DC บทที่ 261: เหล่าศิษย์จากไปทุกทิศทาง

 

ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากการที่มีคนหนึ่งคนตัดสินใจที่จะจากไป และภายในไม่กี่นาทีนับตั้งแต่ศิษย์คนแรกตัดสินใจไป ศิษย์กว่าครึ่งที่นั่นก็ได้ติดตามไปและละทิ้งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เลือกชีวิตตนเองไว้ก่อนที่แห่งนี้ที่ควรถือว่าเป็นบ้านของพวกเขา

 

ในใจของพวกเขานั้นถือว่าไม่คุ้มค่าที่จะสละชีวิตของตนเองไปกับการต่อสู้ที่ไม่มีวันชนะกับนิกายล้านอสรพิษ

 

ตามความเป็นจริงแม้ว่าผู้อาวุโสนิกายที่นั่นต่างพากันปวดใจกับบรรดาศิษย์ตัดสินใจที่จะจากไป แต่ก็ไม่มีผู้อาวุโสนิกายคนไหนที่ถือโทษอีกฝ่ายสำหรับการกระทำนั้น ในเมื่อพวกเขาเองก็อยู่ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนหมดสิ้นความหวัง

 

ที่เลวร้ายไปกว่านั้น หลังจากนั้นไม่กี่นาที เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสนิกายก็ได้ตัดสินใจละทิ้งตัวตนในฐานะคนของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพิ่มขึ้นกว่าเดิม

 

หากเป็นเช่นนี้ต่อไปต่อให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสามารถรอดพ้นจากการปะทะกับนิกายล้านอสรพิษ ศิษย์เกือบทั้งหมดก็จะไม่มีเหลืออยู่หลังจากนั้น และนิกายจะทำอย่างไรถ้าไม่มีศิษย์อยู่คอยจัดการ

 

“ศิษย์น้องหญิงฟาง เราไปด้วยกันเถอะ การที่ล่วงเกินสถานที่แบบนิกายล้านอสรพิษนั้นสถานที่นี้ตกอยู่ในหายนะแล้วไม่ว่าเราจะรอดพ้นวันนี้ไปหรือไม่”

 

ยวินหนานเตียนกล่าวกับเธอ เขาเองก็เตรียมตัวจากไป แต่กระทั่งในช่วงเวลาสุดท้ายเขาก็ยังต้องการให้เธอยอมรับเขา บางทีอาจจะจากไปพร้อมเขาและเริ่มชีวิตใหม่ด้วยกันในสำนักอื่น และด้วยพรสวรรค์ของพวกเขา ยังมีสำนักอีกมากมายที่ปรารถนาที่จะรับพวกเขาโดยไม่สนใจเบื้องหลังของพวกเขา

 

อย่างไรก็ตามฟางซีหลานส่ายหน้า

 

เธอไม่ให้เหตุผลอะไรกับยวินหนานเตียนแม้สักข้อ แต่ตัวเธอเองรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นความผิดพลาดของเธอ ถ้าเธอไม่พบกับเซียวไป่และนำเธอกลับมายังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย สิ่งเหล่านี้คงไม่เกิดขึ้น

 

“ต่อให้ข้าต้องตายที่นี่ในวันนี้ ข้าก็จักมิจากที่นี่ไป”

 

ฟางซีหลานกล่าวกับตัวเธอเองในใจ สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว

 

ในเวลานั้นหลานลี่ชิงมองดูไปรอบๆค้นหาซูหยางแต่ไม่สามารถพบเขา

 

“อย่าบอกข้าว่าเขาตัดสินใจจากไปเช่นกัน” เธอถอนหายใจ

 

เพราะว่าสถานการณ์เช่นนี้ ศิษย์ทุกคนจากตำหนักโอสถได้ตัดสินใจจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไป ทิ้งเธอไว้ตามลำพัง

 

ถึงแม้ว่าเธอก็ต้องการจากไปเพื่อให้ชีวิตของเธอคงอยู่ แต่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ได้ทำทุกสิ่งมากมายเหลือเกินต่อเธอจนยากที่จะทอดทิ้งไปได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้านิกายหลายคนก่อนได้ชุบเลี้ยงเธอจนเธอยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้

 

หลังจากเวลาผ่านไปหลายนาทีหลังจากนั้น ก็มีเพียงศิษย์และผู้อาวุโสนิกายไม่กี่สิบคนที่ยังคงอยู่ในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนที่ไม่มีที่จะไป

 

ผู้อาวุโสจ้าวมองดูศิษย์ที่ยังเหลืออยู่และยิ้ม

 

“เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่พวกเจ้าจะจากไป” เขากล่าว

 

อย่างไรก็ตามเหล่าศิษย์ต่างพากันส่ายหน้า

 

“ต่อให้ข้าไป ก็คงไม่มีที่ไหนให้ข้าไป”

 

“ข้าเป็นหนี้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมากเกินไปที่จะละทิ้งไปง่ายๆ ต่อให้ชีวิตข้าต้องเสี่ยงก็ตาม”

 

“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าอยากได้ยิน” ผู้อาวุโสจ้าวพยายามหัวเราะแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง

 

“เช่นนั้นก็ดี ถ้าพวกเรารอดได้ในวันนี้ ข้าจักให้พวกเจ้าทุกคนเป็นศิษย์หลักต่อให้ข้าต้องขอร้องผู้นำนิกายก็ตาม”

 

“ตอนนี้พวกเราไปพบกับผู้นำนิกายกันเถอะ”

 

ในเมื่อมีเพียงพวกเขาไม่กี่คนเหลืออยู่ ผู้อาวุโสจ้าวได้ตัดสินใจที่จะนำทุกคนที่นั่นไปกับเขาเพื่อพบกับโหลวหลานจี

 

 

 

 

ตรงบริเวณทางเข้ายามเมื่อนิกายล้านอสรพิษมาถึงพวกเขาก็เข้ามาด้วยกำลังโดยการระเบิดประตูทางเข้าทิ้ง

 

เมื่อเข้ามาในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย คนจากนิกายล้านอสรพิษก็ได้รับการต้อนรับจากหญิงสาวสวยยืนอยู่ไม่กี่เมตรห่างออกไป และในมือของเธอก็เป็นลูกเสือสีขาว

 

“วิญญาณพิทักษ์”

 

เมื่อนิกายล้านอสรพิษเห็นเซียวไป่ สายตาของพวกเขาก็ถลนด้วยความตื่นเต้น หลังจากการค้นหาหลายเดือน ในที่สุดพวกเขาก็พบมัน

 

ผู้อาวุโสวันจากนิกายล้านอสรพิษก้าวออกมาข้างหน้าและพูดขึ้นว่า “สหายเต๋า…นี่หมายความว่าอะไร”

 

เขาตัดสินใจยอมให้โหลวหลานจีอธิบายตัวเอง แต่นั่นก็เพื่อเพียงแค่ความสนุกส่วนตัวของเขาเท่านั้น

 

“…”

 

โหลวหลานจียังคงเงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดเสียงดัง “ข้ามิมีข้อแก้ตัวในวันนี้และมิได้วางแผนที่จะทำให้ทุกสิ่งยุ่งยากสำหรับนิกายล้านอสรพิษ ดังนั้นนี่คือวิญญาณพิทักษ์ที่พวกท่านตามหา”

 

โหลวหลานจีพลันวางเซียวไป่ลงบนพื้นและก้าวถอยหลัง

 

“ทุกสิ่งที่ข้าขอพวกท่านก็คือปล่อยนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไป ถ้าพวกท่านยังมิพอใจ ข้ายินดียอมรับการลงโทษทั้งหมดคนเดียว”

 

โหลวหลานจีไม่ได้มีเจตนาที่จะสู้กับนิกายล้านอสรพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอรู้ดีถึงโอกาสชนะ ตามความเป็นจริงนอกจากว่าพวกเขาบังคับให้สู้ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะไม่ยกอาวุธขึ้น

 

“นั่นเป็นคำขอที่มาจากคนที่โกหกต่อหน้าข้างั้นสินะ…”

 

ผู้อาวุโสวันหรี่ตา แสยะยิ้ม

 

โหลวหลานจีสั่นสะท้านเมื่อรับรู้ถึงจิตสังหารจากผู้อาวุโสวัน

 

“นั่นมิใช่เจตนาของข้าที่โกหกท่าน ในเมื่อท่านมาเยี่ยมอย่างกระทันหัน ตามจริงข้าได้วางแผนที่จะให้วิญญาณพิทักษ์แก่ท่านถึงแม้ว่าท่านจะมิได้กลับมาที่นี่ ถ้าเพียงข้ามีเวลาอีกสักสองสามวัน…”

 

“อืมม…”

 

ผู้อาวุโสวันเริ่มครุ่นคิด

 

“ตามลำดับ จับวิญญาณพิทักษ์ไว้ก่อนที่มันจะวิ่งหนีไปอีกครั้ง”

 

ผู้อาวุโสวันสั่งหนึ่งในคนของเขา

 

หนึ่งในผู้กล้าเขตปฐพีวิญญาณพลันตรงเข้าไปจับเซียวไป่ผู้ซึ่งไม่อาจต้านความแข็งแกร่งอันเหนือกว่าที่ใช้สะกดเธอไว้

 

เซียวไปเริ่มกรีดร้อง กระทั่งมองไปยังโหลวหลานจีเพื่อขอความช่วยเหลือขณะที่พุ่งตัวไปยังทางซ้ายและขวา แต่อนิจจาโหลวหลานจียังคงยืนนิ่งราวกับรูปปั้น

 

ครั้นเมื่อนิกายล้านอสรพิษได้รับเซียวไป่ ผู้อาวุโสวันก็กล่าวขึ้นว่า “ข้ายอมรับว่าเจ้าได้ทำให้สิ่งเหล่านี้ง่ายสำหรับพวกเรา แต่ทว่าความจริงที่เจ้าได้โกหกข้าและนิกายล้านอสรพิษยังอยู่ ข้ามิมีทางเลือกนอกจากทำให้มันเป็นเรื่องยุ่งยากให้แก่เจ้าเพื่อจะได้ถือเป็นตัวอย่างสำหรับผู้อื่นเพื่อที่สถานการณ์เช่นนี้จะได้มิซ้ำรอยในภายภาคหน้า”

 

โหลวหลานจีเบิกตากว้าง หัวใจของเธอบีบรัดแน่นจากความเครียดหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา แม้ว่าเธอไม่รู้ว่าผู้อาวุโสวันวางแผนอะไรไว้ แต่เธอก็รู้สึกได้ว่าคงไม่ใช่สิ่งดีแม้แต่น้อยสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย