DC บทที่ 259: หรือว่านี่จะเป็นจุดจบของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย

 

หลังจากที่โหลวหลานจีจากไป ซูหยางและฟางซีหลานก็มุ่งตรงไปยังเขตกลางที่ซึ่งศิษย์ทุกคนรออยู่ที่นั่น

 

ยามเมื่อพวกเขาไปถึงที่เขตกลางศิษย์ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันหันไปมองทั้งคู่

 

“ศิษย์พี่หญิงฟาง”

 

บรรดาศิษย์ที่นั่นต่างพากันมั่นใจขึ้นเมื่อเห็นฟางซีหลานที่นั่น การปรากฏตัวของเธอทำให้พวกเขาต่างพากันรู้สึกปลอดภัยขึ้น

 

“ศิษย์พี่ชายซูอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน…”

 

เมื่อเหล่าศิษย์นอกหญิงเห็นซูหยางตรงเข้ามาหาด้วยท่าทางสงบเฉยบนใบหน้า พวกเธอต่างประสบกับความรู้สึกลึกลับที่ช่วยทำให้พวกเธอใจเย็นลง ราวกับว่าศิษย์เหล่านี้เชื่อโดยสัญชาตญาณว่าพวกเธอจะต้องปลอดภัยถ้าเขาปรากฏตัวอยู่ใกล้เคียง

 

อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกคนที่นั่นที่ตื่นเต้นเมื่อเห็นหน้าซูหยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนที่เดินข้างเขาเป็นฟางซีหลาน ราวกับว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันก่อนที่จะมาถึงสถานที่นี้

 

“เป็นเจ้าอีกแล้ว”

 

วินหนานเตียนเดินออกมาจากฝูงชนและตรงไปหาซูหยาง ดูเหมือนว่าเตรียมที่จะสร้างปัญหาให้เขา

 

เมื่อเห็นเช่นนี้ ฟางซีหลานก็มายืนขวางต่อหน้าวินหนานเตียน

 

“หยุดเดี๋ยวนี้ เรามิมีเวลาสำหรับเรื่องนี้ หรืออยู่ในสถานการณ์แบบนี้” เธอกล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบ

 

“ศิษย์น้องหญิง…”

 

วินหนานเตียนกัดริมฝีปากและจ้องมองซูหยางด้วยดวงตาหรี่แคบ

 

“เจ้ามิละอายแก่ใจรึที่ยืนอยู่ข้างหลังผู้หญิงเช่นนี้ ทั้งยังเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ชายได้อีกรึ ฮึ่ม”

 

ซูหยางหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อวินหนานเตียนกำลังเริ่มทำให้เขาโกรธ

 

“ถ้าเจ้ามิหันกลับไปตอนนี้ อย่าหาว่าข้ามิได้ไว้หน้าเจ้าแม้แต่น้อย”

 

กลิ่นอายอันตรายปลดปล่อยออกมาจากร่างของฟางซีหลาน เป็นเหตุให้วิยหนานเตียนสั่นสะท้านเล็กน้อย

 

วินหนานเตียนเชื่อว่าฟางซีหลานกำลังปกป้องซูหยางจากเขา ซึ่งเพียงทำให้เขารู้สึกยิ่งกระวนกระวายใจ แต่เขาจะรู้สึกนิดก็หาไม่ว่าจริงแล้วฟางซีหลานกำลังปกป้องเขาจากซูหยางผู้ที่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เป็นคนที่เขาจะล่วงเกินได้

 

ว่าไปแล้วถ้าวินหนานเตียนไม่ต้องการฟัง เธอก็คงไม่มีทางเลือกได้แต่ปล่อยให้เขาก้าวไปหาความตาย

 

ทันใดนั้นหนึ่งในผู้อาวุโสนิกายที่นั่นก็เริ่มพูดเสียงดัง “ทุกคนใจเย็น”

 

ศิษย์ทุกคนตรงนั้นหันไปดูกลุ่มผู้อาวุโสนิกายตรงมาหาพวกเขา

 

นำหน้าผู้อาวุโสนิกายเหล่านี้คือผู้อาวุโสซุนและผู้อาวุโสจ้าว และแม้ว่าพวกเขาดูสงบด้านนอกแต่ใจของพวกเขาจริงแล้วเต็มไปด้วยความกังวลกับสถานการณ์

 

“แม้ว่าเรายังมิรู้ถึงสถานการณ์ทั้งหมด ผู้นำนิกายได้สั่งให้พวกเราทั้งหมดรวมตัวกันที่นี่ในกรณีที่มีบางอย่างเกิดขึ้น” ผู้อาวุโสจ้าวกล่าว

 

เพราะว่าผู้อาวุโสอูอยู่ในสภาวะรีบเร่งเมื่อเธอส่งข้อความไป บรรดาผู้อาวุโสนิกายที่นั่นต่างยังคงไม่รู้ถึงสถานการณ์ อย่างไรก็ตามในเมื่อมันเป็นคำสั่งของผู้นำนิกาย พวกเขาจะถามคำถามได้หลังจากที่เชื่อฟังคำสั่งของเธอ

 

“ผู้อาวุโสอูควรอธิบายสถานการณ์ตอนนี้ว่าทำไมพวกเราทั้งหมดจึงต้องมารวมตัวที่นี่”

 

ผู้อาวุโสซุนถามเธอพร้อมขมวดคิ้ว

 

แม้ว่าเขาไม่มีเบาะแสว่าเกิดอะไรขึ้นเขาก็รู้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและบรรดาศิษย์ตกอยู่ในอันตราย ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่ต้องมารวมตัวกันตอนนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการของสถานการณ์ฉุกเฉิน

 

ในฐานะของกองกำลังพิทักษ์กฏ ผู้อาวุโสซุนรู้ดีถึงทุกกระบวนการ และสถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อระหว่างเวลาที่เกิดสงคราม

 

“ข-ข้าก็ยังไม่ชัดเจนว่าทำไมเรื่องนี้จึงเกิดขึ้น”

 

ผู้อาวุโสอูส่ายหน้า

 

“ผู้นำนิกายเพียงสั่งข้าให้รวมคนทุกคนที่นี่และเตรียมตัวรับศึก”

 

“อะไรกัน นี่กระทันหันเกินไป ใครที่เรากำลังจะสู้ด้วย” ผู้อาวุโสจ้าวถามเธอ

 

“ป-ป-เป็น..นิกายล้านอสรพิษ…”

 

ผู้อาวุโสอูพึมพัมหลังจากเงียบไปชั่วขณะ เสียงของเธอมีแต่ความไม่อยากเชื่อ

 

“ท่านเพิ่งกล่าวอะไรไป”

 

ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสจ้าวแต่ผู้อาวุโสนิกายทุกคนที่นั่นต่างพากันอุทานออกมาในเวลาเดียวกัน เสียงของพวกเขาเต็มไปด้วยความตระหนกและไม่อยากเชื่อ

 

“นิกายล้านอสรพิษจากภูมิภาคตะวันตก เกิดบ้าอะไรที่พวกเราต้องไปสู้กับพวกเขา”

 

“ใช่แล้ว นี่เป็นนิกายล้านอสรพิษ ผู้ที่มีพลังอำนาจแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคตะวันตกเชียวนะที่พวกเรากำลังพูดถึง”

 

ผู้อาวุโสนิกายและศิษย์ทุกคนต่างไม่อยากเชื่อ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พวกเขาไปล่วงเกินสถานที่ยิ่งใหญ่อย่างเช่นนิกายล้านอสรพิษ

 

“ล-ลืมเรื่องเหตุผลที่พวกเขากำลังจะโจมตีพวกเราไป พวกเราควรทำอะไรตอนนี้เพื่อต่อสู้กับขุนเขาใหญ่เช่นนี้”

 

ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสนิกายแต่เหล่าศิษย์ก็เริ่มตื่นตระหนก

 

ถ้านิกายล้านอสรพิษมาหาเรื่องพวกเขาจริงๆ ไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถป้องกันตนได้

 

ในเวลาเช่นนี้พวกเขาทั้งหมดก็เป็นเพียงแค่ลูกไก่ที่รวมตัวกันในตำแหน่งหนึ่งบนเขียง พร้อมที่จะถูกฆ่าโดยไม่มีโอกาสที่จะโต้ตอบ

 

“ใจเย็น” ผู้อาวุโสซุนพลันคำรามขึ้น

 

สถานที่นั้นพลันเงียบลง

 

ผู้อาวุโสซุนมองดูผู้อาวุโสอูและกล่าว “ท่านมั่นใจว่าท่านไม่ผิดพลาด ข้ามิต้องการที่จะสงสัยท่าน แต่นี่มันไร้เหตุผลเกินไป….นี่เป็นนิกายล้านอสรพิษนะที่เรากำลังพูดถึง ในสายตาของพวกเขาเราไม่มีอะไรนอกจากจะเป็นมด ทำไมพวกเขาจึงต้องรบกวนพวกเราด้วย”

 

ผู้อาวุโสอูถอนหายใจและกล่าวว่า “ข้ามิโทษท่านที่สงสัยในตัวข้า ในเมื่อตัวข้าเองก็ยังสงสัยตัวเองขณะที่เรายืนอยู่ที่นี่และพูดกันอยู่ อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสวันจากนิกายล้านอสรพิษมาที่นี่เพื่อพูดกับเจ้านิกายไม่นานมาแล้ว และเขาพูดถึงเกี่ยวกับวิญญาณพิทักษ์อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงนี้”

 

“วิญญาณพิทักษ์”

 

ผู้อาวุโสจ้าวเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อสุดท้ายเขาก็เข้าใจสถานการณ์

 

เพราะว่าผู้อาวุโสจ้าวมีตำแหน่งสำคัญภายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและเป็นคนที่โหลวหลานจีเชื่อถืออย่างสมบูรณ์ เขาเป็นคนไม่กี่คนที่รู้ว่าเซียวไป่มีตัวตนอยู่

 

“เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร… ทำไมพวกเขาจึงหาพบ”

 

ผู้อาวุโสจ้าวพลันนึกถึงคลื่นที่เกิดขึ้นก่อนหน้าที่จะมีการรวมตัวกันและก็ตระหนักได้ ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเขาจึงรู้สึกถึงบางสิ่งที่คุ้นเคยจากคลื่นที่แฝงด้วยพลังอันลึกล้ำ

 

“สวรรค์ช่วย…หรือนี่จะเป็นจุดจบของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” เขาคิดสงสัยในใจด้วยความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวในใจ