บทที่ 215 ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

“ในเมื่อฉันกล้าบุกเข้ามาในคฤหาสน์ของแก งั้นแกคิดว่าฉันยังกังวลว่าจะผิดหรือไม่ผิดกฎหมายปัญหานี้อยู่เหรอ?”

มองเกาหยุนเสียงที่อยู่ตรงหน้าตกใจจนตึงแน่นไปทั้งตัว เย่เทียนก็แสยะปากเหยียดหยาม

มีความห้าวหาญอันนี้ยังกล้าเล่นละครฮุบทรัพย์สินบริษัทออกมาด้วย ทำให้คนยากจะจินตนาการได้จริงๆ !

เกาหยุนเสียงได้ยินแล้ว รู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง

เขตคฤหาสน์ทางนี้ที่พักอยู่ล้วนเป็นบุคคลร่ำรวยสูงส่ง ด้านการรักษาความปลอดภัยจึงต้องมีความเข้มงวดมากแน่

เพียงแต่ ผู้มาเยือนกลับยังคงเข้ามาได้อย่างสบายๆ แม้กระทั่งนำมีดมาจี้ที่คอของตนเองด้วย จะเป็นพวกธรรมดาได้งั้นเหรอ?

ทันใดนั้น ในหัวสมองของเกาหยุนเสียงมีภาพของศัตรูหลายคนแวบผ่านไปติดๆ กัน แต่ไม่นานกลับเลือนหายไปทั้งหมด

ในบรรดาศัตรูของเขา ไม่มีใครสามารถจ้างนักฆ่าที่ครอบครองความสามารถเช่นนี้ได้!

แน่นอนว่า ไม่ใช่พวกเขาไม่มีเงินจ้าง แต่ว่าเดิมทีไม่มีความจำเป็น

วงการค้าขายเหมือนสนามรบ ก่อนหน้าที่ไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถกำจัดฝ่ายตรงข้ามได้สิ้นซาก ไม่ว่านักธุรกิจคนใดจะไม่ทำเรื่องล่วงเกินคนอื่นเป็นอันขาด

คนชั่วเมื่อหมดหนทางย่อมไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น ใครจะรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะถูกบีบจนร้อนใจทำเรื่องบ้าคลั่งอะไรออกมาได้บ้าง?

“สรุปเป็นใครส่งแกมา?”

เกาหยุนเสียงหันหน้าเข้ามากะทันหัน มองใบหน้าของเย่เทียนชัดๆ ชั่วขณะนั้นก็ตะลึง “แกเองเหรอ? แกมาทำอะไร!”

ถึงแม้เมื่อก่อนหน้านี้ที่บริษัทตระกูลเฉิน เย่เทียนจะวางตัวน่าเกรงขามใหญ่โตปรากฏตัวขึ้นเหมือนกัน แต่เวลานี้กลับเพิ่มแรงอาฆาตแค้นดุร้ายมาอีกระดับหนึ่ง ทำให้เกาหยุนเสียงเดิมทีไม่กล้าบุ่มบ่าม

เจตนาสังหารที่ไม่ได้เสแสร้งสักนิดแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่จงใจสร้างออกมาได้เด็ดขาด!

ปากเกาหยุนเสียงเต็มไปด้วยความขมขื่น นึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าเย่เทียนที่ภายนอกเล่าลือว่าขี้ขลาดตาขาวจะตรงกันข้ามกัน เก่งกาจถึงขั้นสุดยอดเลยทีเดียว!

“แกคิดว่าไงล่ะ?”

เย่เทียนย้ายมีดเล็กที่จี้บนคอเกาหยุนเสียงออก นั่งลงมาบนโซฟาด้านข้างแบบไม่เกรงใจสักนิด เหมือนยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้มมองเกาหยุนเสียงอยู่

สีหน้าของเกาหยุนเสียงอารมณ์ไม่แน่นอน เอื้อมไปหยิบมือถือบนโต๊ะเข้ามา พูดข่มขู่ “ฉันให้เวลาแกสามวินาที ถ้าแกไม่ออกไป ฉันจะเรียกยามแล้วนะ!”

“เรียกยามไม่สนุกเท่าไร ไม่สู้เรียกตำรวจมาเลยล่ะ?”

เย่เทียนส่ายหน้าเล็กน้อย อมยิ้มบอกว่า “แกทายเอาไว้ว่าเป็นแกจะโดนขังนานกว่า? หรือฉันโดนขังนานกว่ากัน?”

เกาหยุนเสียงได้ยินดังนั้น ชั่วพริบตาเดียวสีหน้าเปลี่ยนไปดูแย่ขึ้นมา ฝืนพูดว่า “นี่คือแกหมายความว่าอะไร? แกบุกเข้าคฤหาสน์ฉันมายังมีเหตุผลอยู่เหรอ?”

“ฉันมีเวลาจำกัด ไม่ว่างมาเล่นแผนการร้ายซ่อนเงื่อนงำพวกนั้นกับแกหรอก”

เย่เทียนพูดอย่างหมดความอดทน “พวกเรามาคุยกันแบบตรงไปตรงมาดีกว่า! ในเมื่อฉันรู้เรื่องของจางเจี้ยถัง งั้นฉันต้องรู้ดีว่าแกก็เข้าร่วมด้วยเหมือนกัน”

เกาหยุนเสียงตะลึง ไม่นานจึงได้สติกลับมา ถามอย่างงุนงง “ในเมื่อแกรู้ดี ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่พูดออกมา?”

โดยเฉพาะเขาคาดคะเนถึงสถานการณ์แบบนี้ได้แต่แรกแล้ว ความสามารถในการยอมรับก็ยิ่งง่ายแน่นอน

“แกควรขอบคุณจริงๆ ที่น้องสาวแกแต่งเข้าตระกูลเฉิน”

เย่เทียนมองเกาหยุนเสียงตรงๆ สายตาชำเลืองมองขวดเหล้าที่ระเกะระกะบนโต๊ะ และบนพื้น อมยิ้มบอกว่า “จากความเข้าใจของฉันที่มีต่อน้องสาวแก ด้วยนิสัยไม่ฟังเหตุผลนั้นของหล่อน ถ้าแกโดนขังเข้าไป จะต้องร้องห่มร้องไห้ไปขอร้องท่านปู่เฉินให้ช่วยเหลือแน่”

“เชื่อว่าแกก็น่าจะรู้สุขภาพของท่านปู่เฉินดี ฉันไม่อยากให้ท่านปู่เฉินโดนน้องสาวแกก่อกวนจนนอนไม่หลับ”

เกาหยุนเสียงเงียบงันลงมาในชั่วขณะนั้น

สำหรับนิสัยของเกาหย่าหยุน เขาในฐานะพี่ชายย่อมรู้ชัดเป็นธรรมดา เข้าใจว่าที่เย่เทียนพูดมาไม่มีผิด

ครุ่นคิดพักหนึ่ง เกาหยุนเสียงจึงฝืนฉีกรอยยิ้มออกมา “ฉันเชื่อว่าแกมาหาฉันน่าจะคงไม่ธรรมดาขนาดนี้หรอกมั้ง?”

“พูดจากับคนฉลาดก็สะดวกดี”

เย่เทียนหัวเราะนิดหน่อย “ข้อแรก เอาเงินทองของบริษัทตระกูลเฉินที่แกฮุบไปหลายปีนี้คายออกมาให้หมด ข้อสอง โอนหุ้นของแกให้เฉินหวั่นชิงโดยไม่มีการตอบแทนใดๆ ข้อสาม ฉันไม่อยากเห็นหน้าแกที่เจียงหนัน!”

“เป็นไปไม่ได้!”

เพียงแค่ คำพูดของเย่เทียนเพิ่งจบลง เกาหยุนเสียงรีบปฏิเสธทันที “ข้อแรกฉันสามารถรับปากได้ แต่ข้อสอง และข้อสามขอโทษด้วยที่ฉันรับปากไม่ได้!”

โดยเฉพาะเขาเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทตระกูลเฉิน สำหรับเรื่องราวของบริษัทตระกูลเฉินยังเข้าใจอยู่มาก ย่อมรู้ชัดเจนถึงเรื่องที่บริษัทตระกูลเฉินศึกษาวิจัยยาชีวภาพเป็นธรรมดา

ต้องรู้ว่า นี่คือธุรกิจที่ทางฝ่ายทหารอยากร่วมงานด้วย อนาคตสดใสไร้ขีดจำกัดแน่นอน ถึงตอนนั้นหุ้นของบริษัทตระกูลเฉินนั่นจะไม่พุ่งกระฉูดขึ้นเหรอ?

อย่าพูดถึงว่าโอนให้ฟรีเลย แม้แต่ขายออกตามราคาตลาดในตอนนี้ เขาล้วนไม่อาจจะขายได้

สำหรับออกไปจากเจียงหนัน นั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ตระกูลเกานั้นคือกิจการภายในเมืองโดยแบบฉบับ นอกจากเมืองเจียงหนันเดิมทีไม่มีอสังหาริมทรัพย์อื่นอีก ใครจะโง่สละสิทธิ์กิจการพื้นฐานที่ต่อสู้มาหลายปี ไปเติบโตที่เมืองแปลกหน้าใหม่เพราะเหตุนี้อีกล่ะ?

“แกควรรู้ว่า นี่ฉันไม่ได้กำลังปรึกษา แกไม่มีที่ว่างใดให้ปฏิเสธ!”

เย่เทียนหัวเราะเยาะเย้ย “ถึงแม้ฉันจะกังวลต่อปัญหาสุขภาพของท่านปู่เฉิน แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่มีวิธีสักนิด”

“อย่างมากฉันก็แค่ใช้เหตุผลรักษาโรคให้ท่านปู่เฉิน ให้หวั่นชิงส่งท่านปู่เฉินไปต่างประเทศ ต่อให้น้องสาวแกตามเข้าไป เกรงว่าเวลานั้นแกคงเข้าไปนอนในคุกตั้งนานแล้ว!”

“แก……” เกาหยุนเสียงโกรธจัด

“ทำเรื่องผิดแล้ว งั้นก็จำเป็นต้องชดใช้กรรมสิ!”

เย่เทียนจ้องเกาหยุนเสียงอย่างไร้อารมณ์ พูดจาเย็นชา “ในเมื่อวันนี้แกกล้าบีบบังคับหวั่นชิงให้มอบอำนาจ งั้นฉันคงจะไม่อาจปล่อยแกไว้ที่บริษัทตระกูลเฉินได้ ใครจะรู้ว่าจะมีครั้งต่อไปอีกรึเปล่า!”

“แกไม่ต้องสงสัยคำพูดของฉัน แม้แต่จางเจี้ยถังและเฉินหยัง ฉันยังไม่ไว้หน้า แกคิดว่าทำไมฉันต้องเมตตาแกเป็นพิเศษด้วย?”

“ผิดใจผู้หญิงของฉันเข้า การชดใช้แค่นี้ถือว่าเบาแล้วนะ!”

ระหว่างที่พูด เย่เทียนหมุนมีดพกในมือ เปล่งประกายแสงหนาวเหน็บดุเดือดออกมาครู่หนึ่ง ความหมายคุกคามในนั้นเป็นที่กระจ่างแจ้ง

เกาหยุนเสียงหดคอโดยจิตใต้สำนึก สีหน้าระทมทุกข์เต็มที่

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ เดิมทีเขาคงไม่เชื่อคำพูดของเย่เทียน แต่ผ่านเรื่องราวเมื่อช่วงสายมา เขายังกล้าไม่เชื่อได้ที่ไหน?

โยนปากกาด้ามหนึ่งออกไปอย่างสบายๆ ก็เสียบผ่านฝ่ามือของจางเจี้ยถังเอาดื้อๆ แล้ว ความสามารถแบบนี้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปจะครอบครองไว้ได้!

เย่เทียนที่สังเกตการกระทำของเกาหยุนเสียงตลอดเวลาจะมองไม่ออกที่ไหนว่าเขาประนีประนอมแล้ว จึงล้วงสัญญาโอนหุ้นที่เตรียมไว้เรียบร้อยตั้งแต่แรกฉบับหนึ่งออกมาจากในหน้าอกอย่างไม่รีบร้อน

“ถ้าแกยังอยากใช้ชีวิตบั้นปลายดีๆ หน่อย ก็เซ็นสัญญาฉบับนี้อย่างเชื่อฟัง!”

ระหว่างที่พูด เย่เทียนโยนสัญญาเข้าไปแบบสบายๆ

เกาหยุนเสียงเงียบงันถึงที่สุด มองสัญญาตรงหน้าแบบตกตะลึงขนาดนี้

เย่เทียนไม่ได้เร่งรีบ เหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มจ้องมองเขาอยู่

หลังจากนิ่งไปเกือบครึ่งนาที ในที่สุดเกาหยุนเสียงทอดถอนใจทีหนึ่ง หยิบสัญญาเข้ามากวาดตาอ่านคร่าวๆ รอบหนึ่ง หลังมั่นใจว่าเป็นเพียงสัญญาที่โอนหุ้นของบริษัทตระกูลเฉิน จึงเซ็นชื่อจริงลงแล้ว

“ฉันบอกแล้วว่าแกเป็นคนฉลาด”

เย่เทียนเก็บสัญญากลับมาอย่างพึงพอใจ ลุกขึ้นบอกว่า “ฉันให้เวลาจางเจี้ยถังออกไปแค่สามวัน ฉันสามารถเพิ่มให้แกได้อีกสี่วัน ภายในหนึ่งอาทิตย์ฉันหวังว่าจะได้ยินข่าวแกไปจากเจียงหนันแล้ว!”

ระหว่างพูดจา เย่เทียนลุกขึ้นยืน มีเสียงครืดและกระโดดลงไปจากหน้าต่าง

ข่าวนี้ทำให้เกาหยุนเสียงตกใจค้างถึงที่สุด ตั้งนานถึงได้สติเข้ามา บ่นพึมพำอย่างขมขื่น “เย่เทียนหนอเย่เทียน นึกไม่ถึงจริงๆ ว่านายจะเก็บซ่อนไว้ลึกขนาดนั้น……