพลังลงไป เย่เทียนที่มือเปล่าก็ทำได้แค่ยอมรับความจริง และเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องให้พวกรปภออกแรงสักหน่อย
แน่นอนว่าเย่เทียนสามารถใช้พลังอีกแบบ_____ในการถีบประตูลิฟต์ให้ระเบิดออก
แต่พอนึกถึงเฉินหวั่นชิงที่ยังอยู่ข้างใน เย่เทียนกลัวจังหวะที่ถีบประตูลิฟต์จนระเบิด มันจะทำให้เฉินหวั่นชิงตกลงไปด้วย
แกร็ก!
เหอเชิ่งยังไม่ทันได้ตอบ เหล่ารปภที่ลงทุนลงแรงงัดประตูลิฟต์มานานเป็นสิบนาทีก็สามารถทำให้ประตูเเย้มออกมาได้นิดหนึ่ง ถือว่ายังพอให้รวบรวมพลังเข้าไปได้
“พวกคุณรีบถอยออกไป!”
พอเห็นแบบนั้น เย่เทียนที่กำลังร้อนรนมากๆ ก็รีบเข้าไปแย่งตำแหน่งที่อยู่ตรงกลางทันที ใช้มือยันประตูไว้ข้างละฝั่งคัมภีร์หวงไหลเวียนออกมา พลังพิทย์อันแข็งแกร่งรวบรวมอยู่ที่ฝ่ามือ
จี๊ดจี๊ด!
เมื่อมีพลังทิพย์เข้ามาช่วย ต่อให้เป็นประตูลิฟต์ที่ติดตั้งระบบนิรภัยไว้ก็ถูกเย่เทียนเปิดออกได้เพียงคนเดียว
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เหอเชิ่งและพวกรปภต่างจ้องมองด้วยความอึ้ง นี่มันเวอร์เกินไปมั้ย? นี่กำลังฝันอยู่รึเปล่า?