DC บทที่ 255: ประสิทธิภาพของหญ้าเงินเจ็ดใบ

 

ทั้งโหลวหลานจีและฟางซีหลานปิดหูเมื่อเซียวไป่คำราม รู้สึกเหมือนกับว่าโลกทั้งโลกสั่นสะเทือนในเวลานั้น

 

“เซียวไป่ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า” ฟางซีหลานร้องตะโกน รู้สึกค่อนข้างกลัวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบรรยากาศในที่นั้นพลันเปลี่ยนเป็นน่าหวาดกลัว รู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นช่วงเวลาตัดสินความเป็นตาย

 

อย่างไรก็ตามเซียวไป่ไม่สนใจฟางซีหลานและยังคงคำรามอย่างต่อเนื่อง ดวงตาของเธอเปล่งแสงสีเงิน ขนสีขาวของเธอตั้งตรงราวกับแมวที่กำลังหวาดกลัว

 

ในเวลานั้นซูหยางหันไปมองยังทิศทางบ้านของฟางซีหลานและคิดในใจ “ข้าลืมเตือนเธอว่าเสือหิมะจะเกิดความเร่าร้อนขึ้นเล็กน้อยหลังจากกินหญ้าเงินเจ็ดใบ…โอ ช่างเถอะ”

 

หลังจากยักไหล่แล้วซูหยางก็เดินกลับไปยังที่พักของตนเองต่อไป สิ่งที่เกิดขึ้นกับเซียวไป่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไปแต่เป็นปัญหาของฟางซีหลานที่ต้องจัดการ

 

ภายในที่พักของฟางซีหลาน เซียวไป่ค่อยคืนกลับสู่สภาพปกติหลังจากคำรามอีกสองสามครั้ง หลังจากกินหญ้าเงิน เธอก็แค่รู้สึกอยากปลดปล่อยพลังส่วนเกินออกจากร่างเพราะว่าพลังปราณไร้ลักษณ์ในหญ้าเงินเจ็ดใบทำให้ร่างกายของเธอรู้สึกเร่าร้อนมากขึ้นเล็กน้อย

 

“ซ-เซียวไป่…เจ้าใจเย็นลงแล้วหรือยัง” ฟางซีหลานพูดด้วยหัวกระเซิง รู้สึกเหมือนว่าเธอเพิ่งลุกออกมาจากเตียงหลังจากค่ำคืนอันเลวร้าย

 

เซียงไป่พยักหน้าด้วยสีหน้าสดชื่น

 

“เกิดอะไรขึ้นเมื่อกี้นี้” โหลวหลานจีอดที่มองดูเซียวไป่ด้วยสีหน้าประหลาดใจไม่ได้

 

การที่มันมีพลังการฝึกปรืออยู่เพียงอยู่ในเขตปฐมวิญญาณและสามารถเป็นเหตุให้ผู้กล้าเขตปฐพีวิญญาณเช่นเธอรู้สึกกดดันได้ พลังอำนาจของวิญญาณพิทักษ์ช่างลึกล้ำและยากต่อกรด้วยอย่างแท้จริง

 

อย่างไรก็ตามนี่ยิ่งทำให้โหลวหลานจีตื่นเต้นไปกับอนาคตของเซียวไป่ยามเมื่อมันเติบโตเต็มที่

 

“ข้ามิรู้ นี่ก็เป็นครั้งแรกของข้าที่เห็นเธอเป็นเช่นนี้” ฟางซีหลานกล่าว

 

หลังจากครุ่นคิดไปชั่ววินาที เธอก็พูดต่อว่า “บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเธอกินหญ้าเงิน ปริมาณปราณไร้ลักษณ์ที่เธอปล่อยออกมาเมื่อกี้มากกว่าตอนที่เธอเคยปลดปล่อยตามปกติ”

 

โหลวหลานจีกลืนน้ำลาย เธอพึมพัมออกมาโดยไม่รู้ตัว “จะเป็นอย่างไรถ้ามนุษย์เรากินหญ้าเงินเจ็ดใบบ้าง”

 

ฟางซีหลานได้ยินเสียงกระซิบของอีกฝ่ายและตอบว่า “ข้าได้ถามคำถามเดียวกัน แต่ซูหยางเตือนข้าว่ามนุษย์เราไม่สามารถกินมันได้นอกจากว่าพวกเขาอยากตาย”

 

“ย-อย่างนั้นรึ…”

 

ครั้งเมื่อสถานที่นั้นเงียบลงแล้ว ฟางซีหลานก็เข้าไปตรวจสภาพร่างกายของเซียวไป่

 

“เจ้านิกาย พลังการฝึกปรือของเซียวไป่ได้ถึงเขตคัมภีร์วิญญาณแล้ว เธอได้ก้าวข้ามไปเมื่อกี้ และเธอก้าวไปได้ถึงระดับสามเขตคัมภีร์วิญญาณ”

 

ฟางซีหลานประกาศออกมาอย่างมีความสุข

 

“จริงรึ นั่นช่างเป็นข่าวใหญ่” ใบหน้าโหลวหลานจีก็ฉายไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ยินข่าว

 

“หญ้าเงินเจ็ดใบนี้ช่างมีผลลัพธ์ที่ไม่น่าเชื่อ…ข้ายังคงรู้สึกยากที่จะเชื่อว่าหญ้าใบเดียวจะสามารถเพิ่มพลังเซียวไป่จากระดับสูงสุดของเขตปฐมวิญญาณไปเป็นระดับสามเขตคัมภีร์วิญญาณในขณะที่แก่นพลังสัตว์อสูรหลายสิบใบยังยากที่จะเติมท้องของเธอได้”

 

“ซูหยางคนนี้…เมื่อคิดว่าเขาสามารถสร้างสิ่งอื่นขึ้นมาได้นอกจากน้ำมันรัญจวนที่มีผลล้ำลึกปานนั้น…ไม่ว่าใครก็ต้องคิดสงสัยว่าเขามีไม้ตายอะไรซุกซ่อนอยู่อีก” โหลวหลานจีแอบถอนหายใจ

 

หลังจากที่เห็นเซียวไป่เพิ่มพลังอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งโหลวหลานจีและฟางซีหลานไม่ได้มีเสี้ยวของความสงสัยถึงการที่เซียวไป่จะเติบโตเต็มวัยภายในเวลาเดือนเดียวอีก

 

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าประสิทธิภาพของหญ้าเงินเจ็ดใบย่อมเป็นความสามารถของซูหยางที่สามารถเพาะปลูกทรัพยากรเช่นนั้น

 

ความสามารถของเขาที่สามารถอธิบายได้เพียงว่าท้าทายสวรรค์ทำให้โหลวหลานจีครุ่นคิดความหมายของชีวิตในเมื่อทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขาท้าทายความรู้และความคาดหมายของเธอ

 

“เริ่มจากที่เขาเอาชีวิตรอดจากการกินดอกหยางพิสุทธิ์…หลังจากนั้นพลังการฝึกปรือของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว…กลเม็ดระดับเทพเจ้า และตอนนี้เขาเป็นนักปรุงยาที่มีความสามารถสุดจะหยั่ง…”

 

ทุกสิ่งเกี่ยวกับซูหยางทำให้โหลวหลานจีคิดว่าเขาเป็นผู้เก่งกล้ามากประสบการณ์แทนที่จะเป็นเด็กหนุ่มที่มีอายุและประสบการณ์เพียง 16 ปี ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ที่คนอายุ 16 ปีจะรู้หลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องใช้เวลาหลายร้อยหลายพันปีเพื่อที่จะเชี่ยวชาญมัน

 

ตามจริง โหลวหลานจีได้เริ่มเชื่อว่าซูหยางอาจจะเป็นนักปรุงยาผู้ทรงอำนาจอย่างไม่น่าเชื่อที่กลับมาเกิด คนที่ได้ลิ้มลองหญิงมามากมายในชีวิตก่อน

 

“ซูหยางได้พูดอะไรก่อนจากไปหรือไม่” โหลวหลานจีตัดสินใจถามฟางซีหลาน

 

“…”

 

ฟางซีหลานอ้าปากแต่ก็หุบลงทันควัน เกือบเปิดเผยพลังการฝึกปรือของซูหยางที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณออกไป

 

“เจ้านิกายได้รู้ถึงพลังการฝึกปรือของเขาหรือยัง…”

 

“ศิษย์ฟาง” โหลวหลานจีเลิกคิ้วหลังจากที่ฟางซีหลานยังคงเงียบไปชั่วขณะ

 

หลังจากครุ่นคิดไปชั่วขณะ ฟางซีหลานก็ตัดสินใจเก็บซ่อนความจริงที่ว่าซูหยางได้ถึงเขตปฐพีวิญญาณในขณะที่ยังเป็นศิษย์ในไว้เป็นความลับ บางสิ่งจะดีกว่าถ้าเก็บไว้โดยไม่พูดถึง

 

“นอกจากขอให้ข้าร่วมฝึกวิชากับเขา เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก”

 

สุดท้ายฟางซีหลานก็พูดขึ้น

 

“อะไรกัน ซูหยางชวนเจ้าให้ร่วมฝึกกับเขารึ เจ้าตอบว่าอย่างไร”

 

ปกติแล้วโหลวหลานจีย่อมไม่รบกวนกับธุระอะไรแบบนั้น แต่เมื่อใช้ซูหยางเป็นหัวข้อ เธอก็อดถามไม่ได้

 

ฟางซีหลานพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าตกลง เราจักพบกันที่ห้องสวีทแห่งศลิษาสี่วันนับจากนี้”

 

“อย่างนั้นรึ…”

 

“ท่านเจ้านิกายคุ้นเคยกับเขาหรือเปล่า หากเป็นเช่นนั้นท่านสามารถพูดเกี่ยวกับเขาให้ข้าฟังมากกว่านี้” ฟางซีหลานพลันถาม

 

“อะไรกันนี่ ศิษย์ฟางของเราเกิดความสนใจศิษย์ในธรรมดาจริงรึ ดีล่ะข้าจะบอกเจ้าทั้งหมดเกี่ยวกับคนเจ้าอุบายและนิสัยเสียคนนี้…”

 

โหลวหลานจีเริ่มพูดจาใส่ร้ายป้ายสีเกี่ยวกับซูหยาง พูดถึงว่าเขามักจะหยิ่งยะโสและวางแผนอย่างโน้นอย่างนี้อย่างไร

 

ฟางซีหลานนั่งฟังอยู่ที่นั่นและเธอก็อดสังเกตไม่ได้ว่าโหลวลานจีดูท่าทางมีชีวิตชีวาเมื่อพูดถึงซูหยางแม้ว่าจะพูดไม่ดีใส่เขา ราวกับว่าเธอพูดเกี่ยวกับคนรักเก่าอะไรแบบนั้น