บทที่ 142 แพ้ราบคาบ(2)
พูดจบ เขาก็ชี้ไปทางชายวัยกลางคนตระกูลซ่ง “ท่านนี้ นอกจากจะมีโรคความดันโลหิตสูงแล้ว ยังเป็นโรคเบาหวาน
และเจ็บหัวใจด้วย โดยเฉพาะกระดูกซี่โครงหน้าแกข้างซ้ายน่าจะเคยหักมาก่อน จากการวินิจฉัยแล้ว น่าจะเป็นแผลเก่ากว่า10ปี”
ชายวัยกลางคนตระกูลซ่งก็ตกใจ พูดอย่างตะลึงว่า “คุณเย่ครับ วิชาการแพทย์ของคุณสุดยอดมากเลย แม้แต่โรคเบาหวานและที่ผมกระดูกหัก ก็ยังดูออก 13ปีก่อน ผมประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ กระดูกซี่โครงเคยหัก”
เย่เฉินก็ยิ้มๆ แล้วชี้ไปยังซ่งหรงวี่ “อาการปอดติดเชื้อของเขา เกิดจากการกินเหล้าเมาแล้วอากาศเย็นแทรกซึมเข้าไป บวกกับไตของเขาไม่ปกติร่วมด้วย นอกจากปอดจะร้อนแล้ว ปัญหาใหญ่ของเขาก็คือไตบกพร่อง จะรักษาปอด ต้องรักษาไตก่อน”
ซ่งหรงวี่ก็หน้าเสีย แล้วพูดว่า “อย่ามาแกล้งทำเป็นรู้ดี ไตของผมปกติดีทุกอย่าง!”
ผู้ชายคนหนึ่งถูกบอกว่าระบบไตผิดปกติ ก็ต้องไม่ยอมเป็นธรรมดา
อีกอย่าง ต่อให้เป็นอย่างนั้นจริง ก็ไม่ยอมรับแน่ๆ
เย่เฉินก็มองเขา แล้วพูดนิ่งๆ ว่า “อาการไตบกพร่อง ก็คือระบบไตทำงานได้น้อยลง ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ไตของคุณก็จะแย่ลงไปเรื่อยๆ ไม่เพียงกระทบต่อเรื่องบนเตียง แล้วยังก่อให้เกิดเป็นโรคยูรีเมีย ดังนั้นคุณอย่าชะล่าใจไป รีบหาเวลาไปหาหมอ บางทีอาจจะช่วยได้ ไม่เช่นนั้นก็คงต้องรอเปลี่ยนไตอย่างเดียว”
“นี่คุณ……” ซ่งหรงวี่หัวเสียมาก พอกำลังจะเข้าไปลงมือ ก็ถูกชายวัยกลางคนด้านข้างห้ามไว้
เย่เฉินก็มองมาทางซ่งหวั่นถิง แล้วพูดนิ่งๆ ว่า “คุณซ่งร่างกายของคุณ น่าจะเกิดจากการที่ได้รับผลกระทบ จากค่ายล็อกมังกรเมื่อครั้งก่อน ยังมีอาการแทรกซ้อนอยู่เล็กน้อย แล้วอีกอย่าง เมื่อคืนคุณเพิ่งมีประจำเดือนมา พลังหยินเต็มเปี่ยม แต่วางใจเถอะ พอหมดประจำเดือนเดือนนี้ไปแล้ว อาการทั้งหมดก็จะหายไป แล้ววันมาของประจำเดือนก็จะเป็นปกติมากขึ้น”
สีหน้าของซ่งหวั่นถิงตกใจเสียยิ่งกว่าใคร แล้วแถมยังรู้สึกอายด้วย
เธอไม่รู้ว่า เย่เฉินรู้วันมาของประจำเดือนตนเองได้อย่างไร แล้วยังรู้อีกว่าเพิ่งมีประจำเดือนมาเมื่อคืน มันจะอัศจรรย์มากไปแล้วละมั้ง?
ตอนนี้ เฉินเสี่ยวจาวเห็นเย่เฉินกล่าวเสริมอาการป่วยต่างๆ ก็ทั้งตกใจ ทั้งไม่ยอม
อาการที่ซ่อนเร้นพวกนี้ เธอดูด้วยตาเปล่านั้นไม่สามารถมองออกได้ แต่เย่เฉินกวาดสายตาไปเท่านั้น ก็พูดถูกเสียหมด นี่มันอะไรกัน? หรือว่าเขาจะเดา?
เฉินเสี่ยวจาวพูดกัดฟันว่า “คุณเย่ โรคหัวใจของคุณ ฉันพูดถูกใช่ไหม?”
“งั้นหรือ?” เย่เฉินยิ้มๆ แล้วเอามือยื่นไปที่ตรงหน้าซือเทียนฉี “รบกวนท่านซือ ช่วยจับชีพจรให้ผมหน่อย”
ซือเทียนฉีก็ลังเล แล้วก็ยื่นมือมาจับข้อมือเย่เฉิน
ไม่นาน เขาก็ปล่อยมือ แล้วหันหน้าไปมองเฉินเสี่ยวจาว พร้อมตำหนิว่า “วิชาแมวสามขาง่ายๆ ของเธอ ยังจะกล้ามาอวดเก่งต่อหน้า คุณเย่อีกหรือ ยังไม่รีบขอโทษคุณเย่อีก?”
เฉินเสี่ยวจาวร้องตะโกนว่า “คุณตา หนูผิดตรงไหนละ”
ซือเทียนฉีส่ายหัว แล้วถอนหายใจพูดว่า “เธอก็จับชีพจรดูสิ คุณเย่เป็นโรคหัวใจเสียที่ไหน ดูผิดแล้ว”
“อะไรนะ!” เฉินเสี่ยวจาวแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เธอวินิจฉัยโรคมาสิบกว่าปีไม่เคยพลาด แล้วอาการของโรคหัวใจมันก็ดูง่ายที่สุด จะผิดได้อย่างไรกัน?
เธอเดินมาตรงหน้าเย่เฉิน แล้วยื่นมือไปจับชีพจรเขา จากนั้นก็อึ้ง ใบหน้านี่แดงขึ้นทันที
หัวใจของเขาเป็นปกติดี เป็นโรคหัวใจเสียที่ไหน!
หรือว่า เมื่อครู่เขาจะแกล้งแสดงอาการเป็นโรคหัวใจเพื่อแกล้งให้ตนเองผิดพลาด?
ถ้าเขาสามารถทำได้ แกล้งแสดงอาการของทางสีหน้าได้อย่างง่ายดาย ก็แสดงว่าพลังภายในของเขาสามารถควบคุมได้ดีมากเลย คงจะเป็นขั้นสุดยอดเลยสินะ?
ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็คงนับว่าเป็นสุดยอดฝีมือแล้วสินะ…………
อีกอย่าง เมื่อครู่ที่เขาวินิจฉัยอาการของคนพวกนั้นออกมา ก็แสดงว่าไม่ได้มั่ว วิชาการแพทย์ของเขาอยู่เหนือกว่าตนเองอีก!
ไม่ต้องพูดว่าตนเองจะเทียบได้ ต่อให้เป็นคุณตา ก็ไม่มีทางเทียบชั้นได้เลย!
แต่ว่า เขายังอายุน้อยเท่านี้ ทำไมถึงได้มีวิชาสูงส่งเช่นนี้นะ?