ตอนที่ 418 จดหมายสั่งเสีย

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 418 จดหมายสั่งเสีย

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า สิบค่ำ เดือนสิบ ณ ริมแม่น้ำฉินหวายแห่งเมืองจินหลิง

เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงบรรยากาศก็ยิ่งหนาวเหน็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้ฝนเม็ดที่กระหน่ำลงมาเช่นนี้

หยูชิงหลานองค์หญิงสามแห่งราชวงศ์หยูจ้องมองฮั่วหวยจิ่นด้วยความรักใคร่ “รุ่งเช้า…ข้าจะต้องออกเดินทางไปยังแคว้นฮวงแล้ว”

ฮั่วหวยจิ่นที่กำลังกางร่มกระดาษให้กับหยูชิงหลาน ได้เงียบไปเนิ่นนาน จากนั้นจึงได้ถอนหายใจออกมาเพื่อตอบรับว่าตนนั้นได้รับรู้แล้ว

“หากข้ามิกลับมา…เจ้าก็จงหาสตรีที่ดีกว่าข้า” หยูชิงหลานยื่นมือออกไปจัดแต่งเสื้อนอกของฮั่วหวยจิ่น นางได้ข่มใจฝืนยิ้มออกมาให้คนรักได้เห็น “ข้าจะต้องกลับมาให้ได้ กลับมาอย่างไร้มลทิน”

ฮั่วหวยจิ่นสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ จากนั้นจึงก้มหัวลง “ฝ่าบาททรงมิเห็นด้วยที่จะให้ข้าติดตามท่านไปยังแคว้นฮวง อีกทั้งเขาก็ได้ตายจากไปแล้ว…”

เขา ณ ที่นี้ย่อมหมายถึงฟู่เสี่ยวกวน

เพราะก่อนที่ฟู่เสี่ยวกวนจะเดินทางไปยังแคว้นอู๋ ฮั่วหวยจิ่นได้ฝากความปลอดภัยขององค์หญิงสามไว้ที่เขา เพราะมีเพียงเขาเท่านั้นที่จะสามารถนำองค์หญิงสามกลับมาได้อย่างสวัสดิภาพ

ทว่าตัวเขากลับจบชีวิตลงในผืนปฐพีของแคว้นอู๋เสียแล้ว !

จึงทำให้ฮั่วหวยจิ่นหมดสิ้นความหวัง !

ภารกิจในการส่งตัวเจ้าสาวที่แคว้นฮวงครานี้นำโดยสวี่หวยซู่เสนาบดีกรมพิธีการ และขุนนางที่ติดตามไปนั้นล้วนแต่เป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน พวกเขามีภารกิจเพียงแค่ส่งตัวเจ้าสาวให้สำเร็จเท่านั้น พวกเขาคงมิคิดที่จะนำตัวองค์หญิงสามกลับมา และคงไร้ความสามารถที่จะนำตัวพระนางกลับมาเช่นกัน

เช่นนี้ก็เป็นที่แจ่มชัดแล้วว่าบทสรุปของการเดินทางครานี้จะลงเอยลงเยี่ยงไร

นางย่อมตกเป็นพระมเหสีของท่าป๋าเฟิงผู้ซึ่งเป็นประมุขของแคว้น และเป็นพระมารดาผู้ให้การบ่มเพาะเลี้ยงดูโอรสธิดาผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ของจักรพรรดิแห่งแคว้นฮวง เป็นการยากที่จะกลับมาเหยียบผืนปฐพีบ้านเกิดเมืองนอนอีกครา

“คืนก่อนข้าได้แวะไปเยี่ยมองค์หญิงเก้า และได้สนทนากับนางอยู่สักพัก”

“นาง…นางเองก็คงรู้สึกเศร้าใจอยู่มิน้อย”

“แต่นางกลับจิตใจสงบขึ้นมากโข อาจเป็นเพราะเวลาได้ล่วงไปกว่าครึ่งปีแล้ว ความคะนึงหาที่แบกอยู่ในอกจึงมิหนักเท่าเมื่อเริ่มแรกและดูเหมือนว่าได้ลดลงไปมากพอควร” หยูชิงหลานหันหน้าที่แสนอ่อนโยนนั้นไปหาฮั่วหวยจิ่น “นี่คงจะเป็นลิขิตชีวิตของเหล่าสตรี เนื่องจากฮองเฮาซั่งผลักดันองค์หญิงเก้าให้มิเชื่อในเรื่องลิขิตสวรรค์ ด้วยเหตุนี้นางจึงได้เดินทางไปยังเมืองหลินเจียงเพื่อฟู่เสี่ยวกวน”

หยูชิงหลานหันกลับไป สายตาของนางนั้นได้ทอดมองไปยังแม่น้ำฉินหวายที่บัดนี้ได้มีหมอกความเย็นปกคลุมไปทั่วผืนน้ำ “นางเป็นสตรีที่หวังจะควบคุมโชคชะตาด้วยตนเอง แต่ทว่าฟ้าดินช่างใจร้ายยิ่ง ท้ายที่สุดก็ได้ทอดทิ้งให้นางเผชิญความเจ็บปวดโดยลำพัง”

“หวยจิ่น เจ้ายังจำเมื่อปีนั้นที่พวกเราได้พบพานกัน ณ แม่น้ำฉินหวายแห่งนี้ได้หรือไม่ แม่น้ำแห่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นความรักของคู่รักหลายคู่ ทว่าท้ายที่สุดก็ได้กลายเป็นโศกนาฏกรรม…ดั่งเช่นสวี่หยุนชิงและจักรพรรดิเหวิน ดั่งเช่นฟู่เสี่ยวกวนและต่งซูหลาน หรืออย่างเช่น…ข้ากับเจ้า”

“วันนี้ที่เรียกเจ้ามาพบก็เพื่อจะได้มองหน้าเจ้าดี ๆ อีกสักครา และอีกอย่างข้าก็ใคร่มามองแม่น้ำฉินหวายแห่งนี้ ว่าเหตุใดมันถึงกลบฝังความฝันอันสวยงามของผู้คนมานักต่อนักกัน ? ”

“องค์หญิงเก้าเอ่ยกับข้าว่าอย่าได้สิ้นหวังที่จะกลับมาเป็นอันขาด ข้าย่อมปรารถนาที่จะกลับมา เเต่ทว่า…ข้าจะกลับมาได้เยี่ยงไร ? ”

“องค์หญิงเก้าบอกให้ข้าสั่งให้ขบวนหยุดรอที่อำเภอผิงหลิงเป็นเวลา 1 วัน ข้าเองก็เข้าใจความหมายในสิ่งที่นางเอ่ย เพราะที่นั่นคือปฐพีตอนเหนือสุดของบ้านเกิดเมืองนอน นางอาจจะอยากให้ข้าได้มองทอดผืนปฐพีของตนเองเสียให้เต็มตา คลุกคลีกับบ้านเกิดเมืองนอนให้มากขึ้น สูดความหอมอบอวลของกลิ่นแคว้นหยูให้เต็มที่”

ฮั่วหวยจิ่นชะงักด้วยความตกใจ หยุดรอที่อำเภอผิงหลิงเป็นเวลา 1 วันเยี่ยงนั้นหรือ ?

หลังจากกองกำลังดาบเทวะได้ปราบปรามกองโจรที่ภูเขาผิงหลิงจนมิเหลือซากก็ได้ตรงไปยังแคว้นฮวงในทันที และกองกำลังดาบเทวะก็ถูกก่อตั้งขึ้นโดยฟู่เสี่ยวกวน หรือองค์หญิงเก้าประสงค์จะหมายความว่าให้รอกองกำลังวกกลับมาเพื่ออารักขาองค์หญิงสามไปยังแคว้นฮวงใช่หรือไม่ ?

เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาภายในใจ แม้ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะตายจากไปแล้ว แต่กองกำลังนี้ก็ได้บุกโจมตีกองกำลังของกงเซินจ่างเพื่อสนองความปรารถนาของเขาเมื่อตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ !

“ชิงหลาน ! ”

“อือ”

“หันมามองข้าสิ ! ”

หยูชิงหลานได้เอนตัวหันไปหาฮั่วหวยจิ่น บัดนี้ใบหน้าของเขาได้เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นและไร้กังวล

“เจ้าต้องจำคำขององค์หญิงเก้าไว้ให้ดี ต้องให้ขบวนส่งตัวเจ้าสาวรอที่นั่นเป็นเวลา 1 วัน ! ”

“รอสิ่งใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“รอกองกำลังดาบเทวะ หรืออาจจะรอไป๋ยู่เหลียน ! ”

……

ณ สวนด้านหลังที่ว่าการอำเภอผิงหลิง

จางเหวินฮั่นนายอำเภอได้นั่งจ้องมองผู้ที่อ้างตนว่าเป็นไป๋ยู่เหลียนอย่างเพ่งพินิจ สายตาคู่นั้นถลึงโตเสียจนน่ากลัว !

“เจ้าบอกว่าเจ้าคือไป๋ยู่เหลียนเยี่ยงนั้นหรือ เจ้าคือวีรบุรุษผู้นั้นที่กำราบกองกำลังของกงเซินจ่างเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ไป๋ยู่เหลียนยักไหล่ “ใช่… ! ”

จางเหวินฮั่นหัวเราะร่าออกมา แล้วได้ส่ายหัว “มิกี่ปีมานี้พวกมิจฉาชีพได้ลดน้อยลงไปมากแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด เพราะว่าที่แห่งนี้มันยากจนข้นแค้น จะหลอกเพื่อหาเงินนั้นย่อมเป็นไปมิได้อย่างแน่นอน”

หลังจากนั้นสีหน้าของเขาได้แปรเปลี่ยนไปเป็นอาฆาตมาดร้ายในทันที “จงบอกข้ามาด้วยความสัตย์ว่าแท้จริงแล้วเจ้าเป็นผู้ใด มิเช่นนั้นก็อย่าได้โทษข้าที่ต้องจับเจ้าเข้าตาราง ! ”

ไป๋ยู่เหลียนที่เป็นผู้บริสุทธิ์จึงลอบคิดในใจว่า ข้าก็เพียงแค่ทำหน้าที่นำคำกล่าวของฟู่เสี่ยวกวนมาบอกต่อก็เท่านั้นเอง นี่เจ้ายังมิเชื่อเสียด้วยซ้ำว่าข้าคือไป๋ยู่เหลียน !

จะเอาหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ว่าตนคือไป๋ยู๋เหลียนตัวจริงกัน

จางเพ่ยเอ๋อร์ผู้ที่นั่งอยู่ด้านข้างในมือของนางนั้นได้กุมกระบี่คู่กายไว้แน่น นางจ้องมองชายหนุ่มรูปงามเบื้องหน้าด้วยความระแวดระวัง ยุคสมัยนี้ชายหนุ่มที่หน้าตางดงามนั้นต่างไว้ใจมิได้ และเกินครึ่งก็เป็นพวกกะล่อนปลิ้นปล้อน

“นายอำเภอจาง ข้ามิได้มีเวลามาไร้สาระกับท่านหรอก ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อคุณชายของข้า ก็เพื่อสานต่อสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนได้สั่งเสียเอาไว้ในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่”

จางเพ่ยเอ๋อร์และจางเหวินฮั่นต่างผงะ “เขาสั่งเสียสิ่งใดกับเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“อีกมิกี่วันช่างฝีมือก็จะเดินทางมาถึงอำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้ ความประสงค์ของคุณชายก็คือก่อตั้งโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ โรงงานอิฐและกระเบื้องในทั้งสองอำเภอนี้ ทั้งสองโรงงานนี้ต้องการแรงงานจำนวนมาก ก็เลยอยากรู้ว่าปัญหาในการทำงานของชาวบ้านทั้งสองอำเภอนี้มีสิ่งใดบ้าง ? ”

ไป๋ยู่เหลียนพยายามที่จะเฟ้นหาคำเอ่ยให้เป็นทางการ “หรือท่านจะเข้าใจเช่นนี้ก็ย่อมได้ เป็นเรื่องยากสำหรับชาวบ้านที่จะอยู่รอดในฤดูหนาว ถ้าหากพวกเรารับสมัครพวกชาวบ้านมาเป็นแรงงาน แล้วจ่ายค่าตอบแทนเท่ากันกับที่ซีซาน ทุกคนจะได้รับค่าตอบแทน 50 อีแปะ แม้ว่าราคาอาหารแห้งที่นี่จะแพงกว่าที่เมืองหลินเจียงมาก แต่ 15 อีแปะอย่างน้อยก็ซื้อธัญพืชที่มิขัดสีได้ถึง 5 ชั่ง”

“ความตั้งใจของคุณชายก็เป็นเยี่ยงนี้ ทำให้เหล่าราษฎรทั้งหลายมีงานทำ มีเงินอยู่ในกระเป๋า เช่นนี้แล้วพวกเขาก็ย่อมข้ามผ่านความหนาวเหน็บที่กำลังจะมาถึงได้ หากเป็นเช่นนี้ก็ย่อมมีความหวังในการใช้ชีวิตต่อไป…ถึงตอนนี้แล้วข้ายังดูเหมือนมิจฉาชีพอยู่อีกหรือไม่ ? ”

จางเหวินฮั่นหยุดชะงักไปชั่วครู่ “ประเดี๋ยวนะ แต่บัดนี้กองกำลังดาบเทวะได้เดินทางไปแคว้นฮวงแล้ว แล้วไป๋ยู่เหลียนก็คือแม่ทัพนำกองกำลัง…เจ้า ตกลงเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่ ? ”

เอาล่ะ…ไป๋ยู่เหลียนได้ล้มเลิกความพยายามที่จะพิสูจน์ตัวตน “เอาเป็นว่าอย่าได้สนใจเลยว่าข้าเป็นผู้ใด ข้าใคร่ถามท่านว่าจะยอมรับโครงการของคุณชายหรือไม่ ? ”

โรงงานปูนซีเมนต์ที่ซีซานนั้นใช้แรงงานราว 10,000 คน สิ่งนี้จางเหวินฮั่นรู้ดี และจำนวนประชากรทั้งหมดของอำเภอก็มีมิถึงหมื่นคน หากสามารถสร้างโรงงานปูนและกระเบื้องขึ้นมาได้ก็หมายความว่าทุกคนจะสามารถทำงานหาเลี้ยงชีพได้

“ยอมรับสิ ต้องยอมรับอยู่แล้ว นี่เป็นถึงโครงการของฟู่เสี่ยวกวน ข้าย่อมให้ความร่วมมืออยู่แล้ว ว่าแต่ข้าจะต้องทำเยี่ยงไรบ้าง ? ”

จางเหวินฮั่นได้เปลี่ยนท่าทีเป็นกระตือรือร้นขึ้นมา นี่มันเท่ากับว่าส่งถ่านมาให้ท่ามกลางหิมะอันหนาวเหน็บเลยมิใช่หรือ !

ยามค่ำต้องกลับไปจุดธูปขอบคุณฟู่เสี่ยวกวน แล้วเผากระดาษเงินไปให้ จากนั้นก็เชิญเขาดื่มสุราสักจอก !

“หากคำนวณตามระยะเวลาแล้ว คนจากซีซานจะมาถึงที่นี่ภายในห้าวันนี้ นี่คือจดหมายที่คุณชายได้เขียนเอาไว้ให้ท่าน ท่านจงไปทำตามแผนที่เขาได้วางไว้ก็พอ”

จางเหวินฮั่นรับจดหมายฉบับนั้นไป และจางเพ่ยเอ๋อร์ก็ได้โพล่งถามออกมาด้วยความตื่นเต้น “เขายังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่ ? ”

“…เปล่า เขาตายไปแล้ว”

“เป็นไปมิได้ เยี่ยงนั้นเขาจะเขียนจดหมายมาให้พี่ชายของข้าได้เยี่ยงไรกัน ? ”

“…อ่า นี่เป็นจดหมายสั่งเสีย จดหมายสั่งเสียที่คุณชายได้ทิ้งเอาไว้ ! ”