ตอนที่ 414 สะเทือนราชสำนัก

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 414 สะเทือนราชสำนัก

ฟู่เสี่ยวกวนได้เขียนจดหมายทั้งสิ้น 3 ฉบับ

หนึ่งฉบับนั้นส่งไปให้ต่งชูหลานที่ซีซาน อีกสองฉบับนั้นถูกส่งไปให้หยูเวิ่นหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลวที่เมืองจินหลิง

จดหมายฉบับที่ส่งไปให้ต่งซูหลานนั้นเขาได้สั่งการให้นางรีบเตรียมกำลังคนและเงินมายังอำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้โดยเร็วที่สุด

ให้ใช้แบบแผนของโรงงานที่ซีซาน จากนั้นค่อยเปิดรับสมัครคนจากทั้งสองพื้นที่นี้เพิ่มเติมเพื่อทำการก่อสร้างโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ โรงงานผลิตอิฐและกระเบื้อง ทั้งสองโรงงานนี้ต้องการแรงงานจำนวนมาก ปูน อิฐและกระเบื้องที่ผลิตออกมานั้นจะถูกนำไปใช้ในการก่อสร้างศูนย์การค้าในต้นปีหน้า

ส่วนจดหมายฉบับที่ส่งไปให้หยูเวิ่นหวินนั้นมีเนื้อความว่าให้ให้นางถวายคำแนะนำต่อฮองเฮาซั่ง ให้พระนางทรงเป็นผู้ชูโรงในการชักชวนพ่อค้ารายใหญ่ไปลงทุนที่หย่งหนิงโจว

ส่วนจดหมายที่ส่งไปหาเยี่ยนเสี่ยวโหลวนั้น เขาได้ขอให้เยี่ยนเสี่ยวโหลวไหว้วานให้เยี่ยนเป่ยซีร้องถวายการต่อฝ่าบาท ให้พระองค์ทรงดำรินโยบายที่ช่วยเอื้อผลประโยชน์ต่อการลงทุนในพื้นที่นำร่องทางการค้าทั้งสองแห่งนี้

เมื่อดำเนินการพร้อมกันทั้งสามด้านแล้ว เช่นนี้การผลักดันแผนพัฒนาเศรษฐกิจก็จะสำเร็จลุล่วงได้เร็วมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

และในขณะเดียวกัน รายงานการสู้รบจากกองทัพชายแดนเหนือได้ถูกส่งมาถึงมือของเสนาบดีเยี่ยนซือเต้าแล้วเช่นกัน

เมื่อเยี่ยนซือเต้าได้อ่านรายงานการสู้รบแล้วก็ได้ส่งเรื่องไปยังราชสำนักในทันที จากนั้นรายงานก็ได้ถึงฝ่าพระหัตถ์ของฝ่าบาท

ณ ห้องทรงพระอักษร ประจำพระราชวัง

“กองกำลังดาบเทวะ…” ฮ่องเต้ทรงตรัสพร้อมกับขมวดพระขนง “ข้ามิยักจะรู้ว่ามีกองกำลังเยี่ยงนี้อยู่ด้วย”

เยี่ยนเป่ยซีโค้งคำนับ “ท่านแม่ทัพเผิงได้กล่าวไว้ในส่วนท้ายของรายงานว่า นี่เป็นกองกำลังจากซีซานแห่งเมืองหลินเจียงพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ทรงตกใจเสียจนอ้าปากค้างไว้ชั่วครู่ “อ่า…ข้าจำได้แล้ว เป็นกองกำลังที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ขออนุญาตจากข้าเมื่อต้นปี”

“กองกำลังของฟู่เสี่ยวกวนเก่งกาจมากถึงเพียงนี้เลยเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ฮ่องเต้แทบจะไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น

ส่วนเยี่ยนซือเต้านั้นงงเป็นไก่ตาแตกเช่นกัน

กองกำลังเพียงแค่ 4,000 นายแต่กลับไล่ต้อนกองทัพของกงเซินจ่างที่มีจำนวนมากถึงแสนนายไปยังหุบเขาเยว่หมิงได้อย่างง่ายดายราวกับไล่ต้อนแกะ อีกทั้งยังไล่ต้อนนานถึงห้าวันห้าคืนอีกด้วย !

ตอนที่เยี่ยนซือเต้าเห็นรายงานฉบับนี้ก็ไม่อยากจะปักใจเชื่อสักเท่าใดนัก เขาจึงพลิกไปดูตราประทับด้านหลังซองจดหมายอยู่หลายครา ดูเยี่ยงไรก็เป็นตราทางราชการของแม่ทัพเผิงเฉิงอู่อย่างแท้จริง

ทว่าเยี่ยนเป่ยซีกลับมิได้แปลกใจกับข่าวนี้เท่าใดนัก เพราะนั่นเป็นถึงกองกำลังที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ฝึกหัดมากับมือเลยนี่

“นี่เป็นความสามารถของฟู่เสี่ยวกวน ฝ่าบาทฟู่เสี่ยวกวนเคยประดิษฐ์ปืนใหญ่ที่มีแสงยานุภาพสูงมาแล้ว หากกองกำลังนี้จะประสบความสำเร็จมากถึงเพียงนี้ก็ดูมิเกินจริงมากนักพ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวน…

ฮ่องเต้ทรงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ทรงพระอักษรรายงานฉบับนี้ต่อไป “ไป๋ยู่เหลียนคือผู้ใดกัน ? ”

เยี่ยนซือเต้าตอบ “เดิมทีเขาเป็นพลทหารม้าฝีมือดีของกองทัพชายแดนตะวันออก จากนั้นก็ได้ออกจากกองทัพเมื่อรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่หนึ่ง เขาได้เดินทางไปยังซีซานแห่งเมืองหลินเจียงและได้เป็นผู้นำของทหารรักษาการณ์ประจำเรือนซีซาน จนกระทั่งได้รู้จักกับฟู่เสี่ยวกวน บัดนี้เขามีอายุได้ 28 ปีพ่ะย่ะค่ะ”

“เวลานี้กองกำลังนี้อยู่ที่ใด ข้าอยากพบเจอพวกเขาสักหน่อย ! ”

“บัดนี้กองกำลังได้มุ่งหน้าไปยังแคว้นฮวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

……

ฮ่องเต้ทรงตกพระทัยเป็นอย่างมาก เมื่อคราที่กองกำลังดาบเทวะได้ทำศึกกับศัตรูที่ภูเขาผิงหลิงย่อมเกิดการสูญเสียขึ้นแก่กองทัพเป็นแน่ และเวลานี้กองกำลังย่อมมีมิถึง 4,000 นาย แล้วพวกเขาจะไปยังแคว้นฮวงเนื่องด้วยเหตุใดกัน ?

กองกำลังนี่เป็นดั่งสมบัติล้ำค่าของราชวงศ์ ห้ามสิ้นชีพบนผืนปฐพีของแคว้นฮวงเป็นอันขาด !

“มิทราบว่าฝ่าบาททรงจำยุทธวิธีที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ประพันธ์ถวายแก่พระองค์ในพระราชวังจินเตี้ยนเมื่อปีกลายได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ทันใดเยี่ยนซือเต้าก็ได้เอ่ยถามเช่นนี้ออกมา

ฮ่องเต้ได้นึกย้อนถึงอดีต “ความหมายของเจ้าคือ…กองกำลังนี้ได้ฝึกฝนตามยุทธวิธีของเขาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“กระหม่อมคิดว่านั่นเป็นเพียงทฤษฎี ทว่าภายในนั้นยังมีรายละเอียดปลีกย่อยซ่อนอยู่มากมาย กองทัพชายแดนเหนือได้ทุ่มกำลังคนมากถึง 200,000 นาย แต่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตกว่า 60,000 นาย แต่กลับสู้รบชะงักงันมิอาจคว้าชัยเหนือข้าศึกมาได้ แต่กองกำลังดาบเทวะนี้มีเพียงแค่ 4,000 นาย อีกทั้งไป๋ยู่เหลียนก็มิใช่เทพเจ้า เหตุใดกองกำลังนี้ถึงได้มีแสงยานุภาพท่วมท้นถึงเพียงนี้ได้กันเล่า ? ”

“ด้วยเหตุนี้กระหม่อมจึงคิดขึ้นมาได้ว่า อาจจะเพราะฟู่เสี่ยวกวนได้สอนกลยุทธ์ในการฝึกยุทธวิธีให้แก่ไป๋ยู่เหลียน ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ลาจากพวกเราไปแล้ว บนผืนปฐพีนี้ก็มีเพียงแต่ไป๋ยู่เหลียนเท่านั้นที่ถ่องแท้ในยุทธวิธี กระหม่อมถึงเห็นสมควรว่าควรให้ไป๋ยู่เหลียนได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท”

ฮ่องเต้ทรงพยักพระพักตร์เล็กน้อยเพื่อแสดงออกว่าได้เห็นพ้องต้องกัน

“ทว่าเจ้านี่ดันไปแคว้นฮวงเสียแล้ว เช่นนั้นจะทำเยี่ยงไรดีพ่ะย่ะค่ะ”

“ฝ่าบาททรงออกพระราชโองการถึงเผิงเฉิงอู่ เขาเคยพบกับไป๋ยู่เหลียนมาก่อน แล้วให้เขาส่งคนไปตามไป๋ยู่เหลียนที่แคว้นฮวงเสีย”

“ดี ! กองกำลังดาบเทวะนี้ได้แสดงความกล้าหาญองอาจเหนือผู้ใดในประวัติการณ์แห่งราชวงศ์หยู ข้าขอประกาศให้ทั่วผืนปฐพีได้รับทราบโดยทั่วกัน ว่าข้าได้แต่งตั้งกองกำลังดาบเทวะเป็นผู้พิทักษ์แคว้นหยู และแต่งตั้งไป๋ยู่เหลียนเป็นแม่ทัพของกองกำลังดาบเทวะตั้งแต่บัดนี้สืบไป”

การประชุมประจำราชสำนักในวันถัดไป เมื่อฮ่องเต้ได้ทรงประกาศรายงานจากกองทัพชายแดนเหนือ ข่าวนี้ได้ทำให้สั่นสะเทือนไปทั้งราชสำนัก

พวกเขาแทบมิอยากจะเชื่อ แต่ก็จำต้องปักใจเชื่อ

เพราะมีตราประทับทางราชการของเผิงเฉิงอู่อยู่บนรายงาน แต่เขามิได้อวดถึงความอุตสาหะของกองทัพชายแดนเหนือเลยแม้แต่ประโยคเดียว ทั้งรายงานล้วนแต่เขียนบรรยายความสำเร็จของกองกำลังดาบเทวะ

ซึ่งได้หมายความว่า เขาได้ละทิ้งความอุตสาหะที่กองทัพของตนได้ลงแรงไปทั้งสิ้น และเขาเองก็มิกล้าที่จะอ้างความพยายามทั้งหมดนี้มาเป็นของตน

เหตุนี้จึงทำให้ขุนนางเหล่านั้นต่างหวนนึกถึงฟู่เสี่ยวกวน

เด็กหนุ่มผู้ได้รับตำแหน่งไท่จงต้าฟูและตำแหน่งเจี้ยนอี้ต้าฟูแห่งเสมียนกลางด้วยวัย 17 ปี

งานประพันธ์ของเขาทั้งหลายในการแข่งขันกวีที่แคว้นอู๋ได้ถูกสลักไว้บนหินเชียนเปยสือที่หลานถิงจี๋เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ล้วนแต่ถูกขนานให้เป็นลำดับที่หนึ่งทั้งสิ้น !

เขาเป็นนักประพันธ์ที่เหนือกว่าผู้ใดในปฐพี บัดนี้ยังมิมีผู้ใดสามารถทำให้ฐานะอันสูงส่งด้านการประพันธ์ของเขาสั่นคลอนได้

อีกทั้งเขายังเป็นผู้ที่มีความสามารถในด้านเศรษฐกิจ วันนี้หนังสือกั๋วฟู่ลุ่นได้ถูกเผยแพร่ไปทั่วแคว้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

มีหลากหลายแนวคิดที่เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับผู้คนส่วนใหญ่ในแคว้นหยู แต่เมื่อลองพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ล้วนแต่เป็นแนวคิดที่มีเหตุผลและหลักการ

ปัจจุบันสำนักศึกษาจี้เซี่ยได้ทำการเปิดคณะธุรกิจศึกษาและคณะภูมิปัญญาศึกษาขึ้นมา และปีนี้คณะธุรกิจศึกษาก็ได้มีบัณฑิตสนใจมาสมัครเรียนมากถึง 1,200 คน

และคณะภูมิปัญญาศึกษาก็ได้มีนักเรียนมาสมัครมากถึง 400 คน

สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาอันล้ำค่าที่ฟู่เสี่ยวกวนได้หลงเหลือเอาไว้ หลี่ชิงเฟิงได้เสนอต่อทางสำนักศึกษาจี้เซี่ยว่าให้สร้างอนุสาวรีย์เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของฟู่เสี่ยวกวนตรงจุดสิ้นสุดของถนนซูเซียง

สดุดีให้เป็นระดับเดียวกันกับองค์ทวยเทพ นี่ช่างเป็นเกียรติอย่างหาที่สุดมิได้ !

อีกทั้งวันนี้ยังได้ยินมาอีกว่ากองกำลังที่เขาได้ฝึกฝนที่ภูเขาซีซานได้ปราบกองกำลังราวแสนคนของกงเซินจ่างเสียจนแตกพ่าย พวกเขาเองก็เพิ่งได้ล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วฟู่เสี่ยวกวนมีความสามารถในการรบถึงเพียงใด !

น่าเสียดาย ช่างน่าเสียดายอย่างแท้จริง !

ชายหนุ่มผู้ที่ที่พรสวรรค์รอบด้านเหนือผู้ใดเช่นนี้กลับได้สิ้นชีพบนผืนปฐพีของราชวงศ์อู๋เสียแล้ว

หากในวันนี้เขายังคงมีชีวิตอยู่เขาก็คงจะเป็นหน้าตาให้แก่ราชวงศ์หยู และย่อมได้เป็นจักรพรรดิผู้สูงส่งและเปี่ยมไปด้วยพระปรีชาสามารถแห่งราชวงศ์อู๋ !

คงเป็นเพราะสวรรค์จงเกลียดจงชังผู้ที่มีความสามรถ…

หลังจากฝ่าบาททรงประกาศเกียรติยศและทรงพระราชทานยศในกองกำลังที่เพิ่งคว้าชัยได้สำเร็จ เยี่ยนเป่ยซีก็ได้ลุกยืนขึ้น

“กระหม่อมเห็นว่าเมื่อปัญหาโจรชุกชุมที่หย่งหนิงโจวได้ถูกแก้ไขจนเสร็จสิ้นแล้ว บัดนี้จึงเห็นเป็นการสมควรที่จะดำเนินการให้อำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้เป็นสองสถานที่ในการนำร่องนโยบายเศรษฐกิจใหม่”

“กราบทูลองค์ฝ่าบาท กระหม่อมได้ร่างกฎเกณฑ์ส่งภาษีของพื้นที่นำร่องทั้งสองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตร หากทรงเห็นชอบ ก็ขอพระองค์ทรงประกาศให้เป็นที่ทราบโดยทั่วกันด้วยเถิด”

“เวลานี้เล็งเห็นว่าการพัฒนาหย่งหนิงโจวเป็นเรื่องเร่งด่วน นโยบายการเกษตรคู่การค้านั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ของแคว้น จึงเล็งเห็นว่าต้องพิจารณาอย่างเร่งด่วนเช่นกัน ขอฝ่าบาททรงเร่งพิจารณาและลงพระปรมาภิไธยเห็นชอบ แล้วให้เหล่าราษฎรทรงทราบถึงแผนการเดินหน้าพัฒนาของทางราชสำนักโดยละเอียด มีเพียงแต่การค้ารุ่งโรจน์เท่านั้นที่จะนำความรุ่งเรืองมาสู่แคว้นได้”

ประโยคนี้ได้ถูกยกมาจากหนังสือกั๋วฟู่ลุ่น เหล่าขุนนางในท้องพระโรงทั้งหมดต่างก็เห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า ทว่าได้มีส่วนน้อยที่กลับเห็นว่าการเกษตรเป็นรากฐานของแคว้นมากกว่า ธุรกิจนั้นไร้คุณสมบัติเพียงพอที่จะมาเปรียบเทียบกับการเกษตร

เพราะสำหรับประชาชนเรื่องกินเป็นสิ่งสำคัญเทียมฟ้า ดังนั้นเหล่าขุนนางส่วนน้อยจึงได้ลุกขึ้นมาต่อต้าน

“กระหม่อมเห็นว่าเรื่องธุรกิจนี้ยังคงต้องปรึกษาหารือกันอีกพอสมควร เวลานี้ทางหย่งหนิงโจวกำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนปัจจัยขั้นพื้นฐานซึ่งนั่นก็คืออาหารและเครื่องนุ่งห่ม สิ่งที่ทางราชสำนักพึงกระทำในเวลานี้ก็คือให้พวกเขามีอาหารไว้ประทังชีวิต ส่วนเรื่องธุรกิจของพื้นที่แห่งนั้น…ยังไกลเกินความจำเป็นพ่ะย่ะค่ะ”

ประโยคนี้ได้รับการเห็นชอบโดยขุนนางบางคนที่ต้องการธำรงการเกษตรให้เป็นรากฐานของชีวิต

ฉินฮุ่ยจือได้คารวะก่อนที่จะเอ่ยออกมา “ราษฏรในที่แห่งนั้นจวนจะอดตายกันหมดแล้ว ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ข้าขอเอ่ยถามท่านหน่อยเถิดว่าชีวิตหรือเงินกันแน่ที่สำคัญ ? ”