ตอนที่ 507

The Divine Nine Dragon Cauldron

“ธนูเจ้าแท้จริงคือผนึก หากชำระจนสมบูรณ์อีกครั้ง นั่นจะทำให้ผนึกถูกทำลายเช่นกัน! หากศรเทวะในธนูถูกปลดปล่อยออกมา…ข้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดหรือไม่ ขออภัย ข้าเติมเต็มความปรารถนาข้อนี้ให้เจ้ามิได้ แต่ข้าจะขอแนะนำสักหน่อย เจ้าไม่ควรจะชำระอีกสองส่วนจนหมด ด้วยพลังของเจ้าตอนนี้ เจ้าควบคุมศรเทวะไม่ได้แน่!”

 

ซือหยูขนลุก ศรเช่นใดกันที่ถูกผนึกไว้ในธนูคันนี้? มันยังทำให้ลู่จือยี่หวาดกลัวได้ขนาดนี้อีก!

 

ซือหยูเก็บธนูไปและมองที่ร่มวิเศษสุริยาม่วง

 

“เช่นนั้นก็ขอรบกวนผู้อาวุโสอีกครั้ง”

 

ลู่จือยี่ตีร่มวิเศษอีกครั้งอย่างไม่เต็มใจ หลังจากที่ทุบร่มจนแหลกละเอียดเป็นชิ้นๆ มันก็ละลายจนกลายเป็นของเหลว จากนั้นจึงนำมันไปให้ความร้อนในเตาเผาเพื่อขับเพลิงสุริยาม่วงทั้งหมดออกมา เพลิงในเตาเผาเข้าไปแทนที่เพลิงสุริยาม่วงในร่มวิเศษ

 

ผ่านไปสองชั่วยาม ทั้งร่างของลู่จือยี่เต็มไปด้วยเหงื่อ พลังชีวิตของนางเหลืออยู่ไม่มากไปกว่าสามในสิบส่วน แต่ร่มวิเศษสุริยาม่วงใหม่ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา!

 

ก่อนหน้านี้ ร่มนั้นมีสีม่วง แต่ตอนนี้มันมีสีแดงฉานและอบอุ่นเมื่อสัมผัส แต่ถ้าหากใส่พลังวิญญาณลงไปเล็กน้อย พลังที่ทำให้เสียวกระดูกสันหลังจะถูกปลดปล่อยออกมา

 

“เพลิงในเตาเผาของข้ามีชื่อเรียกว่าอัคคีพิโรธบัวแดง มันอยู่ในลำดับที่พันของเพลิงเทวะ นอกซะจากเจ้าจะอยู่ในขอบเขตภูติระยะหลัง เจ้าจะป้องกันพลังของเพลิงนี้ไม่ได้!”

 

ลำดับเพลิงเทวะรึ? ซือหยูตกตะลึง ถ้าเพลิงลำดับที่พันมีพลังที่สังหารคนในขอบเขตภูติได้เช่นนี้ แล้วเพลิงที่ลำดับสูงกว่าจะมีพลังเท่าใดกัน?

 

“ร่มคันนี้ถูกชำระใหม่อีกครั้ง ระดับของมันอยู่ที่สมบัติกึ่งวิญญาณ…”

 

“เจ้าพอใจหรือยัง?”

 

ซือหยูพยักหน้า

 

“ข้าพอใจแล้ว”

 

“ฮื่ม! เจ้าไม่มีสมัติวิเศษที่อยากจะทำใหม่อีกแล้วสินะ?”

 

“ฮ่าๆๆ! ไม่มีแล้ว…”

 

ซือหยูเดาะลิ้น นางแทบจะเห็นสมบัติทั้งหมดที่เขามี แต่เขาจะไม่มีทางนำต้นแบบสมบัติภูติอย่างผนึกสายฟ้าห้าธาตุหรือกระบี่สายฟ้าออกมาให้นางดูแน่!

 

“เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีความปรารถนาแล้วใช่หรือไม่?”

 

ลู่จือยี่แววตาเยือกเย็น

 

“ข้ามี!”

 

ซือหยูแสดงความนับถือผ่านสีหน้า

 

ลู่จือยี่เริ่มโกรธยิ่งขึ้นไปอีก สีหน้านางเริ่มหม่นหมองลง

 

“สุดท้ายแล้ว…”

 

ซือหยูสัญญาอย่างจริงจัง

 

“มิใช่การทำสมบัติขึ้นใหม่ แต่ข้าอยากจะถามคำถามสักข้อ”

 

ลู่จือยี่สีหน้าผ่อนคลายลง

 

“อือ ว่ามา”

 

ซือหยูคติดอยู่นานก่อนจะหยิบเอาต้นกำเนิดทั้งสามธาตุออกมาจากร่างกายด้วยความระมัดระวัง ต้นกำเนิดอัคคี ต้นกำเนิดสายฟ้า และต้นกำเนิดน้ำแข็ง

 

“เจ้าบ่มเพาะต้นกำเนิดสามธาตุพร้อมกันรึ?”

 

ลู่จือยี่ตกใจมาก

 

“เช่นนั้นก็เป็นเจ้าที่พยายามจะหลอมต้นกำเนิดที่เขาจักรพรรดิสายฟ้าสินะ?”

 

ซือหยูไม่ปฏิเสธ

 

“ผู้อาวุโส ข้าอยากจะถามว่าข้าจะต้องทำอย่างไร ถึงข้าจะผสมสามต้นกำเนิดเข้าด้วยกันได้?”

 

พลังของการหลอมรวมต้นกำเนิดนั้นยิ่งใหญ่ยิ่งกว่ากระบี่สายฟ้า! ในวันนั้น ซือหยูเกือบจะตายจากกระบวนท่าของตัวเอง มันเป็นกระบวนท่าที่อันตรายมากและเขาจะไม่มีวันใช้มันอีกครั้งนอกซะจากว่าเขาจะมีวิธีการทำให้มันปลอดภัย และตอนนี้ โอกาสนั้นก็มาอยู่ตรงหน้าของเขา

 

“เจ้านี่มันบ้าบิ่นยิ่งนัก!”

 

นางจ้องมองซือหยู

 

“แม้แต่คนในขอบเขตภูติก็ไม่กล้าจะผสมสามธาตุเข้าด้วยกัน เจ้าจะใจถึงเกินไปแล้ว! เจ้าโชคดีแล้วที่รอดมาได้ แต่เจ้าก็คิดจะฆ่าตัวตายอยู่อีกเรอะ?”

 

“ก็เพราะว่าไม่อยากตาย ข้าถึงต้องมาถามท่าน…”

 

ลู่จือยี่ลังเลและถอนหายใจ

 

“เจ้าจะต้องสร้างสมดุล ในระหว่างการหลอมรวมต้นกำเนิด เจ้าจะต้องไม่ปล่อยให้พลังต้นกำเนิดทั้งหมดไม่มีความเสถียร มิเช่นนั้นจะเกิดการระเบิด เจ้าจะหาวิธีคิดหาวิธีทำให้ทั้งสามธาตุมั่นคง! เจ้าจะต้องควบคุมธาตุทั้งสามได้ในขั้นสูง แต่คนอย่างเจ้าที่ยังไม่เป็นกึ่งเทพ…คงยากที่เจ้าจะควบคุมมันได้อย่างแม่นยำ ทางเดียวคือต้องบ่มเพาะวิชาที่สร้างร่างเทียม ถ้ามีร่างเทียมสองร่างแล้วใช้แต่ละร่างในการควบคุมหนึ่งธาตุ เช่นนั้นก็จะมีโอกาสที่จะทำให้ทั้งสามธาตุมั่นคง”

 

ร่างเทียมรึ? ซือหยูลูบคาง เขาบ่มเพาะเศษตำราร่างเทียมมาแล้ว ถ้าเขาบ่มเพาะจนถึงระดับสูงสุด เขาจะสร้างร่างเทียมได้สองร่าง แต่น่าเสียดายที่เขายังไม่มีความเติบโตในวิชานี้มานานแล้ว

 

ซือหยูมองลู่จือยี่ เขาสัมผัสได้ว่าระดับความมั่นคงในนางเปลี่ยนไปและสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก นางไม่แม้แต่ลังเลที่จะใช้ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ที่เป็นสมบัติล้ำค่าในจิวโจวเพื่อทำให้ควาปรารถนาของซือหยูเป็นจริง เขาคิดว่าสิ่งที่เขาต้องแลกจะต้องไม่ใช่น้อยๆแน่…!

 

“ข้าทำความปรารถนาทั้งหมดของเจ้าแล้ว…”

 

ลู่จือยี่แววตาเปลี่ยนไป

 

“และตอนนี้ ข้าก็ไม่ละอายสิ่งที่ข้าจะทำกับเจ้าอีก!”

 

ซือหยูเตรียมตัวมานานแล้วเมื่อเห็นสิ่งที่นางทำ เขาหายตัวไปพร้อมกับสายฟ้าอย่างไร้ร่องรอย

 

ลู่จือยี่ตัวแข็งทื่อ ความโกรธแค้นฉาบใบหน้า ใบไม้ทองคำร่วงจากแขนเสื้อ

 

“ฮื่ม!”

 

“คิดจะหนีหลังจากที่ฉวยโอกาสข้าไปแล้วน่ะรึ?”

 

นางได้ลงแรงไปมากในการทำให้ความปรารถนาของซือหยูเป็นจริง นางจะปล่อยให้เขาหนีไปได้อย่างไร?

 

ใบไม้ทองคำส่องแสง นำพานางไปยังระยะพันลี้ในพริบตาเดียว

 

ซือหยูนั้นหนีมาแล้วร้อยลี้ หลังจากที่เขาปรากฏตัว เขาก็หายตัวหนีไปไกลกว่าเดิมอีก ลู่จือยี่นั้นมาถึงในจุดที่เขาหายไปติดต่อกันในไม่นาน

 

ไม่กี่อึดใจ ซือหยูกลับไปที่ตำหนักลับสวรรค์ เขากำลังจะหนีอีกครั้งแต่ก็พบว่ามิติรอบกายหดแน่นขึ้น ลู่จือยี่ใช้พลังมิติกักขังเขาเอาไว้

 

ซือหยูกำลังจะใช้ลำดับห้าธาตุแต่ลู่จือยี่นั้นเร็วกว่า นางก้าวเข้าไปจรดนิ้วเรียวยาวที่ตัวซือหยูก่อนจะทำให้มิติรอบกายเขาบีบอัดเข้าหากัน

 

จากนั้นซือหยูก็มิอาจขยับร่างกายได้อีกเลย แม้แต่พลังวิญญาณเขาก็ใช้ไม่ได้ เขาราวกับเป็นหุ่นเชิด

 

ซือหยูฝืนยิ้ม เขายังคงสับสนว่าเหตุใดลู่จือยี่จึงฟื้นตัวได้เร็วเช่นนี้ แล้วเหตุใดนางจึงทำตัวอย่างประหลาดเช่นนี้อีก? ความเต็มใจในการทำความปรารถนาของซือหยูจากนางคืออะไรกัน?

 

“ถ้าข้ามีทางเลือก ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นเช่นกัน”

 

ลู่จือยี่พูด

 

นางถอนหายใจเบาๆ สีหน้านางอ่อนโยนขึ้น นางทั้งโศกเศร้าและละอายใจ นางสะบัดดัชนีพาซือหยูมาในที่เงียบไร้ผู้คน

 

ซือหยูเริ่มอึดอัดใจ

 

“ท่านผู้เฒ่าจะทำอะไรกับข้ากันแน่า?”

 

ลู่จือยี่ถอนหายใจด้วยความรู้สึกผิด

 

“หยินหยู อย่าโทษข้าเลย ข้าไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ข้าคิดอยู่แล้วว่ามันจะต้องมีเรื่องเกิดขึ้นในกระโจมเทพสวรรค์ เพื่อป้องกันเหตุนั้น วิชาลับนี้จะต้องใช้จากเด็กหนุ่มและหญิงสาวเท่านั้น”

 

“แต่หลานหวูอู๋ยี่ของข้าอยู่ที่ใดก็มิอาจทราบ ข้าจึงนำยู่จางมาแทนที่นาง แต่พอมาถึงชั้นแปด นางก็กลับหายตัวไปอีก! แต่เพลิงพิษในตัวข้ามิอาจแก้ได้ด้วยใบไม้ทองคำเพียงอย่างเดียว ข้าจึงต้องเอาพลังจ้าวเทวะของข้ากลับมาเพื่อจะขับเพลิงพิษออกไป แต่ถ้าไร้ชายหนุ่มและหญิงสาว ข้าก็ใช้วิชาลับไม่ได้!”

 

ซือหยูเริ่มเข้าใจเรื่องราวหลังจากที่ฟังนางมาถึงตอนนี้

 

“เช่นนั้น ท่านก็จะใช้ตัวเองแทนหวูอู๋ยี่และใช้วิชาลับใช่หรือไม่?”

 

ลู่จือยี่พยักหน้า

 

“ถ้าข้าใช้มันด้วยตัวเอง ผลของมันก็อาจจะอ่อนลงไปเล็กน้อย แม้จะยากที่ข้าจะได้ฐานพลังจ้าวเทวะกลับมา แต่อย่างน้อยข้าก็จะได้พลังขั้นท้ายๆของขอบเขตภูติ นั่นก็เกินพอแล้วที่จะขับเพลิงพิษออกไป”

 

“ก็เลยจะใช้ข้าแทนที่เว่ยกังสินะ?”

 

ซือหยูเม้มปาก นี่ไม่ใช่เวลาดีเลยที่เว่ยกังจะหมดสติ

 

ลู่จือยี่พยักหน้าด้วยความรู้สึกผิด

 

“ข้าคิดว่าการที่ข้าช่วยเหลือเจ้าเมื่อสักครู่ก็เกินพอที่จะชดใช้เจ้าแล้ว”

 

ซือหยูมิอาจยอมรับ นั่นก็เพราะว่าลู่จือยี่ช่วยเหลือเขา ถ้าเขาช่วยนาง เขาก็คงจะไม่คิดอะไร แต่…

 

“แล้วผลที่จะเกิดกับข้าเล่า?”

 

ซือหยูถามไปตรงๆ

 

ลู่จือยี่ละอายใจเล็กน้อย นางไม่กล้าจะมองตาซือหยู นางพูดเสียงค่อย

 

“การใช้วิชาลับนี้ต้องใช้โลหิตของทั้งสองฝ่าย แต่มันต้องใช้โลหิตเป็นจำนวนมาก…และฐานพลังของเจ้าก็อาจจะลดลงมาได้”

 

ฐานพลังจะ…ลดลงรึ? ซือหยูหนาวสั่น ผลข้างเคียงที่รุนแรงเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ!

 

ซือหยูรีบเปลี่ยนใจ สำหรับคนมากมาย ถ้าหากฐานพลังถูกลดลง ในชีวิตนี้พวกเขาก็ไม่อาจจะได้พลังนั้นกลับมาอีกไปตลอดชีวิต! ไม่แปลกใจที่ลู่จือยี่ได้เสนอผลประโยชน์มากมายแก่เขาเป็นการชดเชย ด้วยผลข้างเคียงที่รุนแรงเช่นนี้ คนบ้าที่ไหนกันจะยอมรับได้?

 

ซือหยูแสยะยิ้ม

 

“ข้าจะไม่ทำ เจ้าช่วยข้าเปลี่ยนสมบัติให้กลับมาเป็นอย่างเดิมเถอะ”

 

ลู่จือยี่หน้าแดง ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

 

“ข้าขอโทษ แต่มีแค่การใช้วิชาลับเท่านั้นที่ข้าจะได้ฐานพลังกลับมาและไม่ถูกย้ายออกไปจากกระโจมเทพ! ข้ายังอยากจะอยู่ที่นี่ต่อ ข้าต้องหาวิชาช่างลับสวรรค์ให้เจอเพื่อช่วยคนหนึ่งคน หยินหยู ข้าขอโทษ โปรดยกโทษให้ข้าเถอะ!”

 

ถ้าลู่จือยี่อยากจะขับเพลิงพิษออกจากตัว นางก็ต้องใช้ฐานพลังในระดับจ้าวเทวะของตัวเอง และมีเพียงการใช้วิชาลับเท่านั้นที่จะทำให้นางได้รับพลังและไม่ถูกย้ายออกไปจากกระโจมเทพสวรรค์

 

วิชาช่างสวรรค์ลับรึ? ซือหยูถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถ้าเขามอบตำราในอกให้นาง นางก็ไม่ต้องอยู่ในกระโจมเทพสวรรค์อีกต่อไปแล้ว นางก็ไม่ต้องฝืนบังคับใช้วิชาลับกับซือหยูเช่นนี้

แต่ลู่จือยี่กลับแตะปลายดัชนีโดยไม่รอให้ซือหยูได้พูดอะไร มิติรอบๆหดเล็กลง นั้นทำให้ซือหยูขยับไม่ได้แม้แต่ปาก

 

ซือหยูอยากจะร้องไห้แต่ไร้ซึ่งน้ำตา วิชาช่างสวรรค์ลับอยู่กับเขา! นังโง่เอ้ย!

 

เพราะซือหยูพูดไม่ได้ เขาจึงทำได้แค่เพียงก้มลงมองอกตัวเองโดยหวังจะให้ลู่จือยี่เข้าใจ

 

นางถามด้วยความสงัสยเมื่อเห็นว่าลูกตาของซือหยูกลอกไปที่อกของตัวเอง

 

“มีสิ่งที่เจ้าอยากจะให้ข้าดูงั้นรึ?”

 

ซือหยูรีบพยักหน้าและแอบโล่งใจ นางอาจจะไม่ได้โง่ก็ได้ แต่คำพูดต่อมาของลู่จือยี่นั้นแทบจะทำให้เขากระอักเลือด!

 

“หืม…”

 

“แม้จะมาถึงขั้นนี้ เจ้าก็ยังคิดจะเล่นกลกับข้า ข้าเจอความเจ้าเล่ห์ของเจ้ามาก่อนแล้ว ขอโทษด้วย ข้าไม่คิดจะปล่อยให้เป็นไปอย่างที่เจ้าต้องการหรอก”

 

ซือหยูโกรธแค้น! ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่แค่โง่…แต่นางนั้นโง่เขลาเบาปัญญาเสียยิ่งกว่าเดรัจฉาน!

 

“จงทนสักครู่หนึ่ง”

 

“ขั้นตอนของวิชาลับต้องร่ายคาถา ข้าคงปล่อยให้เจ้าพูดไม่ได้หรอก”

 

ลู่จือยี่โยนบางอย่างไปที่พื้น วัตถุดิบมากมายเจาะพื้นกลายเป็นวงเวทขนาดสิบศอก

 

มีทั้งส่วนสีดำและส่วนสีขาว สัญลักษณ์หยินหยางปรากฏขึ้น จากนั้นลู่จือยี่วางร่างของซือหยูไว้กับส่วนขาวและนั่งลงบนส่วนสีดำ

 

พฤติกรรมของนางดูไม่เป็นธรรมชาติ นางละอายใจเกินกว่าจะมองตาซือหยู นางก้มลงร่ายคาถาเงียบๆและเริ่มจะใช้วิชาลับหยินหยาง