DC บทที่ 251: หญ้าเงินเจ็ดใบ

 

หยุนหนานเตียนจ้องมองซูหยางด้วยสีหน้าโกรธแค้นบนใบหน้าหล่อเหลา รู้สึกอายกับท่าทางหวาดกลัวของตัวเองเมื่อกี้นี้ ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือฟางซีหลานที่อยู่ที่นั่นก็เห็นด้วย

 

“ศิษย์ในบ้าคนนี้เป็นใครกัน เข้ามาในเขตกลางได้อย่างไร” ยวินหนานเตียนพลันจดจำชุดเขียวแต่ใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยได้ในทันที ตามจริงเขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อน

 

“เจ้าคือซูหยาง” ฟางซีหลานถามเขา

 

“ใช่แล้ว”

 

“มาข้างใน ข้ารอเจ้าอยู่”

 

ซูหยางพยักหน้าและตรงเข้าไปยังประตู

 

อย่างไรก็ตามขณะที่เขาก้าวเข้าไปได้สองก้าว ยวินหนานเตียนก็ตะโกนขึ้น “หยุดอยู่ตรงนั้น”

 

“ศิษย์น้องหญิงฟาง นี่หมายความว่าอะไร หรือว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นเหตุผลที่เจ้าติดธุระ แค่ศิษย์ในเท่านั้น” เขาถามเธอด้วยสีหน้าไม่พอใจบนใบหน้า

 

“นั่นมิใช่กงการอะไรของท่าน” เธอตอบกลับเสียงเย็นเยียบ

 

ร่างของยวินหนานเตียนสะท้านด้วยความโกรธ แต่เขาพยายามทำหน้าเรียบเฉยขณะที่พูดกับเธอ “อย่าทำเช่นนั้น ศิษย์น้องหญิง เจ้าจะได้อะไรจากการร่วมฝึกคู่กับคนในเขตคัมภีร์วิญญาณแบบเขา ถ้าเราร่วมฝึกด้วยกัน นั่นย่อมมิใช่ความฝันที่จะก้าวเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณก่อนจะเริ่มการแข่งขันระดับภูมิภาค”

 

แม้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสนับสนุนอย่างหนักให้ศิษย์ในเข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาค กระทั่งเป็นข้อบังคับให้เป็นกฏในการเป็นศิษย์หลัก แต่งานนี้แท้จริงแล้วยอมรับคนที่มีอายุต่ำกว่าสามสิบ ดังนั้นจึงมีศิษย์หลักจากสำนักอื่นเข้าร่วมด้วยเช่นกัน

 

กล่าวไปแล้ว นอกจากว่าศิษย์ในล้มคู่ต่อสู้ทุกคนที่มีพลังการฝึกปรือและอายุใกล้เคียงกัน ถึงจะได้เผชิญหน้ากับศิษย์หลัก

 

“ฮ่าฮ่า…” ซูหยางอดที่จะหัวเราะกับความพยายามที่ไร้ผลของยวินหนานเตียนไม่ได้ เขาได้เห็นชายที่หมดหวังมามากมายนัก แต่พวกเขาล้วนทำให้เขาหัวเราะเสมอ

 

“เจ้ากล้าหัวเราะเยาะข้ารึ เจ้าศิษย์ใน” ยวินหนานเตียนเพ่งสายตาไปยังซูหยาง สายตาของเขาเต็มไปด้วยเจตนาการฆ่าฟัน

 

“ผิดด้วยหรือกับการหัวเราะเมื่อมีการเล่าเรื่องตลก มิใช่ผู้คนล้วนทำเช่นนั้นเป็นปกติรึ” ซูหยางถามด้วยน้ำเสียงสับสน ราวกับว่างงงันกับปฏิกิริยาของยวินหนานเตียน

 

“ตลก ตรงไหนที่ข้าพูดที่เป็นเรื่องตลกสำหรับเจ้า”  ยวินหนานเตียนถามเขาพร้อมขมวดคิ้ว

 

“ทุกสิ่งที่เจ้าพูดล้วนเป็นเรื่องตลก เจ้าเด็กน้อย” ซูหยางหัวเราะเสียงดัง

 

“ด-เด็กน้อย หาที่ตาย” ยวินหนานเตียนหน้าแดง โกรธจัดกับคำตอบของซูหยาง

 

ยวินหนานเตียนพลันดึงป้ายประจำตัวของตนเองออกมายกขึ้นตรงหน้าเขา

 

“ข้าท้าทายเจ้าต่อสู้เป็นตาย”

 

เขาตะโกนไปยังซูหยาง

 

“ศิษย์พี่ชายยวิน ข้ามิมีเวลาจริงๆสำหรับเรื่องเหล่านี้ตอนนี้” ฟางซีหลานสุดท้ายก็เข้ามาแทรก รู้สึกค่อนข้างไม่สบายใจเล็กน้อยกับการกระทำแบบเด็กๆของพวกเขา

 

“ศ-ศิษย์น้องหญิง—-”

 

“ศิษย์ซูหยาง กรุณาเข้ามาข้างในได้แล้ว” ฟางซีหลานรีบตัดบท

 

ซูหยางไม่ได้พูดอะไรอีกและเดินเข้าไปในบ้านขณะที่ยังคงหัวเราะ ในเวลานี้เหมือนกับว่าเขามีเจตนาพยายามทำให้ยวินหนานเตียนโกรธ อย่างน้อยก็เป็นเช่นนี้ในสายตาของฟางซีหลาน

 

“ศิษย์น้องหญิง เดี๋ยว—”

 

ปัง

 

ฟางซีหลานปิดประตูใส่หน้ายวินหนานเตียน ปล่อยให้เขายืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางงุนงง

 

ฟางซีหลานดูเหมือนจะเย็นชาใส่เขาในวันนี้มากกว่าปกติ และยวินหนานเตียนก็โทษซูหยางที่ต้องเสียหน้าเช่นนี้ต่อหน้าเธอ

 

“ซูหยาง หึ เจ้ารอไปก่อน ข้าจักหาว่าใครเป็นคู่ฝึกของเจ้าและจักขโมยเธอไปจากเจ้า ไม่เพียงเท่านั้น ข้าจักทิ่มเธอต่อหน้าต่อตาเจ้า” ยวินหนานเตียนดวงตาเปล่งประกายเพลิงแห่งความเกลียดชัง

 

ย้อนกลับมาด้านในบ้าน ฟางซีหลานกล่าวกับซูหยางด้วยเสียงเย็นชา “เจ้านิกายมิได้บอกเจ้าให้มาที่นี่เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้รึ หรือว่าเจ้ามิมีสำนึกของความเร่งรีบ ทำให้ศิษย์หลักรอเกือบทั้งอาทิตย์เพื่อเพราะเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร”

 

ซูหยางยังคงเรียบเฉยและกล่าวว่า “ข้าต้องเตรียมบางสิ่งก่อนที่จะมาที่นี่ และนั่นต้องใช้เวลาเล็กน้อย”

 

ฟางซีหลานเพ่งสายตาราวกับว่าเธอต้องการอ่านสีหน้าของเขา และกล่าวว่า “ทำไมเจ้าต้องพยายามล่วงเกินยวินหนานเตียน เจ้ามิรู้รึว่าเขาอันตรายแค่ไหนเวลาถูกล่วงเกิน เขามิเพียงจักตามหาเจ้าแต่คู่ฝึกของเจ้าด้วย”

 

“ขอบคุณสำหรับคำเตือน แต่ข้ามิมีคู่ฝึก ดังนั้นจึงมิมีอะไรต้องกังวล”

 

ซูหยางตอบด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าฟางซีหลานอาจจะดูเหมือนเย็นชาและเว้นระยะห่างในตอนแรก ซูหยางสามารถบอกได้ว่าเธอไม่ถึงกับเป็นคนไร้ความรู้สึกเสียทั้งหมด

 

“เอาล่ะ วิญญาณพิทักษ์อยู่ที่ไหน ข้าต้องการเห็นมันเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะเริ่มทำอะไร”

 

ฟางซีหลานยังคงเงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดเสียงดัง “ออกมาเซียวไป่”

 

เมื่อได้ยินเสียงฟางซีหลาน ลูกบอลขนสีขาวก็ปรากฏตัวจากใต้เตียง

 

เมื่อซูหยางเห็นลูกเสือขาวนี้ คิ้วเขาก็เลิกขึ้นเล็กน้อย

 

“เสือหิมะ เหอ”

 

“เจ้ารู้จักว่าเซียวไป่เป็นวิญญาณพิทักษ์ประเภทไหนด้วยรึ” ฟางซีหลานมีสีหน้าประหลาดใจ

 

“แน่นอน” เขาตอบ

 

“มันเป็นวิญญาณพิทักษ์ธาตุหยินเกิดเฉพาะในที่ที่เย็นจัดในที่สูง เจ้าคงจะพบเพื่อนตัวน้อยนี้บนภูเขาใช่ไหม” เขาถามเธอ

 

ฟางซีหลานพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าพบเธอที่ภูเขาเยือกแข็งในภาคตะวันตก”

 

แม้ว่าเธอไม่ต้องการพูดออกมาดัง ฟางซีหลานก็ยังประทับใจเป็นอันมากกับความรู้เกี่ยวกับวิญญาณพิทักษ์ของซูหยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่มีใครสามารถจำแนกเซียวไป่เมื่อเธอพากลับมาที่นิกายในครั้งแรก

 

“บางทีเขาอาจจะมีวิธีช่วยเซียวไป่ให้โตเต็มวัยในเวลาหนึ่งเดือนได้จริงๆ…”

 

ฟางซีหลานคิดในใจถึงความเป็นไปได้อาจจะไม่ถึงกับไร้สาระเกินไปและอดไม่ได้ที่จะเริ่มตื่นเต้นกับอนาคตของเซียวไป่

 

“เอาล่ะ ที่ทำให้ข้าใช้เวลาตั้งนานเพื่อที่จะเข้ามาหาเจ้าก็เพราะว่าสิ่งนี้…”

 

ซูหยางนำเอากระถางที่เต็มไปด้วยดินออกมาจากแหวนมิติ ที่ปลูกไว้ในกระถางนี้เป็นใบหญ้าสีเงินเจ็ดใบ และถ้ามองดูใกล้ๆ อาจจะสามารถเห็นรูปแบบบางอย่างอยู่ในใบหญ้า

 

“นี่คืออะไร” ฟางซีหลานสามารถรู้สึกถึงความล้ำลึกเปล่งออกมาจากหญ้าเงินนี้

 

อย่างไรก็ตามก่อนที่ซูหยางจะทันได้พูด เซียวไปซึ่งนิ่งเงียบอยู่ใกล้เตียงพลันคำรามและกระโดดเข้าหาซูหยางพร้อมอ้าปาก ราวกับว่าต้องการจะกินซูหยาง

 

“เซียวไป่”

 

ฟางซีหลานซึ่งตกตะลึงเป็นอย่างมากกับปฏิกิริยาที่ไม่คุ้นเคยของเซียวไป่ รีบไปจับเซียวไปไว้กลัวว่าเธออาจจะทำให้ซูหยางบาดเจ็บโดยอุบัติเหตุ

 

“สิ่งของในมือข้าเรียกว่าหญ้าเงินเจ็ดใบ และวิญญาณพิทักษ์ที่ยังไม่เจริญเต็มวัยส่วนใหญ่ล้วนคลั่งไคล้มัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกมันรักที่จะกินสิ่งนี้”

 

“ถ้าเจ้ายอมให้เสือหิมะกินหนึ่งใบทุกสี่วัน มันจะโตเต็มวัยภายในหนึ่งเดือน

 

ซูหยางอธิบายเรื่องหญ้าเงินเจ็ดใบให้กับฟางซีหลานอย่างเยือกเย็นในขณะที่เซียวไปพยายามที่จะดิ้นให้หลุดจากการรั้งตัวของฟางซีหลาน

 

นับตั้งแต่เธอได้กลิ่นที่มาจากหญ้าเงินเจ็ดใบ เซียวไปก็ตกหลุมรักมันทันที และเธอจะทำทุกสิ่งเพื่อที่จะได้ลิ้มรสมัน