บทที่ 367 บูรณะจวนเฟิ่ง

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

เย่เฉิงมีประโยชน์มากกว่าตระกูลซู ดังนั้นจึงไม่สนใจตระกูลซู สนใจแต่เพียงการกระชับความสัมพันธ์กับเย่เฉิง จิ่วชิงช่าง……คิดการได้รอบคอบจริงๆ!
ปู้จิงหยุนเหลือกตามองบนให้หลานจิ่วชิงเห็น รู้ทั้งรู้ว่าเขาตัดสินใจผิดพลาดเพียงเพราะผู้หญิงคนเดียวที่ชื่อเฟิ่งชิงเฉิน เขาไม่ยอมรับก็ช่างเถอะ หลังเกิดเรื่องแล้วยังยืนพูดหน้าตาย บนโลกนี้คงมีแต่หลานจิ่วชิงที่ทำได้ ความหนาของหน้าเขาช่างน่าตื่นตะลึงเสียจริง
“หลานจิ่วชิง เจ้ายังจะหน้าตายได้มากกว่านี้อีกไหม?” ปู้จิงหยุนกล่าวอย่างหงุดหงิด ตระกูลซูกับเย่เฉิงไม่ได้เป็นอริกัน จะกระชับความสัมพันธ์กับทั้งสองฝ่ายก็ย่อมได้อยู่แล้วนี่
“คนที่หน้าตายคือเสด็จอาเก้าต่างหาก ข้าไม่เคยทำเรื่องที่ไร้ยางอายมาก่อน” หลานจิ่วชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย
“เอะอะก็ไปลงที่เสด็จอาเก้า เป็นลูกผู้ชายที่ใจกล้าหน่อยสิ” ปู้จิงหยุนเบ้ปากพร้อมทำท่าดูหมิ่น
“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับการเป็นลูกผู้ชายล่ะ นี่คือความจริง” หลานจิ่วชิงไม่แยแส
“ความจริง? ก็ช่างพูดออกมาได้ การที่เจ้าพูดออกมาเช่นนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าในใจเจ้าจะเข้าใจความหมายของมันดีหรือเปล่า อยากให้เรื่องนี้มาช่วยสานสัมพันธ์กับเย่เฉิง เสด็จอาเก้าคงไม่ได้ต้องการหว่านล้อมซูหว่านกับเย่เย่หรอกกระมัง?” ปู้จิงหยุนมองหลานจิ่วชิงด้วยความสงสัย เสด็จอาเก้าไม่ได้ใจดีขนาดนั้นที่จะให้เย่เย่ได้ในสิ่งที่ต้องการ
“เจ้าอยู่กับเป่าเอ๋อมากเกินไปแล้ว ก็เลยใสซื่อเหมือนกับนางงั้นสิ?” หลานจิ่วชิงพูดจากระทบกระเทียบแล้วตบบ่าปู้จิงหยุน
“เสด็จอาเก้าปฏิเสธซูหว่าน ทำให้ซูหว่านต้องเสียหน้า นางคงจะเคียดแค้นเสด็จอาเก้าเป็นแน่ หากให้ซูหว่านแต่งงานกับเย่เย่ เย่เย่หลงใหลซูหว่านมาก เพียงนางเป่าหูเขาเล็กน้อยก็สามารถทำให้เย่เย่กลายเป็นศัตรูกับเสด็จอาเก้าได้ เสด็จอาเก้าต้องสิ้นคิดจริงๆจึงส่งซูหว่านไปให้กับเย่เย่”
“ต่อให้เย่เย่ไม่แต่งงานกับซูหว่าน เขาก็ไม่มีทางช่วยเสด็จอาเก้าอยู่ดี” ปู้จิงหยุนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อนึกถึงเย่เย่ก็ทำให้เขานึกถึงความอัปยศของตัวเอง หากเป็นไปได้เขาก็อยากกำจัดเย่เย่เสีย
เหอะๆ แต่เขาไม่สามารถทำได้ เพราะเย่เย่ยิ่งใหญ่ในเย่เฉิง หากสังหารเย่เย่ เมืองเย่เฉิงไม่มีทางปล่อยเขาเอาไว้แน่ แต่เมื่อได้ยินว่าเย่เย่อาจไม่ได้แต่งงานกับซูหว่านที่ตนเองหมายปอง ก็ทำให้ปู้จิงหยุนรู้สึกโล่งใจขึ้น
หลานจิ่วชิงยิ้มและกล่าวว่า “ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร เสด็จอาเก้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเย่เย่หรอก ขอเพียงให้เขายอมให้ความร่วมมือกับเสด็จอาเก้าก็พอแล้ว เรื่องของซูหว่านพวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล เดี๋ยวข้าทำให้ทุกอย่างคลี่คลายเอง ตอนนี้ข้ากำลังเป็นกังวลกับเรื่องความปลอดภัยของเฟิ่งชิงเฉิน”
“หนานหลิงจิ่นฝานเป็นคนที่คิดร้ายและชอบการแก้แค้น ครั้งก่อนเพราะเฟิ่งชิงเฉิน ทำให้เขาเจอเรื่องเดือดร้อนในตงหลิงจนต้องวิ่งหนีกลับหนานหลิงแทบไม่ทัน”
“ส่วนหนานหลิงจิ่นสิงที่คอยแย่งชิงอำนาจกับเขาก็ดันเคยได้รับความช่วยเหลือจากเฟิ่งชิงเฉินมาก่อน มีทั้งศัตรูและคู่แค้น หนานหลิงจิ่นฝานไม่มีทางปล่อยเฟิ่งชิงเฉินไปแน่นอน การมาเยือนตงหลิงของเขาในครานี้ ดูเผินๆเหมือนเป็นแค่การมาหารือเรื่องแต่งงาน แต่อันที่จริงแล้วเขากลับมาเพื่อแก้แค้นต่างหาก เขาไม่หมายตาเสด็จอาเก้าหรอก แต่เฟิ่งชิงเฉินกำลังตกอยู่ในอันตรายแน่นอน”
หลานจิ่วชิงพูดพร้อมกับจ้องมองหน้าปู้จิงหยุน ปู้จิงหยุนจะทำเป็นไม่หือไม่อือก็ไม่ได้ จึงได้แต่เอ่ยว่า “ที่เจ้าพูดพล่ามมาตั้งนาน คือต้องการให้ข้าช่วยปกป้องเฟิ่งชิงเฉินใช่หรือไม่? วางใจเถอะ ข้าไม่ให้เฟิ่งชิงเฉินถูกลอบสังหารหรอก แล้วอีกอย่างในเมืองหลวงจะมีคนร้ายแฝงตัวเข้ามาง่ายๆได้อย่างไร”
ปู้จิงหยุนอยากถามหลานจิ่วชิงจริงๆว่าเฟิ่งชิงเฉินนั้นมีอะไรดีจนทำให้เขาครุ่นคิดไปใหญ่โต แต่เอาเถอะ ปู้จิงหยุนลืมไปหมดแล้ว ครั้งแรกที่เขาเห็นเฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกดีกับนางเช่นเดียวกัน
ทางด้านตระกูลซุนก็กำลังหารือกับหวังจิ่นหลิงเรื่องการปลูกสร้างจวนเฟิ่งขึ้นมาใหม่ ทันใดนั้นเองก็เกิดจามขึ้นมา เขาจึงคิดในใจว่า “เสด็จอาเก้าคงไม่ได้วางแผนเรื่องข้าหรอกกระมัง!”
“มีเจ้าคอยดูอยู่ใกล้ๆข้าก็วางใจแล้ว” เมื่อได้คำตอบที่ต้องการแล้ว หลานจิ่วชิงก็ไม่รีรอ เขาหันไปบอกกับซูเหวินชิงว่า “เหวินชิง ของที่เจ้าจะทำในวันนี้อย่าเพิ่งแพร่งพรายล่ะ ข้าจำเป็นต้องใช้มัน”
น้ำเสียงเขาราบเรียบ ทว่าไม่มีการเปิดโอกาสให้ปฏิเสธหรือหารือแต่อย่างใด
“อะไรนะ? ห้ามแพร่งพรายอย่างนั้นหรือ? ทำไมล่ะ? ข้าสั่งคนให้ไปเตรียมการแล้ว หากนำไปวางขายไม่ได้ เงินที่ข้าลงทุนไปก็ต้องสูญเปล่าน่ะสิ” ซูเหวินชิงเคยชินกับการฟังคำสั่งหลานจิ่วชิง แต่ก็อดทักท้วงไม่ได้ เขารู้มูลค่าของคันฉ่องชิ้นนั้นเป็นอย่างดี หากขายได้เขาก็จะได้เงินมาเป็นกอบเป็นกำ ตอนนี้อย่าว่าแต่กำไรเลย แม้แต่ต้นทุนคงไม่ได้คืนด้วยซ้ำ
“อย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องเงินสิ ของชิ้นนั้นในภายภาคหน้าจะมีมูลค่าสูงมากกว่านี้อีกนะ” หลานจิ่วชิงแววตาเป็นประกาย ซูเหวินชิงฟังแล้วก็ได้บ่นพึมพำ “หากข้าไม่คิดมากเรื่องเงิน แล้วเจ้าจะเอาเงินจากไหนมาใช้สอย เลี้ยงดูเหล่าทหารและวางแผนต่างๆล่ะ”
เงิน เงิน เงิน การสู้รบจะขาดเงินไปไม่ได้ หากไม่มีเงิน พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
หลานจิ่วชิงเข้าใจดี เขาจึงปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง “ข้ารู้ว่าเงินสำคัญมาก แต่หากหวังได้เงินแล้วต้องเปิดเผยเรื่องของล้ำค่าเช่นนี้ออกไปมันไม่คุ้มเลยน่ะสิ วันนี้ข้าประเมินดูแล้ว ในอนาคตข้างหน้า สิ่งของชิ้นนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการรบอย่างมาก หากจะเก็งกำไรวันหน้าก็ยังพอมีโอกาส”
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ตอนที่ข้าสั่งผลิตคันฉ่องเหล่านี้ก็เลือกสถานที่ที่ลับตา” ซูเหวินชิงรู้ว่าหลานจิ่วชิงวางแผนเพื่ออนาคต แม้เขาจะเสียดายอยู่ไม่น้อยแต่ก็พอทนไหว เขาอุตส่าห์นำของมาจากเฟิ่งชิงเฉิน แถมยังรู้วิธีการผลิต ในอนาคตข้างหน้าเขาอาจจะหาของแปลกๆมาเพิ่มอีกก็ได้
หลานจิ่วชิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เขาวางใจเสมอเมื่อให้ซูเหวินชิงทำงานให้ ดังนั้นภารกิจอีกรายการ เขาก็ตั้งใจว่าจะมอบหมายให้ซูเหวินชิงทำ “จวนเฟิ่งถูกเผาแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็กำลังยุ่งๆ เมื่อนางพอมีเวลาก็คงจะเตรียมการก่อสร้างใหม่ เหวินชิง เจ้าช่วยเป็นธุระเรื่องช่วยเฟิ่งชิงเฉินสร้างจวนเฟิ่งขึ้นมาใหม่หน่อยนะ”
“ช่วยเฟิ่งชิงเฉินสร้างจวนเฟิ่งขึ้นมาใหม่งั้นหรือ? จิ่วชิง นี่เจ้าจะดีกับนางถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” ซูเหวินชิงเริ่มบ่น ทั้งเรื่องส่วนตัวและส่วนรวม หลานจิ่วชิงก็โยนมาให้เขาทำทุกอย่าง หลานจิ่วชิงทำเกินไปแล้ว
เพียงแค่มองดูแววตา หลานจิ่วชิงก็รู้ว่าซูเหวินชิงกำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ใครบอกว่าเรื่องนี้ทำเพื่อเฟิ่งชิงเฉินล่ะ นี่มันเป็นเรื่องของส่วนรวม”
“เรื่องของส่วนรวมงั้นหรือ? จิ่วชิง เจ้าโกหก” ปู้จิงหยุนตำหนิอย่างไม่เกรงใจ “ช่วยเฟิ่งชิงเฉินสร้างจวนเฟิ่งขึ้นมาใหม่เรียกว่าเรื่องส่วนรวมอย่างนั้นหรือ? ทำไมเจ้าไม่ให้เสด็จอาเก้าไปทำล่ะ เสด็จอาเก้าเรียกใช้คนงานได้นี่นา”
สองคนนี้ไม่พอใจเฟิ่งชิงเฉินหรือไม่พอใจพฤติกรรมช่วงนี้ของเขากันแน่นะ? หลานจิ่วชิงคิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า
“เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนรุ่นหลังของตระกูลเฟิ่งหลี ในอดีตแผนที่เส้นโลหิตมังกรจิ่วโจวถูกแบ่งเป็น 9 ส่วน ตระกูลเฟิ่งหลีถือครองอยู่ 1 ส่วน ไม่แน่ว่าแผนที่เส้นโลหิตมังกรจิ่วโจวที่อยู่ในมือตระกูลเฟิ่งหลีอาจจะอยู่ที่จวนเฟิ่งก็เป็นได้ เพียงแต่ว่าเฟิ่งชิงเฉินยังไม่รู้ เพลิงไหม้ในครั้งนี้เผาจวนเฟิ่งจนวอดวาย อาจจะมีความลับบางอย่างเผยให้เห็นก็เป็นได้ จะอย่างไรก็ตามแต่ เมื่อพอจะมีความเป็นไปได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าแล้วจะปล่อยโอกาสให้หลุดมือไม่ได้นะ”
“จิ่วชิงพูดได้ดี แต่ว่าแผนที่เส้นโลหิตมังกรจิ่วโจวจะอยู่ที่จวนเฟิ่งหรือเปล่าล่ะ?” ซูเหวินชิงรอคำตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
พวกเขาตามหาแผนที่เส้นโลหิตมังกรจิ่วโจวมาหลายปีแล้ว แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ได้มาจากซีหลิงเทียนเหล่ยแค่เพียงส่วนเดียว อีกแปดส่วนที่เหลือไปตกอยู่ที่ใดก็ไม่มีใครรู้ หากจวนเฟิ่งมีแผนที่เส้นโลหิตมังกรจิ่วโจวจริงๆล่ะก็ นั่นถือเป็นเรื่องที่โชคดีมาก……