เธอช่างโชคดีจริงๆ ที่จะได้อยู่กับเขาไปชั่วชีวิต นึกถึงตอนแรกๆ เธอยังเข้าใจผิดคิดว่าสักวันเขาต้องโบกมือลาจากเธอแล้วไปแต่งงานกับบรรพบุรุษฝ่ายหญิงคนอื่น… คิดไม่ถึงเลยว่า บรรพบุรุษฝ่ายหญิงคนนั้นกลับเป็นตัวเธอเอง!
คิดไปคิดมา เธอก็คิดถึงเรื่องที่ตัวเองคลอดบรรพบุรุษรุ่นถัดไปออกมา!
ท้องของเธอคลอดลูกได้ นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เธอก็รู้สึกอัศจรรย์ใจเหลือเกิน เธอเป็นบรรพบุรุษของตัวเอง ขอโทษด้วยที่เธอไม่ฉลาดพอ ก่อนหน้านี้ก็เลยคิดไม่ถึง!
คิดไปคิดมา ความง่วงก็เข้าครอบงำ ไม่นานนักเธอก็ผล็อยหลับไป
ในห้องครัว น้ำแกงไก่ซึ่งเคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ มากว่าหนึ่งชั่วยามกำลังเดือด ส่งกลิ่นหอมหวนชวนกิน เซียวเถี่ยเฟิงสูดกลิ่นทีหนึ่งด้วยความพึงพอใจ จากนั้นจึงตักใส่ชามแล้วยกไปที่ห้องนอน
ในห้องมีเพียงความเงียบสงบ เซียวเถี่ยเฟิงเดาว่าลูกน่าจะหลับแล้ว ดังนั้นจึงแหวกม่านหน้าประตูเข้าไปเบาๆ ใจคิดจะฉวยโอกาสที่ลูกหลับให้กู้จิ้งดื่มน้ำแกงไก่ให้หมด
น้ำแกงไก่ใส่ตั่งเซิน, หวงฉี, พุทราแดง, เก๋ากี้ช่วยบำรุงร่างกายได้ดีมาก เหมาะสำหรับผู้หญิงที่เพิ่งคลอดลูกมากที่สุด
โผล่หน้าเข้าไปดูก็พบว่าลูกกำลังนอนตะแคงซุกอกกู้จิ้งอย่างมีความสุข กู้จิ้งเองก็กำลังหายใจเบาๆ เป็นจังหวะ มือข้างหนึ่งวางอยู่บนหลังของลูก เห็นได้ชัดว่าก่อนหลับเธอกำลังกล่อมลูกอยู่
เซียวเถี่ยเฟิงยิ้มก่อนจะถอยออกจากห้องไป เขายกน้ำแกงไก่กลับไปที่ห้องครัวแล้วอุ่นต่อด้วยไฟอ่อนๆ
รสชาติหอมหวานของไก่ป่าในหม้อค่อยๆ หลอมรวมเข้ากับน้ำแกง
นี่เป็นอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกายสตรีที่เพิ่งคลอดบุตรได้ดีที่สุด
เคร้ง…
เสียงเหมือนชามหล่นกระแทกพื้นทำให้กู้จิ้งขมวดคิ้วแล้วหันไปเหลือบมองด้านนอกแวบหนึ่ง จากนั้นจึงก้มลงมองเซียวเอ้อเป่าที่อยู่ในอ้อมแขน
เซียวเอ้อเป่าเพิ่งจะหลับไปหลังจากเธอกล่อมอยู่นาน แต่พอได้ยินเสียงดังแบบนี้ ร่างอวบอ้วนก็สั่นระริก คิ้วน้อยๆ ขมวดแน่น จากนั้นแกก็เบะปาก ตั้งท่าจะร้องไห้…
“ซนอีกแล้ว…” กู้จิ้งพึมพำพลางพลิกตัวลงจากเตียงอย่างคล่องแคล่ว ในใจนึกจนปัญญานัก เธอเขย่าร่างของเซียวเอ้อเป่าเบาๆ พลางพูดปลอบว่า “เอ้อเป่าเด็กดี อย่าร้องไห้ นอนเร็วๆ…”
รอจนเซียวเอ้อเป่าหายตกใจแล้วผล็อยหลับไปอีกครั้ง กู้จิ้งถึงได้อุ้มแกย่องออกไปข้างนอก
ร่างเล็กๆ อวบอ้วนร่างหนึ่งกำลังพยายามปีนลงมาจากเก้าอี้ ขาสั้นๆ พยายามเหยียดลงมาเหยียบพื้น
แต่เห็นได้ชัดว่าเก้าอี้สูงเกินไป ขาสั้นๆ ที่น่าสงสารนั้นไม่ยาวพอ หลังจากลองอยู่หลายครั้งก็ไม่สำเร็จเสียที
ภาพนั้นดูน่าขันอย่างบอกไม่ถูก
กู้จิ้งรีบย้ายร่างเซียวเอ้อเป่าไปอุ้มไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างเอื้อมไปคว้าแขนของร่างเล็กๆ อีกร่างเอาไว้แล้วช่วยประคองแกลงมาจากเก้าอี้
“เซียวต้าเป่า เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?” กู้จิ้งมองเซียวต้าเป่าด้วยความจนใจ
ตอนนี้เธอมีลูกสองคนแล้ว แถมยังเป็นลูกชายทั้งหมดอีกด้วย
คิดไม่ถึงว่าเธอไม่มีก็ไม่มี แต่พอมีก็มีสองคนติดๆ กัน พวกแกต่างก็เป็นท่านบรรพบุรุษในอนาคตด้วยกันทั้งนั้น
เซียวต้าเป่าคิดไม่ถึงว่าตัวเองแค่ซุกซนนิดหน่อยก็ถูกจับได้ แกรีบฉีกยิ้มให้มารดา “ท่านแม่ ข้าไม่ได้ทำอะไร”
กู้จิ้งเลิกคิ้วก่อนจะหันไปมองตามสายตาของเซียวต้าเป่า ทันใดนั้นเธอก็พบว่ากระเป๋าหนังสีดำของตัวเองวางอยู่ตรงนั้น
นี่มันเด็กอะไรกัน เพิ่งสี่ขวบเองไม่ใช่หรือ ทำไมชอบแอบหยิบแอบจับของของผู้ใหญ่อยู่เรื่อย? รู้ไหมว่านั่นคืออะไร นั่นเป็นของที่เด็กๆ แตะต้องได้ตามใจชอบอย่างนั้นรึ?
เซียวเอ้อเป่าที่อยู่ในอ้อมแขนส่งเสียงฮึดฮัดเพราะรู้สึกไม่สบายตัวนัก เห็นเซียวเอ้อเป่าเริ่มงอแงอีก กู้จิ้งค่อยนึกขึ้นได้ว่า ตัวการที่ทำให้เซียวเอ้อเป่าตื่นคือเซียวต้าเป่า
“เซียวต้าเป่า เจ้าซุกซนอีกแล้วใช่ไหม บอกเจ้าตั้งกี่ครั้งแล้วว่าอย่าทำเสียงดังตอนที่น้องนอนหลับ ทำไมเจ้าถึงจำไม่ได้เสียทีนะ”
กู้จิ้งกล่อมเซียวเอ้อเป่าที่กำลังงอแงพลางหันไปสั่งสอนเซียวต้าเป่าจอมซุกซน
เซียวต้าเป่าคอตกเหมือนกำลังสำนึกผิด “ท่านแม่ ข้าแค่อยากดูของวิเศษของเราเท่านั้น ของวิเศษนั่น…”
“นั่นอะไร! เซียวต้าเป่า แม่เคยบอกกี่ครั้งแล้ว ในฐานะบรรพชนผู้สร้างรากฐานของวงศ์ตระกูล เจ้าต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่าง เข้าใจไหม? ทำตัวให้เป็นแบบอย่างหมายความว่ายังไง หมายความว่าเจ้าต้องเชื่อฟังพ่อกับแม่!”
“แต่ว่า…แต่ว่าข้าไม่กล้าออกไปเล่นข้างนอก…” เซียวต้าเป่ารู้ดีว่าต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้มารดายอมอ่อนข้อให้ ดังนั้นจึงพูดเสียงน้อยอกน้อยใจว่า “เวลาออกไปเล่นข้างนอก เด็กคนอื่นเห็นข้าทีไรก็จะรีบคุกเข่าให้ บอกว่าข้าเป็นลูกของเซียน เป็นเซียนน้อย พวกเขาเอาแต่คุกเข่า ไม่ยอมเล่นกับข้าเลย…”
ไม่ผิดจากที่คาด พอกู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็ถอนใจเฮือก “เฮ้อ… เซียวต้าเป่าที่น่าสงสาร ใครใช้ให้เราเป็นครอบครัวเซียนกันล่ะ นี่คือค่าตอบแทนที่เจ้าต้องแบกรับในฐานะเซียนน้อย!”
“ท่านแม่ ข้ารู้ ข้าเองก็ไม่ได้คิดจะโทษท่าน” เซียวต้าเป่าทำท่าน้อยใจแต่ก็เข้าอกเข้าใจเอามากๆ “ดังนั้น ข้าก็เลยพยายามจะหยิบถุงหนังใบนี้ ถ้ามีมันข้าก็จะเล่นคนเดียวได้ แบบนี้ท่านแม่ก็จะมีเวลาดูแลน้องมากขึ้น ท่านแม่ไม่ต้องสนใจข้า จริงๆ นะ ข้าเล่นคนเดียวได้!”
กู้จิ้งพูดไม่ออก เซียวต้าเป่าคิดว่าเธอมองแผนการของเขาไม่ออกรึไง เพื่อให้ได้กระเป๋าใบนี้ไป เขาถึงกับลงทุนเล่นละคร!
นักแสดงอันดับหนึ่งของแผ่นดินก็คือเซียวต้าเป่านี่เอง
“ไม่ได้ อะไรในบ้านเจ้าเล่นได้ทุกอย่าง ยกเว้นน้องกับกระเป๋าใบนี้!”
เรื่องนี้ต้องพูดให้ชัดเจน
เซียวต้าเป่ากะพริบตาปริบๆ แต่ว่า…แต่ว่าเขาอยากเล่นกับน้องและถุงหนังสีดำใบนี้นี่นา นอกจากสองอย่างนี้แล้ว ไม่มีอะไรทำให้เขาสนใจได้เลย!
แต่เห็นแววตาแข็งกร้าวไม่ยอมให้โต้แย้งของมารดาแล้ว เขาก็รู้ว่าวันนี้หมดหวัง ช่างเถิด หาทางอื่นก็ได้ ว่าแล้วเขาก็กล่าวด้วยท่าทางน่าสงสารอีกว่า “ท่านแม่ ถ้าอย่างนั้นข้าจะออกไปเล่นข้างนอก ถึงจะไม่มีใครเล่นกับข้า ข้าเล่นคนเดียวก็ได้”
กู้จิ้งมองเซียวเอ้อเป่าที่กำลังส่งเสียงอ้อแอ้อยู่ในอ้อมแขน ใจคิดจะรีบกล่อมเซียวเอ้อเป่าให้หลับเร็วๆ เธอจึงคร้านจะดุเซียวต้าเป่าอีก “อย่าไปไกลนักล่ะ มีอะไรก็ไปหาพ่อของเจ้าในป่า”
“ท่านแม่ ข้ารู้แล้ว ข้าโตแล้ว ไม่ใช่เด็ก” เซียวต้าเป่ายกกำปั้นขึ้นโบกไปมาพลางกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงแบบเด็กๆ ว่า “ข้าที่โตแล้วจะเป็นแบบอย่างของเซียนที่ดี!”
มุมปากกู้จิ้งกระตุก บทพูดนี่มาจากไหนกัน “ไปเถอะๆ อย่ากลับมาเย็นนักล่ะ”
เซียวต้าเป่าส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี แต่จากนั้นก็รีบปิดปากแน่น แกเหลือบมองกู้จิ้งอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว
กู้จิ้งส่ายหน้าด้วยความจนใจแล้วก็หันไปกล่อมเซียวเอ้อเป่าให้นอนต่อ
โลกภายนอกมีแรงดึงดูดใจสำหรับเด็กๆ มาก โดยเฉพาะเด็กซึ่งเพิ่งมีอายุครบสี่ขวบอย่างเซียวต้าเป่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นล้วนแต่น่าสนใจเสียทั้งสิ้น
เขาเว่ยอวิ๋นในฤดูร้อนปกคลุมด้วยสีเขียวขจี ต้นไม้สีเขียวเฉดสีต่างๆ เรียงรายกันดุจผืนผ้าเนื้อดีตามธรรมชาติ สายน้ำใสกระจ่างไหลผ่านป่า ก่อให้เกิดความชุ่มชื้นแก่ทุกต้นไม้ใบหญ้าบนภูเขา
เซียวต้าเป่าก้าวผ่านมวลหมู่บุปผาซึ่งแข่งกันเบ่งบานอยู่ท่ามกลางเสียงนกร้องพลางสูดดมกลิ่นหอมของไม้สน ไม่นานนักก็ไปถึงริมลำธาร
บริเวณริมลำธารนั้นมีเด็กชายหลายคนรออยู่ก่อนแล้ว พอเห็นเซียวต้าเป่ามาถึง พวกเขาก็รีบเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยคารวะท่านพี่เซียน!”
ท่านพี่เซียนเซียวต้าเป่าโบกมือ “ไม่ต้องมากพิธี มาคิดกันดีกว่าว่าวันนี้เราจะเล่นอะไรกันดี”
เด็กชายทั้งหลายรีบพูดว่า “เราปรึกษากันแล้ว เล่นสงครามทางน้ำกันเถอะ!”
สงครามทางน้ำเป็นการละเล่นที่สนุกมาก แถมท่านพี่เซียนเซียวต้าเป่าก็ชอบด้วย
ทุกคนช่วยกันใช้ท่อนไม้เล็กๆ ขุดร่องขึ้นร่องหนึ่ง จากนั้นก็ขุดหลุมเล็กๆ ขึ้นอีกหลุมหนึ่งเพื่อใช้แทนบ่อน้ำ เสร็จแล้วก็ไปหาใบไม้สองใบมาใช้เป็นเรือ ใบใหญ่เป็นฝ่ายธรรมะ ส่วนใบเล็กเป็นฝ่ายอธรรม เสร็จเรียบร้อยแล้วก็เริ่มรบกัน
ในขณะที่ทุกคนกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงร้องครางหงิงๆ ดังขึ้น เด็กชายทั้งหลายหยุดชะงัก เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ในใจต่างคิดว่า ‘ดูเหมือนจะเป็นหมาป่า แถมยังเป็นลูกหมาป่าด้วย!’
ทุกคนตื่นเต้นขึ้นมาทันที ถึงพวกเขาจะอายุยังน้อย แต่ก็เป็นลูกหลานของพราน จับหมาป่านั้นเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสักแค่ไหนกันนะ!
ทุกคนวางท่อนไม้ในมือลงแล้วพยายามเงี่ยหูฟังที่มาของเสียง
พวกเขาเดินตามเสียงไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็เจอลูกหมาป่าสีดำตัวหนึ่งกำลังนอนขดอยู่ในพงหญ้า ดวงตาทั้งคู่มองมาที่เซียวต้าเป่าด้วยแววตาขอความช่วยเหลือ ปากก็ส่งเสียงร้องครางหงิงๆ
เจ้าหมาป่าน้อยน่าจะเพิ่งเกิดได้ไม่นาน ดูท่าน่าจะไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไม่มีพ่อแม่คอยดูแล
เซียวต้าเป่าย่อตัวลงนั่งยองๆ พลางยื่นมือออกไปแตะหมาป่าน้อยอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็รีบหดมือกลับ หมาป่าน้อยแลบลิ้นสีชมพูออกมาเลียมือของเซียวต้าเป่าเบาๆ ทำให้เซียวต้าเป่าหัวเราะคิกคักเพราะรู้สึกจั๊กจี้