ฟรานซ์มีความรู้สึกที่เต็มไปด้วยอารมณ์ “ข้าต้องใช้แรงงาน อย่างหนัก… แล้วก็ต้องศึกษาดนตรีและการประพันธ์เพลงตลอดทั้งคืน ไม่นาน ร่างกายก็อ่อนแอลง สภาพจิตใจก็ไม่เป็นสุข ข้าไม่มีสมาธิ คนรอบตัวก็บอกกับข้าว่าเดินอย่างกับศพ มีแต่คนบอกให้ข้าเลิกเล่นดนตรี แม้พวกเขาจะรู้ว่าเพลงของข้าไม่ได้แย่เลย… ข้าเองก็รู้ดี ข้าไม่อาจหาเลี้ยงปากท้องแม่ น้องสาวและน้องชายด้วยดนตรี ชีวิตข้าเต็มไปด้วยความกดดัน… เหนื่อยสายตัวแทบขาดในแต่ละวัน ข้ากำลังจะล้มเลิกความฝัน เพราะข้าไม่อาจอยู่โดยเห็นแก่ตัว ข้ายังมีครอบครัว”

น้ำเสียงของฟรานซ์ราวกับว่าเขากำลังจะร้องไห้ นักดนตรีและผู้ศึกษาดนตรีที่อยู่ในโรงละครต่างรู้สึกเหมือนกัน พวกเขารู้ดีว่าเส้นทางนักดนตรียากเพียงไหน ไหนจะแรงกดดันที่ต้องเผชิญอีกมากมาย นักดนตรีต่างต้องเผชิญกับความเหน็ดเหนื่อยไม่ได้หยุดหย่อนตลอดเวลา เฝ้ารอวันที่ความสามารถจะถูกเปิดเผยออกมา

แน่นอน พวกเขาต้องยอมรับว่าความยากลำบากในชีวิตที่เผชิญยังเทียบไม่ได้กับความเหนื่อยยากของฟรานซ์ ฉะนั้น ทุกคนต่างรู้สึกว่าต้องมุ่งมั่นทำงานหนักและยึดมั่นในความฝันยิ่งกว่าเดิม จนกว่าวันหนึ่งจะมีโอกาสได้ยืนอยู่บนเวทีเหมือนฟรานซ์

ในความคิดของคนฟัง ฟรานซ์ หลังจากแสดงทักษะการเล่นเปียโนอันยอดเยี่ยม และได้รับคำชมจากอีวานส์ ก็กลายเป็นนักดนตรีที่ประสบความสำเร็จแล้ว ความสนอกสนใจที่ฟรานซ์ได้รับในตอนนี้เปรียบเทียบได้กับตอนที่อีวานส์ได้รับคำชมจากคริสโตเฟอร์มากมายเช่นกัน

เมื่อมองที่ชายหนุ่มบนเวที ลูเซียนก็รู้สึกประทับใจเช่นกัน หากเขาไม่ลงทุนเสี่ยงชีวิตในการพัฒนาพลังวิญญาณ และทำให้ความทรงจำก็มีศักยภาพมากขึ้น ถึงแม้เขาจะมีห้องสมุดห้วงจิต ลูเซียนก็ยังเผชิญปัญหามากมายในการศึกษาดนตรีในสมัยนั้น หากไม่มีพื้นฐานความรู้ทฤษฎีดนตรีที่เหมาะสม แม้ลูเซียนจะมีผลงานบทประพันธ์ชิ้นเอกในห้องสมุดห้วงจิตก็ตาม เขาก็คงไม่กล้านำเสนอบทเพลงเหล่านั้นสู่สาธารณะ

ฟรานซ์อธิบายต่อ “สมัยที่ข้าคิดจะล้มเลิกความฝันด้านดนตรี ข้าตัดสินใจไปที่การแสดงเล็กๆ แห่งหนึ่งเพื่อบอกลาอาชีพที่ข้ารัก แต่ว่า นั่นเป็นการบั่นทอนความรักต่อดนตรี ตอนข้ากำลังดูการแสดง หัวใจของข้าตกอยู่ในภวังค์แห่งซิมโฟนี โซนาตา และคอนแชร์โต จนได้รู้ว่าความหมายของชีวิตของข้ามีเพียงดนตรี ชีวิตตอนนั้นมีแต่ความเจ็บปวด ข้าเกือบจะเลิกอยู่แล้ว แต่… ตอนนั้นเอง ข้าก็ได้ฟังท่อนเปิดของ ‘ซิมโฟนีแห่งชะตาชีวิต’ อันงดงาม! ท่วงทำนองและความรวดเร็วอันหนักแน่นเกาะกินหัวใจข้า เหมือนกับภาระอันหนักอึ้งที่แบกไว้ในชีวิต แต่ในซิมโฟนีเพลงนี้ ข้าก็ได้ยินเสียงแห่งความมุ่งมั่น… ข้าได้ยินความห้าวหาญดั่งวีรบุรุษ! ข้าได้ยินท่านอีวานส์ถามข้า ‘เจ้าจะล้มเลิกและยอมแพ้ต่อชีวิตแล้วหรือ?’ ชีวิตทำให้เจ้าต้องเลิกเล่นดนตรีหรือเจ้าเลิกด้วยตัวเจ้าเอง? เราจะสู้หรือถอยคนขี้ขลาด? เมื่อซิมโฟนีจบลง ข้าก็พบคำตอบ หลังจากวันนั้น ข้าก็เลิกทำงานและกลายมาเป็นกวี ถ้าพูดตามตรง สมัยนั้นข้าดูถูกกวีข้างถนนมาตลอด… ทุกครั้งที่รู้สึกเหมือนชีวิตมาถึงสุดทางแล้ว ข้าจะบรรเลงเพลง ‘ซิมโฟนีแห่งชะตาชีวิต’ และ ‘โซนาตาแห่งเวทนา’ ให้กับตัวเอง แล้วทุกๆ อย่างก็ค่อยๆ ดีขึ้น ข้าเริ่มหาเลี้ยงครอบครัวได้ และรู้สึกเป็นอิสระในการไล่ตามความฝัน”

ฟรานซ์วางมือขวาแทบอกและโค้งคำนับให้กับลูเซียนด้วยความเคารพอย่างสูง “หากไม่มีท่าน ท่านอีวานส์ ไม่มีความเชื่อและความกล้าในดนตรีของท่าน ข้าจะไม่มีวันมาถึงตรงนี้ ท่านคือแบบอย่างของข้า และถือเป็นเกียรติอันสูงสุดที่มีท่านร่วมอยู่ในการแสดงครั้งแรกในชีวิตของข้า ขอขอบคุณอีกครั้ง ท่านอีวานส์”

เสียงตบมือดังสนั่นลั่นไปทั้งโรงละคร

“เจ้าต่างหากที่เป็นคนตัดสินใจได้ถูกต้อง” ลูเซียนกล่าวด้วยอารมณ์ตื้นตัน

หลังจากนั้น ทั้งคริสโตเฟอร์และวิกเตอร์ต่างก็แสดงความเห็นชื่นชมฟรานซ์

ต่อมา ชายหนุ่มผู้แรงใจเปี่ยมล้นคนนี้ก็แสดงให้เห็นถึงรูปแบบดนตรีอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาในท่อนซิมโฟนี แม้ดนตรีของเขาจะยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ความรู้สึกอันแท้จริงและความหวังอันสูงสุดซ่อนอยู่ในเพลงก็งดงามราวกับสายลมอ่อนโยนในฤดูใบไม้ผลิที่ปลอบประโลมหัวใจของผู้คน

ขณะที่ลูเซียนตั้งใจฟังซิมโฟนีของฟรานซ์  สตรีสามคนก็เดินเข้ามาในโรงละคร คนหนึ่งผมสีแดงและมีริมฝีปากอวบอิ่ม คนหนึ่งตาสีเขียวและหน้าหวาน และอีกคนหนึ่งผมดำดูเป็นผู้ใหญ่และงดงาม

เฟลิเซีย เอเลน่า และเกรซ หลังจากได้ยินข่าวว่าลูเซียนกลับมา ทั้งสามก็รีบมายังโรงละครพร้อมๆ กัน

เมื่อเห็นนักดนตรีหนุ่มมากพรสวรรค์นั่งอยู่แถวหน้าสุด ทั้งสามก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ‘เป็นเขาจริงๆ’

ลูเซียนเองก็สังเกตเห็นว่าสหายของเขามาถึง เขาหันกลับไปยิ้มกว้างให้ แล้วก็ยกมือขึ้นมาทำท่าที่ปากส่งสัญญาณให้หญิงสาวทั้งสามนางเงียบ และดื่มด่ำไปกับดนตรี

เฟลิเซีย สาวน้อยสตรีชนชั้นสูงจากเมื่อสามปีที่แล้ว ตอนนี้ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เห็นได้ชัดว่าการเดินทางกับวิกเตอร์ให้บทเรียนกับนางมากมาย รูปร่างภายนอกของเอเลน่าเปลี่ยนไปมาก ใบหน้าที่ดูค่อนข้างเหนื่อยทรงผมม้วนเก็บอย่างงดงามบนศีรษะทำให้เธอดูหวานและสวยสะพรั่ง ส่วนเกรซก็ดูผ่อนคลายขึ้นมากหลังจากภาระที่ติดค้างอยู่ในใจถูกยกออกไป

สามปีผ่านไป แม้ว่าพวกนางจะได้เห็นชื่อของลูเซียนบนหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยครั้ง พวกนางก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างเมื่อได้เจอกับลูเซียน

และลูเซียนเองก็รู้สึกเหมือนกัน

หลังการแสดงจบ ลูเซียนนัดหมายกับฟรานซ์ในวันรุ่งขึ้นเพื่อพูดคุยถึงการพัฒนาดนตรีจากคำประพันธ์ขนาดยาว  แล้วเขาก็แวะไปยังสถานที่ที่คุ้นเคย บ้านเลขที่ 12 ถนนซเนห์วา พร้อมกับวิกเตอร์และเหล่าสหาย วิกเตอร์จัดงานเลี้ยงมื้อกลางวันต้อนรับการกลับมาของลูเซียน

หลังจากวิกเตอร์ขอตัวไปสั่งงานครับพ่อบ้านอาธี เฟลิเซียและเอเลน่าซึ่งนั่งเงียบมาตลอดทาง ก็พูดกับเขาในที่สุด “ยินดีต้อนรับกลับมา ลูเซียน”

เวลาผ่านมาเนิ่นนาน และพวกนางไม่รู้ว่าจะเริ่มหรือควรพูดอะไรกับลูเซียนก่อนดี

“ท่านอีวานส์ ขอบคุณสำหรับจดหมายฉบับนั้นนะคะ” เกรซก็แสดงความซาบซึ้งบุญคุณของนาง

ลูเซียนยิ้มและเริ่มเล่าถึงประสบการณ์ที่น่าสนใจบางอย่างที่เขาเจอระหว่างการเดินทาง แล้วไม่นานทั้งหมดก็ค่อยๆ รู้สึกสบายใจมากขึ้น

ตอนนั้นเอง คนรับใช้เปิดประตูห้องเข้ามา และก็มีผู้หญิงร่างใหญ่ดูกำยำสวมชุดกระโปรงยาวที่รัดแน่นวิ่งเข้ามา นางโผเข้ากอดลูเซียนในทันทีและเริ่มร้องไห้ “ในที่สุด! ในที่สุดเจ้าก็กลับมา! ข้าคิดว่าเจ้าจะเจอตัว เจอหมาป่า…”

หลังจากได้รับข้อความจากวิกเตอร์ นางก็รีบมาที่นี่พร้อมกับโจเอลและไอเว็น

“อะลิซ่า ปล่อยอีวานส์เถอะ” โจเอลยิ้ม “เขาไม่กลัวพวกนั้นหรอก… แล้วก็ ยินดีต้อนรับกลับมานะ”

ชีวิตชนชั้นสูงไม่ได้ช่วยชะลอความแก่ของโจเอล การทำงานหนักมาหลายปีทำให้เขามีริ้วรอยเหี่ยวย่นเพิ่มมากขึ้น

“ข้าคิดถึงทุกคนตลอดเวลา” ลูเซียนพูดด้วยน้ำเสียงตื้นตันใจ

โจเอลเรียกลูกชายเข้ามา “ไอเว็น มานี่สิ… ทักทายลูเซียนหน่อย”

ไอเว็นเปลี่ยนไปมาก หากอธิบายโดยละเอียด เขาน่าจะเป็นคนที่เปลี่ยนไปเยอะที่สุด เขาโตเป็นผู้ใหญ่จนกระทั่งตอนนี้สูงกว่าลูเซียนแล้วนิดหน่อย ไม่ต่างจากพี่ชายและพ่อ ใบหน้าวัยรุ่นของไอเว็นเริ่มดูหล่อเหลาและมีหนวดเครา

เมื่อมองหน้าลูเซียน ไอเว็นท่าทางค่อนข้างเขินอาย ราวกับว่าเขาเจอคนแปลกหน้า เมื่อค้อมศีรษะลง ไอเว็นก็พูดกับลูเซียนออกมา “ยินดีต้อนรับกลับมา”

สามปีเป็นเวลาที่ยาวนานสำหรับไอเว็น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งจะรู้สึกเขินอาย

หลังจากสนทนาพาทีกันอยู่สักพัก ลูเซียนก็เริ่มรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับความพยายามของป้าอะลิซ่าในการหาภรรยาให้กับเขาและเร่งเร้าให้เขามีลูก เขาจึงขอตัวเพื่อหลบไปเข้าห้องน้ำ

ตอนนั้นเอง เกรซก็เดินตามเขามา “ข้ามีอะไรบางอย่างจะบอกท่านค่ะ ท่านอีวานส์” เกรซพูดเสียงเบามาก

“อะไรหรือ?” ลูเซียนรู้สึกประหลาดใจ

“หลังจากข้ามาถึงอัลโต้ ครั้งหนึ่ง มีชายที่แต่งตัวเหมือนตัวตลกแอบถามข้าเกี่ยวกับท่าน” เกรซตรงเข้าประเด็นทันที

……………………