ตอนที่ 416 มองแค่ผิวเผิน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 416 มองแค่ผิวเผิน

เวลาล่วงเลยมาถึงยามเซิน สีของท้องนภาที่เคยสว่างจ้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นมัวหมอง

รถม้าของฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียนได้มาถึงอำเภอผิงหลิงพอดี

เรื่องที่กองโจรในภูเขาผิงหลิงถูกกองกำลังดาบเทวะกำราบเสียจนสิ้นซากก็เพิ่งจะแพร่สะพัดไปเมื่อเช้านี่เอง แม้แต่ข่าวคราวที่ฝ่าบาททรงพระทานราชทานรางวัลให้ความสำเร็จของกองทัพก็ได้แพร่ไปทั่วหล้าแล้วเช่นกัน

ดาบเทวะผู้พิทักษ์แห่งแคว้นหยู !

แม้ว่ากองทัพดาบเทวะจะมีเพียงแค่ 4,000 นาย แต่กลับได้พระราชทานยศเป็นถึงดาบเทวะผู้พิทักษ์แห่งแคว้นหยู !

ก็พอจะคาดเดาได้ว่ากองทัพนี้มีแสงยานุภาพมากถึงเพียงใด

หากเป็นเมื่อก่อน เมื่อถึงเวลาย่ำพลบค่ำอำเภอผิงหลิงจะห้ามผู้คนออกนอกจวนยามวิกาล เพราะเกรงว่าจะมีพวกเศษเดนของกงเซินจ่างมาบุกปล้นสะดม

แต่บัดนี้กงเซินจ่างได้ถูกบั่นคอไปแล้ว ที่แห่งนี้ก็ย่อมเงียบสงบลงในทันที นายอำเภอก็ได้ปลดกฎเกณฑ์ที่ว่าห้ามออกจากจวนยามวิกาลออกไป อำเภอผิงหลิงจึงกลับมามีชีวิตชีวาได้เล็กน้อย

ได้แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะผู้คนที่นี่ยังคงยากจนข้นแค้นมากยิ่งนัก

เพราะหายนะที่กงเซินจ่างได้ก่อขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ที่แห่งนี้มิมีผู้ใดกล้าที่จะทำมาค้าขาย ธุรกิจน้อยใหญ่ต่าง ๆ ในอำเภอแห่งนี้ก็ทำยากมากยิ่งนัก เป็นเหตุให้เหล่าพ่อค้าห่างหายแล้วย้ายไปค้าขายที่เมืองซีเฉิงหรือเมืองหย่งหนิง

ตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียนเดินชมตั้งแต่ส่วนหัวไปจนถึงส่วนท้ายของตรอกพบว่าร้านค้าทั้งสองข้างทางของตรอกนั้นมีให้เห็นบางตามากยิ่งนัก ผู้คนที่สัญจรไปมาก็มีให้เห็นบางตาเช่นกัน

ถ้าหากนำไปเปรียบเทียบกับเมืองจินหลิง ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ราวกับเป็นโลกคนละใบ

และในที่สุดพวกเขาก็ได้เจอโรงเตี๊ยม ณ ตรอกที่ครึกครื้นที่สุดในเมืองนี้ ทำให้เจ้าของโรงเตี๊ยมดีใจเป็นอย่างมากที่ในที่สุดก็มีแขกมาพักเสียที

เจ้าของโรงเตี๊ยมเป็นสตรีรูปงามอรชรที่สวมผ้าฝ้ายได้พาพวกเขาทั้งสองขึ้นไปบนห้อง ตลอดทางนางก็ได้บ่นมิขาดปาก “ไอ้เวรตะไลกงเซินจ่าง ตอนที่ไอ้สารเลวนั่นยังมิมาที่ภูเขาผิงหลิงนะ ข้าจะบอกให้ว่าอำเภอผิงหลิงจะมิอยู่ในสภาพเฉกเช่นทุกวันนี้อย่างแน่นอน”

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามด้วยความรู้สึกสนใจ “ท่านลองเอ่ยมาสิว่าเป็นเช่นไร ? ”

“ที่ภูเขาผิงหลิงมีหมีอาศัยอยู่ชุกชุม อีกทั้งยังมีของป่านานาชนิดที่เป็นดั่งของล้ำค่าของผู้คนภายนอก เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึงในทุก ๆ เดือนจะมีนายพรานและนักหาสมุนไพรป่ามาเยือน ทำให้พ่อค้าต่างก็ทะลักมายังอำเภอแห่งนี้ ตอนนั้นครึกครื้นมากยิ่งนัก ครึกครื้นตั้งแต่เดือนสี่จนถึงกระทั่งเดือนนี้”

“ทว่านับตั้งแต่ไอ้เวรตะไลนั้นเข้ามา ธุรกิจน้อยใหญ่ต่างก็ซบเซาลงทุกวัน ข้าขอเอ่ยกับท่านทั้งสองอย่างมิปิดบัง โรงเตี๊ยมของข้าไร้ผู้ใดเข้ามาใช้บริการนานมากแล้ว แต่ก่อนที่อำเภอผิงหลิงมีโรงเตี๊ยมมากถึง 10 แห่ง แต่บัดนี้เหลือเพียงแค่ 2 แห่งเท่านั้น นอกจากของข้าแล้วก็ยังมีอีกที่ซึ่งอยู่ที่ถนนซุ่นเหอ ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้มิได้เปิดโรงเตี๊ยมเลยด้วยซ้ำ เกรงว่าจะทำต่อไปมิไหวแล้วเช่นกัน”

นางได้นำฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียนขึ้นไปยังชั้นบน จากนั้นก็เปิดห้องสองห้องออกมา “ช่างโชคดีที่สองสามวันมานี้แดดดีมากยิ่งนัก ข้าได้เปิดหน้าต่างระบายกลิ่นเหม็นอับไปบ้างแล้ว เครื่องนอนต่าง ๆ ก็เพิ่งเปลี่ยน ท่านทั้งสองจงดูเถิดว่าถูกใจหรือไม่ ? ”

เมื่อทั้งสองได้เข้าไปดูก็พบว่าห้องดูเรียบง่ายออกไปทางหยาบ ๆ แต่ก็ดูสะอาดสะอ้าน

“ได้ ! เอาห้องนี้แหละ ที่นี่มีอาหารอร่อย ๆ ให้กินบ้างหรือไม่ ? ”

“ท่านทั้งสองอยากจะลองของดีประจำอำเภอผิงหลิงหรือไม่ ? ”

“มีสิ่งใดบ้างเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม

เจ้าของโรงเตี๊ยมเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ตับหมีปรุงรส เวลานี้หมีใกล้จะกลับเข้าไปจำศีลที่ถ้ำขึ้นทุกที ได้ยินมาว่าร้านของซุนเอ้อร์นั้นล่ามาได้หนึ่งตัว หากทั้งสองท่านต้องการจะชิมประเดี๋ยวข้าจะไปซื้อมาให้”

“น่าสนใจยิ่ง อุ้งเท้าหมี อ่อ…ใช่ ! เอาอุ้งเท้าหมีย่างเพิ่มอีก 2 ที่”

ชาติภพที่แล้วมิเคยได้ลิ้มลองมาก่อน วันนี้คาดว่าจะต้องลองเสียหน่อย

“ได้…อีกอย่างเห็ดหอมตากแห้ง เห็ดหนิวกันจือและเห็ดโคนจากเขาผิงหลิงเมื่อนำมาตุ๋นกับซุปแม่ไก่นั้นเลื่องชื่อมากยิ่งนัก ทั้งสามอย่างนี่ถึงจะมีปริมาณพอสำหรับทั้งสองท่าน เพียงแต่ว่าค่าบริการนี่สิ”

“ต้องจ่ายเท่าใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“หากรวมค่าห้องแล้ว ทั้งหมดรวมเป็นเงิน 10 ตำลึง”

เมื่อไป๋ยู่เหลียนได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ “ไอหยา แพงมากยิ่งนัก ! ”

“อ่า…” เจ้าของโรงเตี๊ยมก็คิดว่าตนนั้นเรียกเก็บแพงเกินไปอย่างแท้จริง ในขณะที่คิดอยากจะลดค่าบริการนั่นเอง ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ปัดมือบอกมิเป็นไร “เอาตามนี้เถิด ขอเพียงแค่รสชาติดีก็เกินพอ อีกอย่างช่วยเตรียมน้ำร้อนมาให้กับพวกข้าทั้งสองด้วย พวกข้าทั้งสองคนต้องการจะอาบน้ำ”

เขาได้นำตั๋วเงินจำนวน 10 ตำลึงยื่นให้นาง เมื่อคิดอะไรบางอย่างได้เขาจึงได้เอ่ยถาม “นายอำเภอเป็นเยี่ยงไรบ้างหรือ ? ”

เจ้าของโรงเตี๊ยมรับตั๋วเงินมาด้วยความชอบใจ จากนั้นก็ได้เอ่ยกล่าว “นายอำเภอจางเป็นนายอำเภอที่ดีมากยิ่งนัก แต่ช่างน่าเสียดาย เกรงว่าเขาคงทำตัวให้ผู้มีอำนาจมิพอใจเข้านะสิ เลยถูกโยกย้ายให้มาบริหารพื้นที่ที่ยากจนข้นแค้นแห่งนี้ อยากจะใช้ความสามารถทางด้านบริหารก็เกรงว่าจะมิมีหวังเอาเสียเลย”

“ข้าจะจัดแจงสิ่งเหล่านี้ให้พวกท่าน เมื่อต้มน้ำเดือดแล้วข้าจะมาเรียกท่านทั้งสองไปอาบน้ำอีกที”

เมื่อนางเอ่ยจบก็ได้เดินลงไปด้านล่าง เมื่อฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าตนมิได้มีธุระอันใด ก็เลยถือโอกาสที่ท้องนภายังมิย่ำเข้าช่วงราตรีออกไปเดินเล่นด้านนอกเสียหน่อย

ดังนั้นแล้วทั้งสองคนจึงได้เดินลงมาจากห้องของตน แล้วเดินเล่นไปยังถนนที่ว่างเปล่าเส้นนี้

อำเภอผิงหลิงนั้นมิได้ใหญ่โตมากนัก มีถนนสองเส้นมาเกี่ยวคาบกันเป็นสี่แยก และที่ว่าการอำเภอก็อยู่ตรงสี่แยกนี้

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียนได้เดินมาถึงสี่แยกแห่งนี้ก็ได้มีม้าท่าทีสง่างามตัวหนึ่งวิ่งมาหยุดตรงที่แห่งนี้เข้าพอดิบพอดี

จากนั้นจึงได้เห็นสตรีท่าทีองอาจในชุดสีขาวพร้อมกับหมวกไม้ไผ่ได้ลงมาจากหลังม้าตัวนั้นและบนหลังของนางได้สะพายกระบี่ด้ามยาวไว้ สตรีนางนั้นได้ถอดหมวกออก เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเห็นว่านางเป็นผู้ใด เขาจึงรู้สึกตกใจทันพลัน และในขณะเดียวกันสตรีผู้นั้นก็หันมาเห็นฟู่เสี่ยวกวนเช่นเดียวกัน

ฟู่เสี่ยวกวนได้เบนหน้าหนีไปทางอื่น เขามิได้พกหน้ากากอำพรางตนมาด้วย เพราะที่แห่งนี้นอกจากจางเหวินฮั่นแล้ว ก็มิมีผู้ใดหน้าไหนรู้จักเขาอีก

ทว่าเขากลับคาดมิถึงว่าสตรีผู้นั้นก็คือน้องสาวของจางเหวินฮั่น…จางเพ่ยเอ๋อร์ !

ใบหน้าของนางได้ติดตรึงอยู่ในใจของเขามิเคยลืมเลือน เมื่อคราก่อนทั้งสองได้พบพานกันที่เมืองหลินเจียง ทั้งสองได้นั่งร่วมกันบนรถม้า จากนั้นก็ประจันหน้าสนทนากันราวครึ่งค่อนวัน

บัดนี้คิ้วของจางเพ่ยเอ๋อร์ได้ขมวดเป็นปม นางได้มองเห็นเพียงแค่ด้านข้างของใบหน้าชายหนุ่มเพียงเท่านั้น แต่กลับรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเสียเหลือเกิน ดูเหมือนว่าจะเป็นฟู่เสี่ยวกวน หรือว่านางจะจินตนาการไปเองเยี่ยงนั้นหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนได้ตายในโศกนาฏกรรมที่ภูเขาหิมะเมื่อมิกี่เดือนก่อน และได้ฝังศพไว้ที่จายซิงถาย เหตุใดเขาถึงได้ปรากฏตัวที่แดนเถื่อนแห่งนี้กัน ?

นางขยี้ตาเพื่อปรับสายตาให้ชัดเจนขึ้น แต่สองคนนั้นก็ได้เดินออกไปไกลแล้ว นางลองคิดดูอีกครา จึงได้ข้อสรุปว่าชายหนุ่มผู้นั้นย่อมมิใช่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่

นางมาที่นี่เพื่อมาหาพี่ชายของนาง เพราะได้ยินท่านพ่อกล่าวว่าพี่ชายของนางใช้ชีวิตที่นี่มิได้เรียบง่ายเท่าใดนัก นางจึงอยากมาให้เห็นกับตาว่าจะลำบากถึงเพียงใด

เมื่อได้เห็นสภาพของอำเภอผิงหลิงแล้ว นางจึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าพี่ชายของนางนั้นตกระกำลำบากมากถึงเพียงใด

เมื่อนางได้ย่างกรายเข้าไปในที่ว่าการอำเภอ ฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู้เหลียนก็ได้กลับไปถึงโรงเตี๊ยมพอดี

“สาวคนสนิทเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“สนิทกับน้องสาวเจ้าสิ ! ”

“หากข้ามีน้องสาวก็อยากให้สนิทกับเจ้าอยู่หรอก ! ”

“ไสหัวไป…นั่นมันจางเพ่ยเอ๋อร์ลูกสาวของจางจี้พ่อค้าผ้าแห่งเมืองหลินเจียง”

เมื่อไป๋ยู่เหลียนได้ยินเช่นนั้นก็คลับคล้ายคลับคลาเหมือนว่าจะเคยได้ยินเรื่องราวของนางมาก่อน เขาหันหน้าไปมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยความตกตะลึง “ไม่สิ ! จางเพ่ยเอ๋อร์มิใช่ว่ากระโดดน้ำฆ่าตัวตายเพราะดันไปชอบพอชายหนุ่มผู้ไร้หัวใจมิใช่หรือ ? ”

“ไสหัวไป ! ข้ามิใช่ชายหนุ่มผู้ไร้หัวใจที่เจ้าหมายถึงเสียหน่อย จริงเสียที่นางพยายามกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย แต่เกรงว่านางคงถูกช่วยชีวิตมาได้ แล้วดูกระบี่ที่นางแบกไว้ที่หลังสิ หรือว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานางได้ไปฝึกวิชากระบี่มาจนสำเร็จแล้ว ? ”

“เจ้าแน่ใจหรือว่ามิได้มองผิดไป ? ”

“จะผิดได้เยี่ยงไรกัน ตัวพี่ชายผู้นี้เดินผ่านบุปผาชาติมานานาชนิด แม้มิเคยคิดที่จะยุ่งกับพวกนางเลยสักครา แต่พวกนางก็ได้สถิตอยู่ในดวงใจของพี่ชาย พี่ชายมิอาจจำผิดไปได้อย่างแน่นอน ! ”

ไป๋ยู่เหลียนกลอกตาใส่ฟู่เสี่ยวกวน เขาคิดในใจว่าฟู่เสี่ยวกวนก็ทำได้เพียงแค่คิดแต่มิกล้าลงมือทำจริงน่ะสิ !

“มิใช่ว่าเจ้าต้องการเข้าพบจางเหวินฮั่นหรอกหรือ ? ”

“เสี่ยวไป๋ วันพรุ่งเจ้าจงไปพบจางเหวินฮั่นแทนข้า ประเดี๋ยวข้าจะอธิบายทุกอย่างให้เจ้าฟังอย่างละเอียดตอนกินมื้อค่ำ”

“ข้ามิไป ! ”

“เสี่ยวไป๋ พวกเรายังเป็นพี่น้องกันอยู่ใช่หรือไม่ ? ”

“พี่น้องที่เจ้าหมายถึงคือมีไว้ให้เจ้าฝากคำกล่าวเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนตบบ่าของไป๋ยู่เหลียนเสียงดัง “ไม่…พี่น้องมิได้มีไว้ฝากคำกล่าวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มีไว้ให้ฝากส่งจดหมายอีกต่างหาก”

“ไสหัวไปให้พ้น… ! ”