บทที่ 209 หลุดพ้นจากอันตราย

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

ค่ำคืนที่น่าหลงใหล

บาร์ที่เพิ่งเปิดมาทำความสะอาด ผ่านไปไม่ถึงห้านาทีก็มีลูกค้าที่ฐานะไม่ธรรมดาเข้ามา หัวหน้าแก๊งแห่งแก๊งเสือดำเชิ่งหู่!

“คุณครับ ต้องขออภัยด้วย ร้านของเราเพิ่งเปิด ยังไม่เปิดรับลูกค้า หรือคุณจะ…..”

พนักงานที่ตาไม่มีแววคนหนึ่งรีบเดินเข้ามา

“ไม่ได้มีกินเหล้า”

เชิ่งหู่ที่ร่างกายบึกบึนได้เค้นร้อยยิ้มที่ดูแย่ยิ่งกว่าร้องไห้ออกมา “ที่ผมมาก็เพื่อพบกับเจ้านายของพวกคุณ”

“มาพบบอสเหรอครับ?” พนักงานตกใจ

ยังไม่ทันที่พนักงานจะตั้งสติได้ ก็มีคนพุ่งเข้ามาจากทางประตูอีกสองคน

“เหล่าเชิ่ง แกนี่มันมาได้เร็วจริงๆ เลยนะ!”

คนที่กล้าเรียกเชิ่งหู่แบบนี้ นอกจากหลงหัวหน้าแก๊งไผ่เขียวหลิวชิงแล้ว ยังจะมีใครอีก?

ส่วนคนที่อยู่ข้างๆ หลิวชิง ก็ต้องเป็นหนึ่งในหัวหน้าสาขาผู้ยิ่งใหญ่แห่งแก๊งไผ่เขียวเหลยเหลาหู่อยู่แล้ว!

พอเห็นหน้าของทั้งคู่ชัดแล้ว สีหน้าของพนักงานก็เปลี่ยนไปทันที ไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบวิ่งเข้าไปในร้านทันที

เนื่องจากแก๊งเสือดำไม่ค่อยได้มายุ่งเกี่ยวกับชุมชนแออัด การที่พนักงานจะไม่รู้จักก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

แต่แก๊งไผ่เขียวนั้นเคยมาหาเรื่องที่บาร์แห่งนี้มาก่อน แล้วพนักงานจะไม่รู้จักได้ยังไงล่ะ?

เขาเป็นแค่พนักงาน ต้องไม่อยากหาเรื่องอะไรใส่ตัวแน่นอน จึงต้องเชิญเจ้านายอย่างซูเหมยมาจัดการอยู่แล้ว

ไม่นาน ซูเหมยก็เดินขมวดคิ้วออกมาจากในร้าน พอเห็นหน้าของเชิ่งหู่ สีหน้าของเธอดูเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม

“ไม่ทราบว่าเศรษฐีทั้งสองมาทำอะไรในบาร์เล็กๆ แบบนี้เหรอคะ?”

“เถ้าแก่ซูอย่าเพิ่งเข้าใจผิด เราไม่ได้มาหาเรื่อง แต่เราหวังว่าเถ้าแก่ซูจะช่วยเหลืออะไรพวกเราอย่างหนึ่ง”

เมื่อรับรู้ได้ถึงความไม่ชอบใจในน้ำเสียงของซูเหมย หลิวชิงจึงรีบพูดด้วยยิ้มว่า “เราอยากขอพบคุณชายเย่สักหน่อย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อกับคุณชายเย่ยังไง จึงอยากขอเถ้าแก่ซูช่วยเราติดต่อให้หน่อย”

“อยากเจอเย่เทียน?” ซูเหมยทำหน้าประหลาดขึ้นมา

เชิ่งหู่พูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำว่า “ใช่ ต้องขอเถ้าแก่ซูช่วยติดต่อให้หน่อยครับ”

……

บนชั้นสิบสองของบริษัทแซ่เฉิน

เมื่อเห็นเย่เทียนที่ง้างประตูลิฟต์ออกด้วยตนเอง เหอเชิ่งและคนอื่นๆ ก็งงกันเป็นไก่ตาแตก

เมื่อกี้พวกรปภได้ใช้กำลังทั้งหมดที่มี ต้องเสียเวลาไปเป็นสิบนาทีจึงจะสามารถแง้มประตูออกมาได้นิดหน่อย

ตอนนี้เย่เทียนแค่คนเดียวก็สามารถเปิดประตูลิฟต์ออกได้แล้ว ถึงว่าทำไมพวกตำรวจถึงต้องเชิญเขยของบริษัทแซ่เฉินคนนี้ไปช่วยไขคดีด้วย

อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่พละกำลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้ ถ้าให้ไปแข่งโอลิมปิกละก็ คาดว่ากีฬาทุกอย่างที่ต้องใช้แรง เย่เทียนก็คงจะคว้าเหรียญทองได้ครบทุกเหรียญแน่นอน!

เย่เทียนไม่สนใจหรอกว่าพวกเขาจะคิดยังไง พอเปิดประตูออกจนมันกว้างพอให้คนมุดเข้าไปได้คนหนึ่ง เขาก็หยุดลงแล้วรีบยื่นหัวเข้าไปด้านใน

เมื่ออาศัยแสงอันน้อยนิดจนสามารถมองเห็นคนที่เกาะอยู่บนคานแล้ว หัวใจที่หนักอึ้งของเขาก็ได้ทุเลาลงสักที

“หวั่นชิง คุณเกาะเอาไว้ ผมจะไปช่วยคุณเดี๋ยวนี้เลย!”

เฉินหวั่นชิงเกาะคานแน่นสุดชีวิต ตื่นกลัวจนไม่กล้าลืมตามองลงไปด้านล่างด้วยซ้ำ

เธอในตอนนี้ได้ถูกความกลัว ความตื่นตระหนกและความคิดด้านลบครอบงำไปนานแล้ว ความกดดันที่หนักอึ้งทำให้เธอเริ่มสูญเสียสติสัมปชัญญะ ตอนที่ได้ยินเสียงของเย่เทียนดังขึ้น เธอยังนึกว่าตัวเองเจ็บปวดจนหูฝาดไป และไม่มีการตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น

ความเงียบของเฉินหวั่นชิงทำให้เย่เทียนรู้สึกร้อนใจ นึกว่าเด็กสาวได้รับบาดเจ็บอะไรรึเปล่า มือไม้รีบมุดเข้าไปในปล่องลิฟต์ แล้วปีนป่ายไปที่เฉินหวั่นชิงอย่างคล่องแคล่วเหมือนกับลิง

ภาพนี้ทำให้พวกเหอเชิ่งตกใจกันมาก ไม่มีการใช้เซฟตี้อะไรเลย ไม่กลัวตกลงไปรึไง?

เย่เทียนมาถึงที่คานอย่างรวดเร็ว จ้องมองไปยังเด็กสาวที่กำลังหลับตาแต่หายใจคล่องอยู่ หัวใจที่หนักอึ้งถึงไปเบาลงสักที แล้วแตะๆ เฉินหวั่นชิงที่ไม่ขยับเขยื้อนด้วยความขบขัน

เฉินหวั่นชิงตกอยู่ในความกลัวถึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา พอเห็นรอยยิ้มที่เป็นสัญญาลักษณ์ของเย่เทียน ก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้งไปทีหนึ่ง

เมื่อเห็นการตอบสนองของเด็กสาว เย่เทียนก็เบ้ปากอย่างไม่พอใจ “ทำไม? พอเห็นหน้าผมแล้วเหมือนคุณจะไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่นะ”

ทีนี้เฉินหวั่นชิงถึงตั้งสติได้สักที ใบหน้าที่ร้องไห้จนน้ำหูน้ำตาเต็มหน้าก็ได้ปลดปล่อยรอยยิ้มที่ออกมาจากภายใน “นี่ นี่คุณยังไม่ตาย?”

“นี่คุณอยากให้ผมตายขนาดนั้นเลยเหรอ?” เย่เทียนส่ายหัวอย่างจนใจ

สถานการณ์เมื่อกี้มันค่อนข้างอันตราย แต่มันก็ไม่ถึงขั้นที่จะเอาชีวิตเขาได้หรอก

ในตอนที่ลิฟต์กำลังร่วงหล่นลงไปด้านล่าง อาศัยจังหวะที่ความเร็วยังไม่มาก เขาก็กระโดดไปยังคานที่อยู่ตรงชั้นสิบได้อย่างแม่นยำ จนสามารถรอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ไปได้

แต่เนื่องจากแสงสว่างในปล่องลิฟต์ที่น้อยเกินไป กับน้ำตาที่เจิ่งนองของจนบดบังสายตาของเฉินหวั่นชิง มันจึงทำให้เธอมองไม่เห็นก็เท่านั้น

ทันใดนั้น เฉินหวั่นชิงก็กางแขนทั้งสองข้างออก เข้ามากอดเย่เทียนเอาไว้แน่น เอาหน้าแนบไปยังอกที่ไม่ได้กว้างขวางอะไรของเย่เทียน แล้วเริ่มร้องไห้ฟูมฟายออกมา

“ฮือฮือ…..” ตอนนี้เด็กสาวไม่สามารถควบคุมความรู้สึกในใจได้อีกแล้ว

เดิมทีเธอนั้นคิดว่าเย่เทียนได้ตกตามลิฟต์ลงไป ในใจจึงเจ็บปวดและรู้สึกผิดอย่างยากที่จะอธิบาย

การเปลี่ยนแปลงของเย่เทียนในช่วงนี้ไม่ใช่ว่าเธอไม่เห็น ถึงเขาจะทำตัวเกเร ไม่เอาการเอางาน เป็นตัวแทนของวัยรุ่นที่ไม่เอาไหนได้เป็นอย่างดีก็ตาม

แต่ ทุกสิ่งที่เขาทำออกมา จะมีใครที่สามารถทำได้อีก?

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ลำพังแค่การรับมือกับการชิงตำแหน่งของพวกเฉินหยังก็พอ คนที่ต้องเผชิญหน้าด้วยต่างก็เป็นเหล่าประธานที่มีตำแหน่งสูงส่งทั้งนั้น คนธรรมดาทั่วไปถ้าไม่ถูกความกดดันที่ส่งออกมาจากพวกเขาทำให้ตกใจจนตัวสั่นก็ถือว่าเก่งแล้ว แล้วยังจะให้ทำตัวสงบและกดดันคนพวกนั้นกลับไปอีกได้ยังไง?

ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อการปกป้องเธอ แม้แต่ชีวิตของตัวเองก็ยังไม่ห่วง แล้วจะให้เฉินหวั่นชิงไม่ตื้นตันได้ยังไง?

ถึงฮีโร่ผู้ช่วยเหลือสาวงามจะเป็นมุกเก่าๆ แต่ตอนที่มันเกิดขึ้นมาจริงๆ ผลกระทบที่เกิดขึ้นในใจมันก็ยิ่งใหญ่มากเหมือนกัน!

และด้วยเหตุนี้ ตอนที่เย่เทียนมายืนตัวเป็นๆ อยู่ตรงหน้า น้ำตาที่เพิ่งหยุดไหลไปไม่นานก็ได้เอ่อล้นออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นน้ำตาแห่งความสุขมากกว่า!

เมื่อได้สัมผัสกับไออุ่นที่ออกมาจากตัวของเด็กสาว สูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเด็กสาว เย่เทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดื่มด่ำไปกับมัน

ไม่เสียทีที่เฉินหวั่นชิงเป็นถึงนางฟ้าแห่งเจียงหนัน เกรงว่าลำพังแค่กลิ่นหอมโดยธรรมชาตินี้ก็ทำให้มีคนจีบมากมายมาตามจีบแล้วมั้ง?

แต่ที่น่าเสียดายคือ พวกผู้ชายที่ขี้แพ้พวกนี้ก็ทำได้แต่มองดูอยู่ห่างๆ แต่ไม่มีโอกาสได้เล่นสนุกด้วยแล้ว ก็ใครให้นางฟ้าคนนี้เป็นภรรยาของเขากันล่ะ?

ความคิดมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัว แต่เย่เทียนก็ยังไม่ลืมสถานการณ์ของทั้งคู่ เขาจึงตบๆ ไปที่หลังของเด็กสาวและพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ที่รัก เราขึ้นไปกันก่อนเถอะ ตรงนี้มันไม่ปลอดภัย”

ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่เย่เทียนก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีเหมือนกัน

เฉินหวั่นชิงกอดเขาแน่นอย่างกับโคอาล่า ต่อให้เขาจะเก่งกาจแค่ไหน แต่แบบนี้มันก็เคลื่อนไหวได้มันสะดวกเท่าไหร่

“ประธานเฉิน คุณชายเย่!พวกคุณไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ?”

ทันใดนั้น เสียงของเหอเชิ่งก็ดังลงมาจากทางประตูลิฟต์ที่อยู่ทางด้านบน “พวกเราไม่เป็นไร!”

เย่เทียนตอบกลับอย่างรวดเร็ว “เหอเชิ่ง คุณช่วยไปหาเชือกหรืออะไรประมาณนั้นมา ผมจะผูกมันไว้กับประธานเฉินแล้วพวกคุณก็ช่วยดึงเธอขึ้นไปที”

“คุณชายเย่ เราหาเชือกนิรภัยมาได้เส้นหนึ่ง จะโยนลงไปให้เดี๋ยวนี้เลย พวกคุณดูให้ดีๆ นะครับ!”

เชือกนิรภัยเส้นหนึ่งถูกโยนลงมาทันที หลังจากที่ส่ายไปมาอยู่หลายรอบ ในที่สุดก็ถูกเย่เทียนคว้าเอาไว้ได้…