บทที่ 17 บุคคลปริศนาของมู่หรงเสวี่ยคือใครกัน?

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 17 บุคคลปริศนาของมู่หรงเสวี่ยคือใครกัน?

ห้องอาหารแห่งบ้านมู่หรงมีกำแพงแยกจากห้องครัว และแยกทางเดินตกแต่งแบบย้อนยุค

เมื่อมู่หรงเสวี่ยเดินเข้ามาในห้องอาหาร มู่หรงเฟิงหัวและ จางเข่อเหรินก็นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารก่อนแล้ว และอีกฝั่งของโต๊ะอาหารคือคนรับใช้สองคนแห่งตระกูลมู่หรง ป้าหวู่และลุงจาง ทั้งสองเป็นสมาชิกอาวุโสของตระกูลมู่หรง ทั้งสองทำงานอย่างหนักให้ตระกูลมู่หรง

ป้าหวู่จะเป็นคนจัดการเรื่องการดูแลบ้าน และบริหารคนงานคนอื่นๆให้อยู่ในความเรียบร้อย ส่วนลุงจางจะเป็นคนดูแลเรื่องงานความปลอดภัยภายนอกบ้าน

มู่หรงเฟิงหัวและจางเข่อเหรินเห็นพวกเขาเป็นสมาชิกอาวุโสในบ้านเสมอ พวกเขาไม่เคยมองว่าทั้งสองเป็นแค่คนใช้เลยสักครั้ง พวกเขาจึงได้นั่งรับประทานอาหารร่วมโต๊ะด้วยเป็นปกติ

อย่างไรก็ตาม ในชีวิตที่แล้วมู่หรงเสวี่ยมักจะถูก เสี่ยวเข่อลี่ ยุยงอยู่ตลอด เธอมักจะบอกการที่มู่หรงเสวี่ยต้องนั่งรับประทานอาหารร่วมกับคนรับใช้เป็นการไม่ให้เกียรติเธอในฐานะคุณหนูของตระกูลมู่หรง และเธอก็เชื่อในสิ่งที่เสี่ยวเข่อลี่บอก จากนั้นเธอก็วางตัวสูงส่ง ขนาดว่าออกปากพูดกับพ่อแม่ว่าเธอจะไม่ยอมร่วมโต๊ะกับพวกคนรับใช้เด็ดขาด

เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้มู่หรงเฟิงหัวไม่พอใจมาก ส่วน จางเข่อเหรินก็มองเธอด้วยสีหน้าเย็นชา ในเวลานั้นพ่อแม่เธอรู้สึกเสียใจแทนคนรับใช้ทั้งสองคนนี้มาก เพราะมู่หรงเสวี่ยถึงกับปาจานลงพื้นแล้ววิ่งออกไปจากห้องอาหารทันที หลังจากที่วิ่งออกมาแล้ว เธอก็โทรหาเสี่ยวเข่อลี่เพื่อให้อีกฝ่ายปลอบใจและเกลี้ยกล่อมให้เธอผ่อนคลายได้เสมอ จากนั้นเธอก็ไปเที่ยวบาร์ชื่อดังในเมืองเพื่อดื่มเหล้ากับกลุ่มเพื่อนคนรวย

วันต่อมา หน้าหนังสือพิมพ์ก็มีข่าวเรื่องชีวิตส่วนตัวของคุณหนูมู่หรงพร้อมภาพที่เธอกำลังเมาอยู่ที่บาร์ ถึงพ่อของเธอจะช่วยแก้ข่าวให้ แต่เธอก็ได้กลายเป็นตัวตลกของพวกชนชั้นสูงไปเสียแล้ว

เรื่องนี้ทำให้เธอทิ้งตระกูลมู่หรงแล้วไปอยู่กับฟางฉีฮัว แต่เธอก็ไม่เป็นที่ต้อนรับของคนในตระกูลฟาง ขนาดว่าพ่อของ ฟางฉีฮัวถึงกับสั่งห้ามไม่ให้เธอมาเหยียบบ้านตระกูลฟางเด็ดขาด ฟางฉีฮัวจึงต้องให้เธออยู่ที่วิลล่าข้างนอกแทน

นับแต่นั้นมา ชื่อเสียงของมู่หรงเสวี่ยก็แย่ลงเรื่อยๆ เป็นคุณหนูของตระกูลมู่หรงประสาอะไรถึงได้ตกต่ำจนต้องไปขออยู่วิลล่าของฟางฉีฮัว

ครั้งหนึ่งพ่อแม่เธอเคยพยายามขอร้องให้เธอกลับมาอยู่ที่บ้าน แต่แทนที่เธอจะฟังแล้วยอมกลับมาแต่โดยดี เธอกลับต่อว่าพ่อแม่ว่าเพราะคิดว่าพวกท่านต้องการจะแยกเธอกับฟางฉีฮัว

ในตอนนั้น พ่อแม่ของเธอโกรธมากจนพูดอะไรไม่ออก ต่อมาจึงเกิดสงครามเย็นระหว่างทั้งสองฝ่าย บวกกับความดื้อรั้นของเธอด้วยแล้ว มันยิ่งทำให้เรื่องทุกอย่างยุ่งยากมากกว่าเดิม

แต่ถึงอย่างนั้น ผู้อาวุโสทั้งสองคนนี้กลับไม่เคยโกรธเธอเลย นอกจากนี้พวกเขายังช่วยพูดปลอบพ่อแม่เธอและยังบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะพวกเขาไม่ดีเอง ไม่เกี่ยวกับคุณหนูเลย และห้ามนำเรื่องนี้ไปโทษเธอเป็นอันขาด

ในชีวิตนี้เธอมีโอกาสที่จะได้รับการโอบกอดอีกครั้ง
“คุณหนู…” เมื่อป้าหวู่และลุงจางเห็นคุณหนูจ้องมาที่พวกเขาไม่วางตา ทำให้พวกเขาทำตัวไม่ถูก ถึงขนาดลุกขึ้นแล้วเดินไปยืนตรงหัวโต๊ะแทน

ในฐานะคนรับใช้ พวกเขาไม่ควรที่จะมานั่งร่วมโต๊ะกับเจ้านาย พวกเขาทั้งคู่รู้สึกสับสน แต่นายท่านกับคุณนายกลับบอกพวกเขาว่า ถ้าไม่นั่งทานร่วมโต๊ะด้วยก็เท่ากับเป็นการดูถูกพวกท่าน ไม่นานพวกเขาก็ใจอ่อนแล้วยอมมาทานอาหารร่วมโต๊ะกับพวกท่าน

“ป้าหวู่กับลุงจางคะ ทำไมถึงทำตัวสุภาพแบบนั้นอยู่อีกล่ะคะ? ทำไมยังยืนอยู่อีก! มานั่งแล้วลงมือทานอาหารกันได้แล้วค่ะ หนูก็หิวเหมือนกันนะคะ” มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาโดยที่ตัวเองจีบปากจีบคอไปด้วย

คุณหนูไม่ได้ไม่ชอบพวกเขาเลย ทันใดนั้นน้ำตาก็เอ่อล้นออกมาจากดวงตาของพวกเขาทั้งคู่ “ถ้างั้น คุณหนูรีบนั่งลงเลยนะคะ คุณหนูไปอยู่ข้างนอกมาคงจะผอมแย่เลย ป้าต้มซุปไก่ของโปรดคุณหนู แล้วก็มีหัวปลาตุ๋นน้ำซอสอีก คุณหนูทานเข้าไปเยอะๆเลยนะคะ”

“ทุกคนตาบอดไปหมดแล้ว เสี่ยวเสวี่ยออกไปอยู่ข้างนอกแค่ไม่กี่วัน กลับมาก็ดูอวบกว่าเดิมแล้วเนี่ย” จางเข่อเหรินรู้สึกขอบคุณจางโบและหวู่หม่าที่รักและเอ็นดูเสี่ยวเสวี่ย จึงพูดแซวพวกเขาเล่น

จางเข่อเหรินไม่ได้พูดเหลวไหลสักหน่อย เธอเห็นว่ารูปร่างของลูกสาวเปลี่ยนไปเล็กน้อย นอกจากนี้ เธอรู้อยู่แล้วว่าลูกสาวเธอสวยขึ้น แถมยังมีออร่ามากกว่าเดิมอีก ผิวที่ขาวผ่องของเธอเปล่งปลั่งและเป็นสีชมพูเมื่ออยู่ใต้แสง วันนี้มู่หรงเสวี่ยสวมกระโปรงลายดอกไม้สีฟ้าอ่อนที่ดูเรียบหรู ผิวส่วนที่ไม่ได้อยู่ใต้ร่มผ้าขาวเนียนละเอียดราวกับผิวของดอกบัว

หรือบางทีการที่เธอยอมให้ลูกสาวของตัวเองได้ออกไปใช้ชีวิตเองข้างนอกอาจจะเป็นเรื่องดีก็ว่าได้ เธอไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองได้ซ่อนลูกสาวเอาไว้ในรังทอง ในตระกูลมู่หรงความไร้เดียงสาไม่นับว่าเป็นเรื่องที่ดีนัก ในเมื่อเธอเองก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของเสี่ยวเสวี่ยกับตา ตอนนี้เธอก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว

“เสี่ยวเสวี่ย ลูกย้ายออกไปอยู่ข้างนอกแล้ว ไม่ค่อยแวะมาที่บ้านเลย พ่อเป็นห่วงลูกมากนะ รู้ไหม?” ฝ่ายมู่หรงเฟิงหัวเองก็เห็นความเปลี่ยนแปลงของเสี่ยวเสวี่ยเช่นกัน
ลูกสาวของเขาอยู่ที่บ้านมาตั้งแต่เด็ก แล้วจู่ๆก็ย้ายออกไปอยู่ข้างนอกคนเดียว แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาเป็นห่วงลูกได้ยังไงล่ะ
มู่หรงเสวี่ยได้ฟังคำพูดต่างๆจากคนรอบตัว ก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา ดวงตาคู่สวยขึ้นสีแดงระเรื่อ เธออยากบอกว่า การที่เธอกลับมาอีกครั้ง มันรู้สึกดีจริงๆ ความสุขของเธอยังอยู่ที่นี่และไม่ได้หายไปไหน

“พ่อคะแม่คะ ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกค่ะ ในอนาคตลูกสาวของพ่อกับแม่จะกลายเป็นคนที่เข้มแข็งได้แน่นอนค่ะ พอถึงตอนนั้นแล้ว หนูจะเป็นคนดูแลพ่อกับแม่เองนะคะ”

“ดี! ดีเลย! ถ้างั้นก็เลิกคุยเรื่องนี้กันได้แล้ว อาหารเย็นหมดแล้วนะ มาทานข้าวกันเถอะ”

“ใช่ๆ เราค่อยคุยเรื่องนี้วันหลังดีกว่า เนอะ?”

“พ่อคะ นี่ค่ะ ทานปลาหน่อยสิคะ แม่ก็ด้วยค่ะ นี่เลย หนูตักให้นะคะ ส่วนป้าหวู่ ลุงจางก็ไม่ต้องเกรงใจแล้วนะคะ หนูนับถือท่านทั้งสองเหมือนคนในครอบครัวมาตลอดเลย ทานผักอีกสิคะ ทั้งป้าหวู่แล้วก็ลุงจางอายุก็เยอะแล้ว ไม่ควรทานอาหารที่ซ้ำและจำเจ ควรทานอาหารที่หลากหลายและครบห้าหมู่นะคะ” มู่หรงเสวี่ยบรรจงตักอาหารใส่จานของผู้เป็นพ่อและแม่ โดยไม่ลืมที่จะตักให้ป้าหวู่และลุงจางด้วยเช่นกัน

“ทำไมวันนี้ ฉันรู้สึกว่าผักมันอร่อยมากกว่าทุกวันได้ล่ะ?” จางเข่อเหรินกล่าว
“จริงด้วย สงสัยฝีมือการทำอาหารของป้าหวู่จะพัฒนาขึ้นละมั้ง?”

ป้าหวู่รีบตอบว่า “ฉันคิดว่าน่าจะเป็นเพราะผักที่คุณหนูเอามามากกว่าค่ะ มันเป็นผักที่คุณภาพดีมากๆเลยล่ะค่ะ”

มู่หรงเฟิงหัวและภรรยาต่างก็หันมามองหน้ากัน พร้อมกับคำถามที่ปรากฏขึ้นมาในดวงตา “เสี่ยวเสวี่ย นี่ลูกไปเอาผักกับผลไม้พวกนี้มาจากที่ไหนล่ะลูก?”

มู่หรงเสวี่ยรู้ว่าพ่อกับแม่เป็นห่วงเธอ แต่ไม่ว่ายังไงเธอจะไม่พูดเรื่องมิติลับเด็ดขาด ไม่ใช่ว่าเธอไม่ไว้ใจครอบครัว แต่เธอกลัวว่ามันจะเป็นการนำหายนะมาให้ครอบครัวตัวเองมากกว่า

“หนูได้มาจากเพื่อนค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ ผักกับผลไม้พวกนี้มีคุณภาพดีมากจริงๆ พ่อกับแม่ต้องทานมันทุกวันนะคะ จะได้ดีต่อสุขภาพ พรุ่งนี้หนูจะเอาไปให้คุณปู่กับคุณย่าด้วย หนูไม่ได้ไปหาพวกท่านนานแล้ว หนูล่ะคิดถึ๊งคิดถึงพวกท่านมากๆเลย ฮิฮิ”
มู่หรงเฟิงหัวรู้สึกสงสัยเรื่องเพื่อนของมู่หรงเสวี่ยมากกว่าเดิม

“เพื่อนคนไหนล่ะลูก? ทำไมลูกไม่เคยพูดถึงเขามาก่อนเลยล่ะ จริงด้วย พ่อกับแม่ก็ไม่ได้ไปหาคุณปู่คุณย่านานแล้วเหมือนกัน พวกเราควรแวะไปหาพวกท่านกันสักหน่อย”

“พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ เพื่อนหนูคนนี้เป็นคนที่ดีมากๆแต่เธอหาตัวยากมากค่ะ เอาไว้คราวหลัง หนูจะเล่าเรื่องของเธอให้พ่อกับแม่ฟังนะคะ”

หลังจากที่ได้ยินแบบนี้ มู่หรงเฟิงหัวและจางเข่อเหรินจึงไม่ถามอะไรเธออีก ถึงยังไงพวกคนที่เก่งๆจะชอบอารมณ์ติสท์และไม่ชอบที่จะเปิดเผยตัวตน นับว่าเป็นเรื่องปกติ

หลังจากนั้น ใช้เวลาไม่นานผักที่อยู่บนโต๊ะอาหารก็หายไปภายในพริบตาเดียว ตรงกันข้าม บนโต๊ะกลับเหลือเนื้อสัตว์เอาไว้มากมาย เนื่องจากว่าผักมีรสชาติที่อร่อยกว่าเนื้อสัตว์ และวันนี้ทุกคนก็เจริญอาหารมาก เพราะทุกคนต่างก็ขอข้าวเพิ่มคนละหนึ่งถึงสองทัพพีเลยทีเดียว
หลังจากที่ทานอาหารค่ำเสร็จ มู่หรงเสวี่ยได้พาพ่อกับแม่กลับไปที่ห้องจากนั้นก็ทำการล็อกประตูให้เรียบร้อย เธอหยิบน้ำแห่งวิญญาณสองขวดที่อยู่ในกระเป๋าออกมา “พ่อคะ แม่คะ นี่ไม่ใช่น้ำธรรมดานะคะ ถ้าพ่อกับแม่ดื่มมันทุกวัน มันจะช่วยรักษาสุขภาพของพ่อกับแม่ได้ แต่หนูอยากให้พ่อกับแม่เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ห้ามให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาดนะคะ”

มู่หรงเฟิงหัวขมวดคิ้วด้วยความกังวล “เสี่ยวเสวี่ย ช่วงนี้ ลูกดูมีความลับแปลกๆนะ นี่ลูกกำลังปิดบังอะไรพ่อกับแม่อยู่หรือเปล่า? แล้วลูกไปเอาน้ำนี่มาจากที่ไหนล่ะ? อีกอย่างนะ ผักกับผลไม้ที่เอามาทำอาหารวันนี้ก็ไม่ใช่ผักผลไม้ธรรมดาๆใช่ไหม? ลูกไปเข้าร่วมองค์กรลับอะไรมาหรือเปล่า? พ่อกับแม่จะไม่กินของพวกนี้ ถึงลูกจะบอกว่ามันปลอดภัยก็ตามแต่!”

เมื่อจางเข่อเหรินได้ยินคำว่าองค์กรลับ เธอก็รู้สึกกังวลและเป็นห่วงมู่หรงเสวี่ยขึ้นมาทันที ลูกสาวของเธอจะรู้ไหมว่าในองค์กรลับมีกฎและอันตรายมากขนาดไหน “เสี่ยวเสวี่ย พ่อกับแม่ไม่ต้องการของพวกนี้หรอกนะลูก ลูกบอกพ่อกับแม่มาตรงๆได้ไหมว่าช่วงนี้ลูกไปทำอะไรมา?”

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกตื้นตันใจมาก ตอนที่พ่อกับแม่เธอเห็นน้ำพุจิตวิญญาณที่เธอนำออกมา พวกท่านไม่ได้สนใจเรื่องคุณประโยชน์ของน้ำ แต่กลับเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ ในชีวิตที่แล้วเธอตาบอดไปจริงๆที่ไม่ยอมเชื่อฟังพ่อกับแม่ของตัวเอง

“พ่อคะ แม่คะ ไม่ต้องห่วงหนูจริงๆค่ะ หนูแค่โชคดีที่ได้เจอผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนโบราณ แต่เขาไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน หนูเลยยังแนะนำเขาให้พ่อกับแม่รู้จักไม่ได้ เขาเป็นคนส่งของพวกนี้มาให้หนู เขาเป็นคนดีจริงๆนะคะ”

มู่หรงเฟิงหัวและจางเข่อเหรินเชื่อว่า ในโลกนี้มีคนที่มีความสามารถที่ไม่อยากจะเปิดเผยตัวตนอยู่ไม่น้อย นับว่าเป็นโชคและโอกาสของเสี่ยวเสวี่ยแล้วจริงๆ

“ถ้าน้ำนี่มีคุณค่ามาก ถ้าอย่างงั้น ลูกควรเก็บมันไว้ดื่มเองนะ พ่อกับแม่ไม่อยากได้มันหรอกจ้ะ”

“ไม่ค่ะ หนูได้มันมาหลายขวด ที่อะพาร์ตเมนต์ยังเหลืออีกหลายขวดค่ะ ส่วนสองขวดนี้ หนูแบ่งมาเป็นส่วนของพ่อกับแม่แล้ว แต่พ่อกับแม่อย่าลืมนะคะว่าต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ”
ทั้งสองสามีภรรยาเข้าใจประโยคที่ว่า เรื่องความสำคัญของการเก็บเป็นความลับ เป็นอย่างดี แต่ทั้งสองก็ยังรู้สึกเป็นห่วงเธออยู่

“เสี่ยวเสวี่ย ในอนาคต ถ้าลูกต้องเผชิญหน้ากับอันตรายอะไร ลูกต้องรีบกลับมาที่บ้านเลยนะ พ่อกับแม่จะเป็นคนปกป้องลูกจากปัญหาต่างๆเอง”

มู่หรงเสวี่ยเข้าใจและพยักหน้ารับ เธอตั้งปณิธานกับตัวเองเอาไว้ว่า เธอจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุด!