บทที่ 18 พี่ชายของโม่อ้ายลี่มีนามว่าโม่หลิวเฟิง

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 18 พี่ชายของโม่อ้ายลี่มีนามว่าโม่หลิวเฟิง

วันต่อมา ในห้องเรียนของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง

จบคาบเรียน โม่อ้ายลี่รู้สึกตื่นเต้นมากที่จะบอก มู่หรงเสวี่ยว่า อีกไม่นานพี่ชายของเธอจะกลับมาแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไร้การตอบรับอยู่สักพัก เธอสังเกตเห็นว่ามู่หรงเสวี่ยกำลังทำหน้าสับสนงุนงง
โม่อ้ายลี่อดไม่ได้ที่จะหยิกแขนของอีกฝ่ายด้วยความมันเขี้ยว

“เสี่ยวเสวี่ย นี่ เสี่ยวเสวี่ย เธอเหม่ออะไรอยู่ละเนี่ย? เฮโหลๆ นี่ เธอไม่ได้ยินที่ฉันพูดเหรอไง?”
ด้วยความตกใจ มู่หรงเสวี่ยจึงร้องเสียงดังออกมา “โอ๊ย!!! เจ็บนะ!!! อ้ายลี่ เธอจะมาหยิกฉันทำไมเนี่ย?”

โม่อ้ายลี่ตอบพร้อมรอยยิ้มแห่งความสุขว่า “ก็เธอสมควรโดนนี่นา เธอกล้าดียังไงถึงไม่ฟังที่ราชินีอย่างฉันพูดล่ะ?

ในฐานะเพื่อนรัก มู่หรงเสวี่ยจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากตอบเธอว่า “เพคะ องค์หญิง มีอะไรให้หม่อมฉันรับใช้หรือเพคะ?”
“เมื่อกี้เธอคิดอะไรอยู่? ทำไมถึงได้ทำหน้าจริงจังขนาดนั้นล่ะ?” โม่อ้ายลี่ถามด้วยความสงสัย

มู่หรงเสวี่ยเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นก็ตอบอีกฝ่ายไปว่า “ฉันอยากจะหาคนเก่งๆสักคนมาเป็นบอดี้การ์ดน่ะ เขาจะได้คอยคุ้มครองและสอนทักษะป้องกันตัวให้ฉันได้ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะไปหาคนแบบนั้นได้จากที่ไหนน่ะสิ…”
“เอ๋ นี่เธอกำลังหาบอดี้การ์ดอยู่เหรอ?” โม่อ้ายลี่ถามด้วยความตกใจ

“ถูกต้อง เธอก็รู้ว่ามีคนมากมายที่คิดร้ายกับตระกูลมู่หรง ฉันจึงต้องเรียนรู้ศิลปะการป้องกันตัวเอาไว้ปกป้องตัวเองบ้างสิ”

โม่อ้ายลี่ใช้ความคิดเงียบๆ พร้อมกับกัดริมฝีปากของตัวเอง ดูเหมือนว่า ถึงเวลาที่จะต้องสารภาพเรื่องนั้นออกไปอย่างกล้าหาญเสียแล้ว “เสี่ยวเสวี่ย จริงๆแล้ว ฉันมีเรื่องจะสารภาพกับเธอ หลังเลิกเรียน ตอนที่คนน้อยกว่านี้ ฉันจะเล่าให้เธอฟังนะ”

ถึงเวลาที่ต้องเปิดเผยตัวตนและต้องเผชิญหน้ากับเรื่องที่จำเป็นแล้ว มู่หรงเสวี่ยส่งยิ้มและไม่ได้ถามอะไรอีก เธอแค่พยักหน้าตกลง

เมื่อมองไปรอบข้างแล้วเห็นสายตาซุบซิบนินทาจากเพื่อนในห้อง ที่นี่คงไม่เหมาะที่จะคุยเรื่องแบบนี้เลยจริงๆ ถ้าตัวตนที่แท้จริงของโม่อ้ายลี่ถูกแพร่ออกไป บางทีอาจจะเกิดอันตรายกับเธอก็เป็นได้

หลังเลิกเรียน มู่หรงเสวี่ยและโม่อ้ายลี่ไปยังร้านกาแฟทันที ส่วนเสี่ยวเข่อลี่ ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่ เธอไม่ได้พยายามมาหามู่หรงเสวี่ยเลย มันยิ่งทำให้มู่หรงเสวี่ยต้องตื่นตัวมากกว่าเดิม เกรงว่าเสี่ยวเข่อลี่จะต้องมีแผนอะไรบางอย่างอยู่แน่นอน

“เสี่ยวเสวี่ย คือฉัน…ฉัน…” โม่อ้ายลี่ถือแก้วกาแฟไว้ในมือประกอบท่าทางเขินอาย จากนั้นก็หยุดพูด
“เธอเป็นหลานสาวของหัวหน้านายพลใช่ไหมล่ะ แล้วเธอจะบอกฉันเรื่องนี้เมื่อไร?” มู่หรงเสวี่ยกลอกตาไปมา

โม่อ้ายลี่เบิกตากว้าง “ถูก… อ๊ะ? เอ๊ะ!!! เธอรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ!!! นี่ฉันยังไม่ได้บอกเธอเลยนะ!?”

มู่หรงเสวี่ยทำสีหน้าล้อเลียน โดยรีบทำท่ายืดออกพร้อมกับเหล่ตาไปทางโม่อ้ายลี่

“แหม เธอก็แค่แมวน้อยไร้เดียงสาตัวหนึ่งจะมาหลบสายตาอันแหลมคมของฉันไปได้ยังไงล่ะ!”
“อ๋า ถ้าเธอรู้อยู่แล้ว ทำไมก่อนหน้านี้เธอไม่พูดอะไรเลยล่ะ ทำฉันอึดอัดอยู่ตั้งนานแน่ะ ฉันก็กลัวว่าถ้าเธอรู้เรื่องนี้ แล้วเธอจะไม่สนใจฉันอีก” โม่อ้ายลี่ที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองถูกหลอกเข้าแล้ว แสดงท่าทางพิลึกออกมาทันที

โม่อ้ายลี่หันหน้าไปมา พร้อมกับมองไปยังสายตาประหลาดๆภายในร้านกาแฟที่กำลังจับจ้องมาที่เธอ ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด

“นี่ พอได้แล้ว!” มู่หรงเสวี่ยพูดเสียงดังฟังชัด

“ถ้างั้นเรามาคุยเรื่องสำคัญกันดีกว่า” เห็นว่าสายตาแปลกๆของคนรอบข้างหายไปแล้ว โม่อ้ายลี่จึงพูดขึ้น

เมื่อได้ยินประโยคนี้ จู่ๆมู่หรงเสวี่ยก็รู้สึกสับสนขึ้นมาในใจ หลังจากที่โต้เถียงกันมาสักพัก เธอก็พูดเรื่องนี้ได้ซะที เธอมองดูเสื้อผ้าตัวเองซึ่งดูเหมือนจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แล้วก็มองไปรอบๆที่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเช่นกัน มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะขยี้ตาตัวเองอีกรอบ

“ถ้าเธอบอกว่าอยากได้บอดี้การ์ด ฉันก็พอจะรู้จักคนที่สามารถช่วยเธอได้”

“แต่ถ้าเธออยากหาคนอื่น เธอก็ทำได้นะ ฉันยินดีช่วยเสมอ” โม่อ้ายลี่มองดูมู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาไร้เดียงสา

“ฉันจะเป็นคนจัดการให้เอง แต่ว่าต้องบอกพี่ชายของฉันก่อนนะ พี่ชายฉันมีเส้นสายแล้วก็รู้จักคนมีอำนาจเยอะ เขาน่าจะแนะนำคนดีๆให้เธอได้ บังเอิญว่าเขาจะกลับมาวันนี้ซะด้วย เธอสนใจไปรับเขาที่สนามบินกับฉันไหม จะคุยกับพี่ชายฉันด้วยเลย เธอว่ายังไงล่ะ?”

มู่หรงเสวี่ยใช้ความคิดสักครู่ เธอคิดว่าตัวเองควรไปพบกับพี่ชายของโม่อ้ายลี่ก่อนน่าจะดีกว่า จึงพยักหน้ารับ “ได้เลย ว่าแต่ พี่ชายเธอจะลงเครื่องกี่โมงล่ะ? พวกเราจะไปกันตอนไหนดี?”

โม่อ้ายลี่หันไปมองเวลาที่นาฬิกาที่ติดอยู่บนผนังร้าน “อ๊ะ เกือบจะได้เวลาพอดีเลย พวกเราไปรอเขาที่สนามบินกันเถอะ”

หลังจากที่จ่ายเงินเสร็จแล้ว มู่หรงเสวี่ยกับโม่อ้ายลี่จึงเดินออกมาจากร้าน และเรียกรถแท็กซี่ไปยังสนามบิน เนื่องจากว่าวันนี้พวกเธอไม่ได้ขับรถส่วนตัวมา จึงต้องนั่งรถสาธารณะแทน

เมื่อเดินทางมาถึงสนามบิน
มู่หรงเสวี่ยเห็นชายร่างสูงที่ดูสง่ายืนเด่นอยู่ท่ามกลางฝูงชนมาแต่ไกล ถึงอีกฝ่ายจะอยู่ห่างจากเธอมาก แต่เขากลับโดดเด่นและดึงดูดสายตาของคนทั่วไป เหมือนกับแสงสปอตไลต์ไม่มีผิด

“พี่ชายจ๋า หนูมารับแล้ว~” โม่อ้ายลี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ มู่หรงเสวี่ยมีท่าทางตื่นเต้นและรีบเดินไปหาผู้ชายคนนั้น

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ เธอจึงเห็นผู้ชายที่มีส่วนสูงประมาณ 185 ซม. รูปร่างสูงโปร่ง จมูกตรงโด่งได้รูป ด้านใต้จมูกคือริมฝีปากหยักสวยได้รูป เมื่อมองไปที่เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่นั้น เธอก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าเสื้อผ้าพวกนี้ไม่ใช่เสื้อผ้าธรรมดา ชุดที่เขาสวมได้รับการออกแบบและตัดเย็บมาอย่างดีไม่เหมือนกับเสื้อผ้าทั่วไปที่พบเห็นได้ตามท้องตลาด เขาช่างเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์จริงๆ ขนาดมู่หรงเสวี่ยเห็นความหล่อของคนตรงหน้ายังใจสั่นเลย

“นี่ๆ พี่ชายจ๋า พี่ซื้อของขวัญมาฝากหนูรึเปล่า?” โม่อ้ายลี่ดึงแขนเสื้อชายคนนั้นพร้อมเอ่ยถามด้วยความใสซื่อ

ชายคนนั้นใช้นิ้วชี้จิ้มเบาๆที่หน้าผากของโม่อ้ายลี่แล้วตอบว่า “เธอนี่มันจริงๆเลย ทำไมถึงได้คิดถึงแต่ของขวัญนะ! เธอไม่คิดถึงพี่ชายสุดหล่อบ้างเลยเหรอ?”

“อ้อ ใช่ๆ พี่ชาย หนูยังมีอีกเรื่องที่ต้องบอกพี่ คนคนนี้คือเพื่อนสนิทของหนูเองชื่อ มู่หรงเสวี่ย แล้วก็ มู่หรงเสวี่ย คนคนนี้คือพี่ชายฉันชื่อ โม่หลิวเฟิงจ้า” โม่อ้ายลี่กลับมายืนข้างมู่หรงเสวี่ย และทำการแนะนำตัวให้ทั้งสองได้รู้จักกัน

เมื่อทราบชื่อของคนตรงหน้าแล้ว โม่หลิวเฟิงจึงหันไปมองใบหน้าแสนงดงามของเด็กสาวให้ชัดเจนขึ้น “คุณมู่หรง ในเมื่อคุณเป็นเพื่อนสนิทของน้องสาวผม คุณจะเรียกผมสั้นๆว่าโม่เกอหรือพี่โม่ก็ได้นะ”

มู่หรงเสวี่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม “พี่โม่ พี่อย่าเรียกฉันว่าคุณมู่หรงเลยค่ะ เรียกว่าเสี่ยวเสวี่ยก็พอแล้วค่ะ”

“ได้เลยครับ ถ้างั้น พวกเราไปขึ้นรถแล้วหาอะไรกินก่อนกลับบ้านกันเถอะ” โม่หลิวเฟิงที่ถือกระเป๋าอยู่ในมือ เดินนำทั้งสองคนไปยังรถสปอร์ตที่เพิ่งมาถึง โดยที่คนขับรถประจำตัวของโม่หลิวเฟิงเป็นคนขับมา