ตอนที่ 525 ร่วมเดินทาง

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 525 ร่วมเดินทาง

“บัดนี้ระหว่างฮ่องเต้และเจียงอ๋องเหมือนมีข้อตกลงบางอย่างต่อกัน หากข้าพาเจ้าไปด้วยก็เกรงว่าจักเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของเจ้า”

แม้การไปครั้งนี้อาจพ่ายแพ้แต่ก็เป็นความรับผิดชอบของบุรุษทั้งสอง เขามิยอมให้นางตกอยู่ในอันตรายเด็ดขาด

เพราะฝีมือของคนในเผ่าปิงชวนแข็งแกร่งมาก แม้มิต้องใช้ม้าศึกก็ยังสามารถทำลายพวกตนได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือเผ่าปิงชวนค่อนข้างซับซ้อน หากโดนเอาเปรียบแล้ว เขากังวลว่าจะปกป้องนางมิได้

“จวินฮาน ท่านเคยกล่าวไว้ว่าข้าเป็นพระชายาของอ๋องมู่ หากเป็นเยี่ยงนี้ข้ามิใช่สตรีที่อ่อนแอและมัวแต่ซ่อนอยู่ด้านหลัง ! ”

แม้สลัดทิ้งซึ่งฐานะ นางก็มิต้องการให้ผู้ใดมาคอยปกป้อง

“คารวะท่านอ๋องและพระชายาเจ้าค่ะ”

ในขณะนั้นเองทัวป๋าหลิวลี่ก็บุ่มบ่ามเข้ามา เมื่อเห็นทั้งสองคนกำลังสนทนากันและดูเหมือนนางก็อยากกล่าวอันใดบางอย่าง

“ได้ยินว่าท่านอ๋องต้องออกรบ หลิวลี่ตั้งใจทำเกราะอ่อนมาให้ หวังว่าจะปกป้องท่านอ๋องได้เจ้าค่ะ”

เวลานี้ทัวป๋าหลิวลี่มองไปยังมู่จวินฮานก็อดหน้าแดงมิได้ ซึ่งการที่นางได้มาเจอกับมู่จวินฮานอีกครั้งก็รู้สึกราวกับโชคชะตาลิขิต นางจึงอดใจเต้นแรงมิได้

ใครต่างก็พูดกันว่าอ๋องมู่เย็นชา แต่นางเคยเห็นเขาปกป้องอันหลิงเกอมาก่อน นางย่อมรู้ดีว่าเขามิใช่เยี่ยงที่คนทั่วไปกล่าวหาอย่างแน่นอน นางจึงอยากได้หัวใจของเขาเช่นกัน

“วันนั้นหลิวลี่คงเหนื่อยจึงเข้าสู่นิทราไปเสียก่อน คงสร้างความเสียดายให้ท่านอ๋องใช่หรือไม่…”

การที่ทัวป๋าหลิวลี่กล่าวออกมาเยี่ยงนี้เพราะอยากโอ้อวดต่อหน้าอันหลิงเกอ แต่คาดมิถึงว่าการที่นางมึนเมาในคืนนั้นเป็นแผนการของมู่จวินฮาน และผู้ที่ใช้ค่ำคืนวสันต์ร่วมกับเขาก็ยังเป็นอันหลิงเกอ

เมื่อได้ยินทัวป๋าหลิวลี่กล่าวถึงคืนนั้น อันหลิงเกอก็ก้มหน้าลง ซึ่งทัวป๋าหลิวลี่คิดว่าอีกฝ่ายมิพอใจ แต่มิรู้ว่าอันหลิงเกอบังเกิดความเขินอายจึงมิกล้าสู้หน้ามู่จวินฮาน

“เจ้ามาทำอันใด ? ” มู่จวินฮานแสดงสีหน้ามิพอใจ สองสามีภรรยากำลังปรึกษากัน คนนอกเข้ามาทำอันใด ?

“เรียนท่านอ๋อง หลิวลี่เป็นห่วงท่าน…”

ครั้นได้ยินประโยคนี้มู่จวินฮานก็ทนมิได้ เห็นอยู่ว่าเป็นการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์แล้ว เหตุใดต้องฝืนใจและลำบากทำเยี่ยงนี้ ?

“แล้วน้องสาวของเจ้าผู้นั้นเล่า ? ” มู่จวินฮานตั้งใจเอ่ยประเด็นนี้ราวกับต้องการให้ทัวป๋าหลิวลี่เข้าใจว่าพวกตนมิใช่คนประเภทเดียวกัน

“น้องหญิง…ท่านอ๋อง ท่านมิชอบให้ข้าพานางเข้าจวนอ๋องหรือเจ้าคะ ? ”

นิสัยรู้ตัวช้าของทัวป๋าหลิวลี่มิรู้ว่าเป็นความจริงหรือโง่เขลามากกว่า มู่จวินฮานจึงโบกมือไปมาเพราะมิอยากกล่าวอันใดกับนางอีก

“ขอบใจสำหรับเกราะนี้ ข้าและพระชายามีเรื่องต้องปรึกษากันอีก”

การกระทำของมู่จวินฮานคือการไล่อย่างเห็นได้ชัด แม้มิได้รับความโปรดปรานจากเขา แต่นางก็เข้านอกออกในจวนอ๋องแห่งนี้ได้อย่างอิสระ

“เจ้าค่ะ…”

ขณะที่ทัวป๋าหลิวลี่ตอบรับ สายตาก็จ้องมองไปทางอันหลิงเกออย่างมิยอมแต่ก็ต้องจำใจเดินจากไป

“เอาล่ะ หากเจ้าอยากไปก็ต้องดูแลตนเองให้ดี เรื่องอื่นมิต้องคิดมาก”

ในที่สุดมู่จวินฮานก็ยอม เพราะระหว่างเขากับอันหลิงเกอดูเหมือนเขามักยอมให้นางเสมอ ทว่าเป็นการยอมที่เต็มใจและความอ่อนโยนเยี่ยงนี้ก็มีให้นางผู้เดียว

“เจ้าค่ะ” อันหลิงเกอตอบรับเพียงสั้น ๆ พร้อมคลี่ยิ้มอย่างสดใส

ครั้นเห็นรอยยิ้มของนาง มู่จวินฮานก็รู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก

เพียงแต่ทั้งสองคนมิรู้ว่าเวลานี้ทัวป๋าหลิวลี่แอบฟังอยู่พร้อมกำหมัดแน่นอยู่นอกหน้าต่าง

ท่านอ๋องออกรบยังต้องพานางไปด้วย ! มิได้การ !

การออกรบในครานี้ใช้เวลาอย่างน้อยสิบเดือนครึ่งมากสุดก็เกือบหนึ่งปีเต็ม นางมิอาจทนเห็นอันหลิงเกอและมู่จวินฮานอยู่ด้วยกันได้ เช่นนั้นจะยิ่งมิมีผู้ใดเห็นหัวนาง

“อันหลิงเกอ ! ”

นางพึมพำชื่อของอันหลิงเกอ หากการไปครั้งนี้ทำให้อีกฝ่ายมิอาจกลับมาได้อีกก็คงดี ! เมื่อคิดได้ดังนั้นทัวป๋าหลิวลี่ก็เดินกลับเรือน

‘ทูลหมู่โฮ่ว อ๋องมู่และพระชายาจักเดินทางไปเผ่าปิงชวน หวังว่าหมู่โฮ่วทรงจัดการ กำจัดภัยคุกคามให้หลิวลี่เพคะ’

จดหมายฉบับหนึ่งแฝงไปด้วยกลิ่นอายแห่งความเกลียดชังของนาง มิมีผู้ใดคาดคิดว่าในจดหมายที่นางส่งออกนอกจวนอ๋องฉบับนี้จักเป็นแผนการร้ายยิ่งนัก

หลังจากนั้นสามวันก็เป็นวันที่ต้องออกเดินทางและอันหลิงเกอก็ได้พบกับอวี๋หมิงหลันอีกครั้ง

“เผ่าหมานอี๋และเผ่าปินชวนมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน การพาหมิงหลันไปด้วยจะช่วยได้แน่นอนเพคะ”

แม้อวี๋หมิงหลันกล่าวเยี่ยงนี้กับจ้าวหลานหยู่ แต่ทุกถ้อยคำล้วนพุ่งเป้าไปที่มู่จวินฮานทั้งสิ้น เพราะคนที่นางอยากช่วยก็คือมู่จวินฮาน

เรื่องนี้จ้าวหลานหยู่มิได้ใส่ใจสักนิด เขาจึงพาอวี๋หมิงหลันไปด้วย แค่อยากพาจุดอ่อนของมู่จวินฮานไปด้วยเท่านั้น เพราะไม่ว่ามู่จวินฮานพบเจอสิ่งใดก็คงมิมีทางทำอันใดเขาได้ เพราะอย่างน้อยเขาก็มีอวี๋หมิงหลันอยู่ในกำมือ

“เยี่ยงนั้นข้าก็ตามใจเจ้า” จ้าวหลานหยู่ตอบรับพลางสังเกตสีหน้าของมู่จวินฮาน

เวลานี้เขาเพิ่งได้พบว่าข้างกายของมู่จวินฮานมีบุรุษสวมหมวกทรงสูงอยู่อีกหนึ่งคน

“ท่านนี้คือ…”

เมื่อเห็นคนผู้นี้แล้วจ้าวหลานหยู่ก็รู้สึกมิวางใจ ถึงอย่างไรเขาก็เคยคิดว่ามู่จวินฮานคงพาชิงเฟิงมาเพียงผู้เดียว แต่ไหนเลยยังพาผู้ช่วยมาเพิ่มอีก 1 คน

“นี่คือจวินซือของข้า มีนามว่าหลานเจ๋อ การนำทัพออกรบควรพาเขาไปด้วยเพราะจะได้รับประกันความปลอดภัยแก่กองทัพ”

หลานเจ๋อ ช่างเป็นผู้ที่มีจิตใจงดงามโดยแท้

มู่จวินฮานมองไปทางอันหลิงเกอครู่หนึ่ง นางมีรูปร่างค่อนข้างเล็ก มิรู้ว่านางต้องยัดปุยฝ้ายลงในรองเท้ามากมายเพียงใดจึงพอเพิ่มความสูงได้บ้างเช่นนี้

“อืม ท่านอ๋องยกย่องเกินไปแล้วขอรับ” นางดื่มยาบำรุงไปล่วงหน้ามิน้อย เวลานี้ธาตุไฟภายในจึงปะทุทำให้น้ำเสียงแหบพร่าอย่างเห็นได้ชัด

“เหตุใดอาจารย์ท่านนี้ต้องสวมหมวกทรงสูงด้วย ? ”

ครั้นเห็นผมขาวสองสามเส้นโผล่ออกมาจากใต้หมวกทรงสูง จ้าวหลานหยู่จึงละทิ้งความสงสัย มองแล้วคนผู้นี้มีฝีมือขั้นสูงและเป็นที่ปรึกษาด้านการทหารจริง

“กระหม่อมมีใบหน้าหยาบกร้านจึงมิอยากให้ไท่จื่อทรงขัดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ”

อันหลิงเกอกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นางรู้ว่าจ้าวหลานหยู่โอหังและถือดี คงมิลดตัวลงมาเสวนากับชายสูงวัยเยี่ยงนาง

เป็นอย่างที่คาดไว้จริง จ้าวหลานหยู่มิได้ถามอันใดอีก นอกจากขึ้นควบอาชาก่อนดึงตัวของอวี๋หมิงหลันขึ้นไป อันหลิงเกอและมู่จวินฮานมองตากัน จากนั้นต่างฝ่ายก็ขึ้นควบอาชาของตน

นางตั้งใจใส่ผมปลอมสีขาวเพื่อหลีกเลี่ยงการโดนจ้าวหลานหยู่สงสัย อย่างไรเวลานี้ก็เป็นการออกรบแล้วจึงมิอยากกังวลให้มากความ

จ้าวหลานหยู่คิดอยากให้นางแยกจากมู่จวินฮาน นางจึงต้องเตรียมการป้องกันอยู่เสมอ ระหว่างทางอันหลิงเกอแทบมิได้เอ่ยคำใด เพราะสถานะอันแตกต่างทำให้นางต้องแยกออกไปอีกแถวหนึ่งจากมู่จวินฮานและคอยเดินตามเขาอยู่ไกล ๆ

มิรู้ว่าเพราะเหตุใดเหมือนนางรู้สึกว่าอวี๋หมิงหลันคอยหันมามองตลอดเวลา อีกฝ่ายมิน่ามองสถานะของนางออก เหตุใดจึงเป็นเยี่ยงนี้ ?

ช่วงเวลาพักผ่อนในยามดึก นางนั่งพักพิงอยู่ข้างต้นไม้ ครั้นเห็นมู่จวินฮานกำลังปรึกษาหารือกับจ้าวหลานหยู่จึงรู้ได้ทันทีว่าความสามารถของพวกเขามิธรรมดา แต่น่าเสียดายที่มีความทะเยอทะยานเหมือนกันมากเกินไป ทำให้แย่งชิงกันเยี่ยงนี้ มิเช่นนั้นหากพวกเขาร่วมมือกันบางทีต้าโจวอาจยิ่งแข็งแกร่งขึ้นก็ได้

น่าเสียดายที่หลายปีมานี้มู่จวินฮานพยายามปกป้องราษฎร ส่วนจ้าวหลาวหยู่ยังมุ่งมั่นที่จะขยายอาณาเขตอย่างต่อเนื่อง ความคิดของทั้งสองคนมิเหมือนกันจึงเกิดความบาดหมางขึ้น

บัดนี้ได้ออกรบพร้อมกัน มิรู้ว่าดำริของฮ่องเต้เป็นอย่างที่นางคิดไว้หรือไม่ ?

“พระชายา”

ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งยื่นหน้าเข้ามาและเอ่ยเรียกตำแหน่งของนางเบา ๆ อันหลิงเกอเย็นรู้สึกสะท้านไปทั่วหัวใจ แต่เมื่อหันไปก็เจอกับอวี๋หมิงหลัน

อีกฝ่ายกำลังหยั่งเชิงใช่หรือไม่ ?

หรือมองออกอย่างแท้จริง ?