ตอนที่ 415 ความต้องการมีหลายระดับ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 415 ความต้องการมีหลายระดับ

รถม้าคันหนึ่งได้เคลื่อนตัวช้า ๆ ท่ามกลางลมและหิมะที่พัดกระหน่ำ

ภายในรถม้าคันนั้นมีฟู่เสี่ยวกวนที่กำลังบิดขี้เกียจ เขาหันไปมองไป๋ยู่เหลียน “บัดนี้ข้าเป็นถึงผู้มีฝีมือระดับสามแล้ว เจ้ามิติดตามกองกำลังไปทำศึกที่แคว้นฮวง แต่กลับมาติดตามข้าเตร็ดเตร่ไปตามท้องนาทั้งวันเยี่ยงนี้ เจ้ามิรู้สึกเบื่อบ้างหรือ ? ”

ไป๋ยู่เหลียนยกสุราในน้ำเต้าขึ้นมาซดหนึ่งอึก จากนั้นได้ส่งต่อให้กับฟู่เสี่ยวกวน “เบื่อ ! ”

“หากว่าเบื่อแล้วเหตุใดเจ้าถึงยังตามติดข้าอยู่กัน เจ้ามิกังวลว่าเฉินป๋อจะนำกองทัพไปติดอยู่ที่แคว้นฮวงหรือเยี่ยงไร ? ”

“เหล่านายหญิงน้อยได้ฝากชีวิตเจ้าไว้กับข้า เจ้าจงเอ่ยมาว่าจะให้ข้าทำเยี่ยงไร เมื่อตอนที่ทราบข่าวว่าเจ้าตายเมื่อคราแรกนั้นทำให้เหล่านายหญิงน้อยอาลัยอาวรณ์เสียจนเกือบตรอมใจ หากว่ามีคราต่อไปอีก…เจ้าว่าข้าจะมองหน้าพวกนางได้เยี่ยงไรกัน ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนกระดกน้ำเต้าขึ้นไปดื่มหนึ่งอึก จากนั้นก็หัวเราะออกมา “สบายใจได้ กงเซินจ่างเพิ่งโดนจับตัวได้ เวลานี้ที่อำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้ย่อมมิมีขโมย”

ไป๋ยู่เหลียนขี้เกียจที่จะใส่ใจเขาอีกต่อไป เขาจึงมองไปยังเกล็ดหิมะที่กำลังร่ายระบำอยู่ด้านนอกหน้าต่างแทน

หิมะนี้นับวันยิ่งตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ ปลายยอดเขาได้ถูกหิมะย้อมจนเป็นสีขาวโพลน และในพื้นที่ใกล้ ๆ ก็เริ่มมีหิมะสะสมเป็นกองหนาเตอะ

“เจ้าว่า…ถ้าหากต้องเริ่มพัฒนาธุรกิจที่เมืองที่ขัดสนที่สุดทั้งสองเมืองนี้ก่อน ข้ากลับมีคำถามหนึ่งขึ้นมาในใจ แท้จริงแล้วสำหรับราษฎรทั่วไป ชีวิตและเงินสิ่งใดสำคัญมากกว่ากัน ? ”

“นี่เจ้าโง่หรือเยี่ยงไรกัน หากมีเงินแต่ไร้ชีวิตจะมีประโยชน์อันใด หากมีชีวิตแต่ไร้เงินตราเล่าก็จำต้องยากจนข้นแค้นดั่งที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้”

“เยี่ยงนั้นเหตุใดถึงมิพัฒนาด้านการเกษตรเสียก่อนเล่า มันเทศที่ซีซานนั่น เจ้าเคยบอกมิใช่หรือว่าพื้นที่ 1 หมู่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้มากถึง 2,500 ชั่ง ข้าคิดว่าเจ้าควรปลูกมันเทศเสียก่อน แต่เจ้ากลับสั่งการให้เตรียมการก่อสร้างโรงงาน เช่นนี้พวกเขาจะมิอดตายกันทั้งหมดหรือ”

ประจวบเหมาะที่ว่า ปัญหานี้ก็เป็นที่ถกเถียงกันอย่างดุเดือดภายในราชสำนักเช่นกัน เยี่ยนเป่ยซีและฉินฮุ่ยจือได้โต้แย้งปัญหานี้ยืดเยื้อเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ทว่า ณ รถม้าคันนี้ ฟู่เสี่ยวกวนตอบกลับไป๋ยู่เหลียนเพียงแค่สองประโยคเท่านั้น

“มีเงินก็สามารถซื้ออาหารได้ เพียงแค่โรงงานเริ่มเปิดตัวเท่านั้น พวกเขาก็จะเห็นเงินกองอยู่เบื้องหน้าในทันที แต่การเพาะปลูกนั้นเป็นไปมิได้ ถ้าจะปลูกมันเทศก็ต้องปลูกตั้งแต่เดือนสี่จนถึงเดือนสิบ ถึงเวลานี้ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวได้ เจ้าคิดว่าในช่วงเกือบหนึ่งปีพวกเขาจะใช้ชีวิตกันเยี่ยงไร ? ”

“นี่เป็นประการแรกเท่านั้น ยังมีประการที่สองอีก นโยบายการเกษตรคู่การค้าที่ขานต่อ ๆ กันมานั้น มิได้หมายความว่าพวกเราจะละทิ้งการเกษตรเลยเสียทีเดียว ข้าเล็งเห็นว่าการเกษตรสามารถทำได้ทีหลัง เอ่ยอีกอย่างก็คือ สำหรับเกษตรกรนั้น ควรให้พวกเขามีเงินทองในมือเสียก่อนแล้วจึงค่อยลงมือเพาะปลูกนั่นย่อมเป็นผลดีกว่า”

“เงินทองนั้นเป็นสิ่งสำคัญ สว่างไสวเป็นประกายระยิบระยับช่วยในการเติมเต็มความหวัง เป็นมนุษย์แค่มีความหวัง ก็ย่อมมีความคาดหวังต่ออนาคต จากนั้นถึงจะมีเป้าหมาย เมื่อมีเป้าหมายแล้ว ต่อให้ลำบากยากเย็นแสนเข็ญถึงเพียงใดก็ย่อมมีความกล้าหาญที่จะยืนหยัดสู้ต่อไป”

“เสี่ยวไป๋ มีเพียงแค่การทำให้เกษตรกรมีเงินในกระเป๋าเท่านั้น ทุกอย่างจึงดีขึ้น และนี่ก็อาจจะใช้เวลาถึง 3 ปีโดยประมาณ”

ไป๋ยู่เหลียนตั้งอกตั้งใจฟัง ตัวเขาเองนั้นเป็นทหาร มิค่อยมีความเข้าใจในเรื่องนี้เท่าใดนัก

ในความเข้าใจของเขานั้น เขาเข้าใจว่าเกษตรกรก็ย่อมต้องดูแลรักษาที่เพาะปลูกของตนไว้ให้ดีก็เพียงพอแล้ว แต่ทว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการค้าและธุรกิจนั้นเขาย่อมมิเข้าใจอย่างถ่องแท้

เมื่อได้ยินฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยเยี่ยงนี้ เขาก็พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ประมาณว่าเมื่อเกษตรกรมีเงินในกระเป๋า ต่อไปพวกเขาก็จะมีทุนไปจับจ่ายใช้สอย และเมื่อพวกเขาเริ่มใช้สอย ก็จะช่วยกระตุ้นให้การค้าขายมีการคล่องตัวมากยิ่งขึ้น หรือกระตุ้นให้ธุรกิจมีความรุ่งเรืองขึ้นนั่นเอง

“เช่นนี้ก็หมายความว่าการเกษตรและการค้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ประโยคนี้มิได้ถูกต้องเสียทั้งหมด ควรจะเอ่ยว่าทั้งสองเป็นการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน พ่อค้าต้องการอาหาร ส่วนเกษตรกรก็ต้องการของใช้ในชีวิตประจำวันเช่นนี้ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยน”

“หากเป็นมนุษย์ปกติธรรมดาคนหนึ่งก็ย่อมมีความต้องการในหลายระดับ”

“เกษตรกรในหย่งหนิงโจวทุกวันนี้ นับเป็นกลุ่มมนุษย์ที่มีความต้องการในระดับที่ต่ำที่สุด ขอเพียงแค่กินอิ่มแล้วมีเสื้อผ้าอุ่น ๆ ใส่ มีเพิงพักไว้กันลมกันหนาวก็เพียงพอแล้ว นี่คือปัจจัยขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิตของพวกเขา”

“เมื่อปัจจัยขั้นพื้นฐานของชีวิตมีครบครันแล้ว เจ้าอาจจะเข้าใจได้ว่าเมื่อปัญหาการขาดแคลนปัจจัยขั้นพื้นฐานได้ถูกแก้ไขแล้ว พวกเขาก็ย่อมปรารถนาสิ่งที่เหนือขึ้นไปยิ่งกว่า นั่นก็คือการต้องการด้านความปลอดภัย สามารถเข้าใจได้ว่าพวกเขาปรารถนาเงินเดือนที่มั่นคง และปรารถนาที่จะได้รับการปกป้อง ปรารถนาที่จะหลีกเลี่ยงจากความกลัวและความกังวล ทั้งหมดทั้งมวลนั้นหมายความว่าพวกเขาปรารถนาชีวิตที่สงบสุขไร้ซึ่งความกังวลในเรื่องปัจจัยขั้นพื้นฐานของชีวิต”

“เช่นนั้นจึงจำเป็นต้องมีงานที่มั่นคงรองรับพวกเขา ให้พวกเขาได้รับเงินเดือนที่มั่นคง จากนั้นก็มอบเม็ดพันธุ์มันเทศให้กับพวกเขานำไปทำการเพาะปลูก เพื่อที่จะทำให้แปลงเพาะปลูกของพวกเขาเป็นหลักประกันที่ทำให้สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้”

“นี่คือสิ่งที่ข้าต้องจัดการในตอนนี้ แท้ที่จริงนั้นมิได้มีเพียงแค่สองพื้นที่นี้เท่านั้น มิว่าจะเป็นซีฮวงแห่งแคว้นหยู จนไปถึงพื้นที่ทุรกันดารมากมายในแคว้นก็ย่อมเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการเยียวยาอย่างเร่งด่วน”

ใบหน้าอันหล่อเหลาของไป๋ยู่เหลียนนั้นได้แสดงความนับถือออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน เขามองฟู่เสี่ยวจนแทบจะไม่กระพริบตา เขาตั้งใจฟังสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยออกมา ซึ่งเขาก็มิเคยได้ยินจากที่ใดมาก่อนและมิเคยคิดถึงมาก่อนเสียด้วยซ้ำ ในมุมมองของไป๋ยู่เหลียนนั้น การดูแลทุกข์สุขของราษฎรถือเป็นเรื่องใหญ่

ทว่าเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ก็ได้ถูกฟู่เสี่ยวกวนใช้ภาษาที่เรียบง่ายอธิบายออกมาได้อย่างกระจ่างชัด จึงทำให้เขารู้ซึ้งในทันทีว่าเศรษฐีที่ดินผู้นี้ต้องตรากตรำเดินทางขึ้นมาทางเหนือท่ามกลางความหนาวเหน็บไปเพื่อเหตุใด

เขาปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้คนด้วยความจริงใจ !

“ในเมื่อเจ้ามีความคิดเยี่ยงนี้ หากเจ้าได้เป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ เจ้าก็จะสามารถสานความฝันที่เจ้าแบกเอาไว้ในอกได้มากกว่าหรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า “นั่นมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง เสี่ยวไป๋ เจ้าจงคิดดูเถิด หากข้าอยู่ภายใต้ราชวงศ์หยู ข้าย่อมสามารถใช้แรงกายของตนเองช่วยแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของผู้คน เจ้าคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่หรือไม่ ? ”

แท้จริงนั่นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากยิ่งนัก ไป๋ยู่เหลียนจึงได้พยักหน้าเพื่อยืนยันว่าเห็นด้วย

“แต่ถ้าหากข้าถือสถานะเป็นจักรพรรดิ ข้ามิรู้ว่าข้าต้องออกคำสั่งไปมากน้อยเพียงใด เพื่อให้ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชามากมายเหล่านั้นเข้าไปดำเนินการแทน เป็นจักรพรรดิก็จำต้องนั่งจมอยู่แต่บนบัลลังก์ทุกเมื่อเชื่อวัน ข้าจะเอาเวลาใดมาเตร็ดเตร่อยู่ท่ามกลางหิมะเยี่ยงนี้กันเล่า นี่มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ข้าจะบอกเจ้าให้ว่า ชีวิตข้าตอนนี้อยู่ในระดับที่ข้าถวิลหาอย่างถึงที่สุด”

“ความปรารถนาขั้นสูงสุด… ก็คือความปรารถนาที่จะสานความต้องการด้วยตนเอง ข้าใคร่รู้มากยิ่งนักว่าข้าจะทำได้ถึงขั้นไหน และใคร่รู้มากยิ่งนักว่าสองมือของข้าจะเปลี่ยนแปลงผืนปฐพีนี้ไปในทิศทางใด… อย่ามองข้าเยี่ยงนั้นสิ แท้ที่จริงข้านั้นมีความทระนงตนมิน้อย ให้ข้าได้โอ้อวดตนเองเสียหน่อยมิได้หรือเยี่ยงไรกัน ? ”

เจ้านี่คุยโวโอ้อวดใช้ได้เลยนี่ จะว่าไร้ยางอายก็มิได้ผิดอันใด !

ไป๋ยู่เหลียนแย่งน้ำเต้าสุรามาจากมือของฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็กระดกดื่มเข้าไปเสียหลายอึก “ไม่ ! ข้ากลับคิดว่าเจ้ากำลังหลบหนีอยู่ต่างหาก”

เขาจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนตาไม่กระพริบ แล้วจึงเอ่ยต่อด้วยความจริงจัง “เจ้าเกิดและเติบโตบนผืนปฐพีของราชวงศ์หยู ในความรู้สึกนึกคิดของเจ้า เจ้าก็คือคนของราชวงศ์หยู เป็นนายน้อยของจวนฟู่ ทว่าสถานะที่นั่นมันเปลี่ยนแปลงเร็วเสียยิ่งสายฟ้าแลบ ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าได้เกิดความต่อต้านขึ้นมาในใจ ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงคิดที่จะหนี ละทิ้งภาระนี้ให้อู๋หลิงเอ๋อร์”

“พวกเราสองคนนั้นเป็นดังพี่น้อง ข้ามิเกี่ยงว่าเจ้าจะมีสถานะห่าเหวอะไร ข้าใคร่อยากจะเอ่ยกับเจ้าสักคำ ชายชาตรีมิใช่ว่าจะมีชีวิตเพื่อตนเองเพียงเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายชาตรีผู้มากความสามารถเยี่ยงเจ้า เวลานี้เจ้าสามารถมีชีวิตเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านในผิงหลิงและชวูอี้สองอำเภอนี้ได้ แล้วเหตุใดเจ้าจึงมิอยากมีชีวิตอยู่เพื่อราษฎรแห่งราชวงศ์อู๋กันเล่า ? ”

“ข้ามิได้มีเจตนาให้เจ้าทรยศต่อแคว้นหยู แต่สิ่งที่ข้าปรารถนาจะสื่อถึงก็คือ…หากวันหนึ่งวันใดเจ้ามีโอกาสได้จับอาวุธที่มีแสนยานุภาพที่สุดของแคว้นไว้ในมือ เจ้าก็ย่อมเขียนประวัติศาสตร์หน้าที่สวยงามที่สุดออกมาได้อย่างแน่นอน”

ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปชั่วครู่ !

คำกล่าวของไป๋ยู่เหลียนนั้นก็ถูก ในฐานะดวงวิญญาณที่มาจากโลกภายนอกเยี่ยงเขา เขารู้สึกคุ้นเคยกับราชวงศ์หยูมากกว่า ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกที่จะปกป้องตนเอง เพราะรู้สึกว่าการอยู่ในที่ที่ตนคุ้นชินนั้นจะปลอดภัยยิ่งกว่า

ส่วนเรื่องการครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิพระองค์ต่อไปของราชวงศ์อู๋นั้น เดิมทีเขาเคยได้ไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนแล้วเมื่อคราที่พำนักอยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหู ทว่าหากมีโอกาสสลัดภาระนี้ทิ้งเสีย เขาก็ย่อมเลือกหนทางนี้อย่างแน่นอน

“รอให้เรื่องเหล่านี้ผ่านไปสักปีหรือสองปีค่อยมาหารือกันใหม่ พวกเราควรจัดการปัญหาที่อยู่เบื้องหน้านี้เสียก่อน”

“ปัญหาใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ไปหาจางเหวินฮั่นที่ที่ว่าการอำเภอผิงหลิง ! ”