DC บทที่ 260: หลบหนีด้วยชีวิตพวกเขา

 

“ผู้อาวุโสจ้าว ท่านรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง”

 

ผู้อาวุโสซุนสังเกตเห็นปฏิกิริยาประหลาดของเขาจึงตัดสินใจถาม

 

ผู้อาวุโสซุนถอนใจและกล่าวว่า “มิมีประโยชน์ที่จะพยายามปิดบังในตอนนี้…ศิษย์คนหนึ่งของเราเกิดพบกับวิญญาณพิทักษ์เมื่อสองสามเดือนก่อน และพวกเราก็ได้เลี้ยงดูมันนับตั้งแต่นั้น อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่านิกายล้านอสรพิษย์ก็รู้เรื่องของมันด้วย ท่านคงจะรู้อยู่แล้วว่าวิญญาณพิทักษ์มีค่าเพียงใดและมีผู้คนมากมายเท่าไหร่ที่ยอมเสียสละเพื่อที่จะได้มันมาไว้ในมือ”

 

ผู้อาวุโสซุนรวมไปถึงทุกคนที่นั่นต่างพากันลืมตากว้างด้วยความตระหนกเมื่อได้ยินคำพูดนั้น

 

“วิญญาณพิทักษ์ ท่านว่าอย่างนั้นรึ”

 

ผู้อาวุโสซุนไม่อยากเชื่อว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะสามารถมีสิ่งที่ล้ำค่าแต่ว่าอันตรายอย่างนั้นในครอบครองจริงๆ อย่างไรก็ตามในเมื่อมหาอำนาจยิ่งใหญ่อย่างเช่นนิกายล้านอสรพิษสังเกตเห็นสถานที่เล็กๆเช่นพวกเขา นั่นไม่ทำให้ถึงกับไม่น่าเชื่อแต่อย่างใด

 

กล่าวไปแล้วสิ่งที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าสำหรับผู้อาวุโสซุนก็คือความจริงที่ว่าโหลวหลานจียอมให้วิญญาณพิทักษ์อยู่ใกล้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแม้ว่าจะรู้เป็นอย่างดีว่าพวกเขาไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะเลี้ยงไว้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาไม่สามารถปกป้องมัน

 

การมีวิญญาณพิทักษ์อาจจะเหมือนกับการประสบโชคดีสำหรับบางคน แต่นั่นก็คล้ายกับหายนะที่รอเกิดขึ้นถ้ามันตกในมือของผู้ที่ไม่คู่ควรดังเช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย

 

อีกนัยหนึ่ง นอกจากว่าเรามีความสามารถที่จะปกป้องวิญญาณพิทักษ์จากการถูกขโมยจากคนอื่น โดยปกติเราก็ควรหลีกเลี่ยงมันหรือทำเหมือนกับว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อน

 

“ท่านเก็บเงียบไว้แม้ว่าจะรู้อยู่งั้นรึ ผู้อาวุโสจ้าว ท่านทำเช่นนั้นได้อย่างไร…”

 

ผู้อาวุโสซุนส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง

 

“บางทีทั้งผู้นำนิกายและข้าอาจจะตาบอดไปกับพลังที่ยิ่งใหญ่ของวิญญาณพิทักษ์ที่สามารถนำมาให้กับนิกายเมื่อเราตกลงใจที่จะเก็บและฝึกวิญญาณพิทักษ์ หรือบางทีเราอาจจะเชื่อว่าเราสามารถที่จะเก็บมันไว้เป็นความลับจนกระทั่งมันโตเต็มวัย แต่น่าเสียดายก็อย่างที่ท่านเห็นว่าหายนะประเภทไหนที่มันนำมาให้กับพวกเรา…”

 

ผู้อาวุโสซุนส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านถึงระดับหนึ่ง แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งเสียใจ ในเมื่อพวกเรายังต้องต่อสู้กับนิกายล้านอสรพิษ”

 

“ผู้อาวุโสอู เจ้านิกายไปไหนตอนนี้”

 

ผู้อาวุโสอูส่ายหน้า

 

“ท่านหายไปหลังจากที่สั่งข้าให้รวบรวมทุกคนมาที่นี่”

 

ทันใดนั้นฟางซีหลานก็ปรากฏตัวขึ้นจากฝูงชน เธอกล่าวว่า “เจ้านิกายไปพบกับนิกายล้านอสรพิษ… พร้อมกับวิญญาณพิทักษ์”

 

“ศิษย์ฟาง”

 

ผู้อาวุโสนิกายที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันหันไปมองเธอ

 

“ทำไมเจ้ารู้เรื่องนี้”

 

ผู้อาวุโสซุนถาม

 

“ข้าพูดกับเธอเมื่อกี้ก่อนมาที่นี่” เธอตอบ

 

“ส่วนสำหรับวิญญาณพิทักษ์…ข้าเป็นคนค้นพบมันและขอร้องให้เจ้านิกายให้เก็บมันไว้”

 

“เจ้า…”

 

ผู้อาวุโสนิกายที่นั่นต่างพากันต้องการกล่าวโทษฟางซีหลานสำหรับสถานการณ์ตอนนี้ แต่พวกเขาก็เชื่อว่าเธอเพียงต้องการช่วยเหลือนิกาย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็คงทำเช่นเดียวกันถ้าพวกเขาอยู่ในฐานะเดียวกับเธอ

 

“นี่มิหมายความว่าเจ้านิกายออกไปพบกับนิกายล้านอสรพิษด้วยตนเอง”

 

ผู้อาวุโสซุนพลันตระหนัก

 

ผู้าวุโสจ้าวก็พลันตระหนักเรื่องนี้เช่นเดียวกันและรีบตะโกนขึ้น “ข้าต้องการครึ่งหนึ่งของผู้อาวุโสนิกายที่นี่ตามข้าและไปรวมตัวเข้ากับเจ้านิกาย ส่วนอีกครึ่งให้อยู่ที่นี่พร้อมกับเหล่าศิษย์ในกรณีที่นิกายล้านอสรพิษวางแผนที่จะโจมตีเราจริงๆ”

 

“ขอรับ ผู้อาวุโสจ้าว”

 

แม้ว่าจะเป็นการต่อสู้ที่ไม่อาจชนะ ผู้อาวุโสจ้าวก็ไม่ได้อ้างถึงเรื่องนั้น ในเมื่อเขาไม่ต้องการที่จะให้ขวัญกำลังใจตกต่ำไปกว่าที่เป็นอยู่ กล่าวไปแล้วทุกคนที่นั่นที่รู้จักชื่อของ “นิกายล้านอสรพิษ” ล้วนตระหนักถึงโอกาสรอดของพวกเขาอยู่แล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าผู้อาวุโสจ้าวจะไม่ได้พูดอะไรออกมาก็ตาม พวกเขาล้วนรู้ดีว่าเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีวันชนะ

 

“ไปกันเถอะ”

 

ผู้อาวุโสจ้าวนำผู้อาวุโสนิกายไปยังประตูทางเข้า

 

อย่างไรก็ตามขณะที่พวกเขาก้าวไปได้เพียงสองก้าว ทั่วทั้งแผ่นดินก็เริ่มสั่นสะเทือน และเสียงระเบิดก็ดังมาจากระยะห่าง

 

บูม

 

เศษชิ้นส่วนเล็กน้อยตกลงมาจากท้องฟ้า และประตูขนาดใหญ่ก็ร่วงลงมาห่างไม่กี่เมตรจากผู้อาวุโสจ้าว

 

“ประตูทางเข้า นิกายล้านอสรพิษมาถึงแล้ว”

 

เมื่อบรรดาศิษย์และผู้อาวุโสนิกายเห็นประตูทางเข้ามายังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยตกลงมาจากฟ้า ใบหน้าของพวกเขาทั้งหมดต่างพากันซีดเผือด

 

พวกเขาหลายคนต่างพากันรู้อย่างรวดเร็วว่าพวกเขาทั้งหมดเพียงแค่รอคอยความตาย ดังนั้นพวกเขาเหล่านั้นต่างพากันวิ่งหนีออกไปจากสถานที่นั้น

 

“พวกเจ้าคิดว่าเจ้ากำลังจะไปไหนกัน”

 

หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายตะโกนไปยังบรรดาศิษย์ที่วิ่งออกไปจากบริเวณนั้น

 

“ข้ากำลังจะไปจากสถานที่นี้ ถ้าข้าต้องสู้กับนิกายล้านอสรพิษ เช่นนั้นก็มิต่างจากข้าฆ่าตัวตายตอนนี้”

 

เหล่าศิษย์ต่างพากันร้องไห้เสียงดังพร้อมกับน้ำมูกน้ำตาบนใบหน้าพวกเขา

 

ผู้อาวุโสนิกายมีท่าทางโกรธและอ้าปากด่า แต่เขาก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าสิ่งที่ศิษย์ได้พูดนั้นเป็นความจริง

 

ครั้นเมื่อศิษย์คนหนึ่งเริ่มวิ่งไปจากพื้นที่นั้น ก็มีหลายคนติดตามไป เพราะว่าไม่มีใครในหมู่พวกเขาต้องการตายในมือของนิกายล้านอสรพิษ

 

ผู้อาวุโสนิกายหลายคนที่นั่นต่างพากันรู้สึกเจ็บปวดในใจหลังจากที่เห็นศิษย์นับร้อยวิ่งหนี แต่ไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่สนใจจะหยุดอีกฝ่ายไว้ ในเมื่อฉากเช่นนั้นเป็นภาพที่เห็นเป็นปกติยามเมื่อสองนิกายต่อสู้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหนึ่งในนั้นไม่มีโอกาสที่จะชนะ

 

“ถ้าพวกเจ้าต้องการที่จะจากไป พวกเจ้าก็ไปเถอะ”

 

ผู้อาวุโสจ้าวพลันกล่าวออกมาเสียงดัง

 

“แม้ว่าพวกเจ้าทุกคนได้ให้สัตย์ว่าจะภักดีต่อนิกายอย่างสมบูรณ์ แต่ข้าจักมิกล่าวโทษพวกเจ้าในการที่ต้องการจะรอดชีวิต อย่างไรก็ตามถ้าพวกเจ้าจากไปในวันนี้ พวกเจ้าอาจจะมิมีโอกาสที่จะเหยียบเข้ามาในสถานที่นี้อีกครั้ง”

 

คำพูดของผู้อาวุโสจ้าวเป็นเหตุให้ศิษย์หลายคนนั้นหยุดวิ่งและเริ่มครุ่นคิด อย่างไรก็ตามไม่กี่อึดใจต่อไป เกือบทั้งหมดของพวกเขาก็เคลื่อนไหวอีกครั้ง ในเมื่อพวกเขาไม่ปรารถนาที่จะสละชีวิตเพื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย

 

ตามจริงแล้วก็ยังมีกระทั่งผู้อาวุโสนิกายบางคนในกลุ่มผู้หลบหนี

 

เมื่อเห็นภาพฉากนี้ ผู้อาวุโสซุนก็ส่ายหน้าและถอนหายใจ

 

“ช่างน่าเสียดาย…”