บทที่ 368 การตาย และสถานะพ่อแม่ตระกูลเฟิ่ง

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

แผนที่เส้นโลหิตมังกรจิ่วโจวจะอยู่ในจวนเฟิ่งหรือไม่ เรื่องนี้ใครจะคาดเดาได้?

แผนที่เส้นโลหิตมังกรจิ่วโจวเป็นของสำคัญยิ่งสำหรับพวกเขา ต่อให้มีความหวังแค่เพียงเศษเสี้ยวเดียวพวกเขาก็ยอมทำทุกวิถีทาง เรื่องนี้หลานจิ่วชิง ปู้จิงหยุน และซูเหวินชิงต่างก็รู้ดี ด้วยเหตุนี้ หลานจิ่วชิงจึงไม่กล้ายันยันมั่นเหมาะ เมื่อเห็นซูเหวินชิงมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยการคาดหวังจึงเอ่ยขึ้นมาว่า

“ลองดูก็ไม่เสียหายนี่ เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนตระกูลเฟิ่งหลีเพียงคนเดียวที่เราพบเจอในตอนนี้ และนางก็ไม่รู้เรื่องตระกูลเฟิ่งหลี ดังนั้นหากจวนเฟิ่งมีของเช่นนั้นจริง ก็คงจะยังซุกซ่อนอยู่ในนั้นนั่นแหละ เหวินชิง เจ้ากับชิงเฉินคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เรื่องการบูรณะจวนเฟิ่ง อย่าให้เป็นที่สังเกตล่ะ”

“ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะไปหาเฟิ่งชิงเฉิน เดี๋ยวข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง” ซูเหวินชิงในตอนนี้ดูจะร้อนใจยิ่งกว่าหลานจิ่วชิงเสียแล้ว

“ระวังหน่อยนะ อย่าให้เฟิ่งชิงเฉินสงสัยได้ล่ะ” หลานจิ่วชิงนึกถึงแววตาเฟิ่งชิงเฉินที่ดูเหมือนจะอ่านใจคนออกก็พลันรู้สึกเป็นกังวล จึงต้องกำชับซูเหวินชิงอีกครั้ง

“วางใจได้เลย เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ข้าไม่ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก” ซูเหวินชิงโต้ตอบได้เต็มปากเต็มคำ ความกังวลของเขาและหลานจิ่วชิงช่างแตกต่างกันยิ่งนัก

หลานจิ่วชิงไม่พูดอะไรต่อ เมื่อคุยธุระกันเสร็จแล้วก็เริ่มจะใกล้มืด ได้เวลาแยกย้ายไปตามที่ของตนเอง เมื่อหลานจิ่วชิงเดินจากไป ปู้จิงหยุนและซูเหวินชิงก็หันมามองหน้ากัน

จิ่วชิงก็ยังคงเป็นจิ่วชิง เขาไม่บุ่มบ่ามเพราะผู้หญิงเพียงคนเดียว ต่อให้เขาชอบเฟิ่งชิงเฉินจริง แต่เขาก็ต้องทำเพื่อตระกูลหลาน ในภายภาคหน้าพวกเขาก็ต้องหาโอกาสทำร้ายเฟิ่งชิงเฉิน

เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้เรื่องอะไรเลย หลังจากที่นางได้เจรจาเรื่องการบูรณะจวนเฟิ่งกับหวังจิ่นหลิงแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็กลับมานั่งเหม่ออยู่ในห้อง นางคิดทบทวนถึงสิ่งที่หวังจิ่นหลิงต้องการจะบอกนาง แล้วหยิบเอากล่องไม้ออกมาจากกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ นางนั่งมองกล่องไม้อยู่นาน แต่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดสังเกต

“ความหมายของจิ่นหลิงก็คือ ที่มาที่ไปท่านพ่อท่านแม่ข้ายังคงเป็นปริศนา บางทีจวนเฟิ่งอาจจะมีสิ่งของบางอย่างที่สามารถระบุสถานะท่านพ่อท่านแม่ได้ แต่ว่า……นอกจากกล่องไม้กล่องนี้แล้ว ข้าก็ไม่ได้เอาอะไรออกมาอีก หรือว่าของชิ้นนี้จะเปล่าประโยชน์ไปเสียแล้ว?”

“กล่องไม้กล่องนี้ไม่มีช่องว่างเลย หากไม่หนักเช่นนี้ข้าก็คงนึกว่าเป็นเพียงไม้ชิ้นหนึ่ง” เฟิ่งชิงเฉินพลิกกล่องไม้เพื่อสำรวจไปมา แต่ก็ยังไม่พบจุดที่ผิดสังเกต

สิ่งที่หวังจิ่นหลิงพยายามจะบอกนางในวันนี้ แม้ท่านพ่อของนางจะเกิดในครอบครัวธรรมดา ท่านแม่ถูกตราหน้าว่าเสื่อมเสีย แต่พวกท่านทั้งสองคนจะต้องมีสถานะที่ไม่ธรรมดาแน่ๆ

เพราะชาวบ้านธรรมดาคงจะไม่สามารถอุ้มชูลูกหลานจนเป็นผู้นำทัพทหารได้ และก็เป็นไปไม่ได้ที่ท่านแม่ผู้เข้มแข็งของนางจะเป็นหญิงที่เสื่อมเสีย

ลูกหลานชาวบ้านธรรมดาคงไม่สามารถเข้ารับการศึกษาและฝึกปรือได้ดีถึงเพียงนี้ ความรู้ความสามารถก็คงมีจำกัด ต่อให้จะฉลาดปราดเปรื่องเพียงใดก็เป็นได้แค่เพียงคนธรรมดาสามัญ

สถานะที่แท้จริงของท่านพ่อท่านแม่ ตระกูลหวังได้ไปสืบค้นแล้ว แต่กลับไม่พบร่องรอยใดๆเลย หมู่บ้านที่ท่านพ่อของนางเคยอาศัยอยู่ เมื่อครั้งเกิดสงครามก็กลายเป็นหมู่บ้านร้าง ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่อีกแล้ว

ส่วนท่านแม่ของนางก็มีเพียงตราประทับว่าเป็นหญิงชั้นต่ำ ข้อมูลอื่นๆยังคงเป็นปริศนา ท่านแม่ของนางเป็นคนพูดเองว่าตนจำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่ชื่อแซ่ก็ยังจำไม่ได้

สถานะของพวกเขาเหมือนจะชัดเจนดี แต่เนื่องจากตอนนั้นบ้านเมืองชุลมุน อีกหลายๆประเด็นจึงสืบหาไม่พบ แต่สืบไม่พบก็ไม่ได้หมายความว่าผู้คนจะคลายความสงสัย เพียงแต่ว่าการด่วนจากไปของท่านพ่อท่านแม่นางหามีผู้ใดใส่ใจไม่

เมื่อ 40 ปีก่อนบ้านเมืองมีสงคราม ชาวบ้านทั้งหลายกินอยู่อย่างแร้นแค้น ในแต่ละวันก็ต้องหวั่นวิตกกับการเอาชีวิตรอด จะฝึกปรือชายคนหนึ่งให้นำทัพเป็นได้อย่างไร จิ่นหลิงพูดถูก ท่านพ่อของนางจะต้องไม่ใช่ลูกชาวบ้านตามหมู่บ้าน สถานะท่านพ่อของนางจะต้องมีบางอย่างแอบแฝงอยู่เป็นแน่

และการจากไปของท่านพ่อ จู่ๆหวังจิ่นหลิงก็นึกขึ้นได้ว่าการตายของท่านพ่อของนางในตอนนั้นก็มีปัญหาอยู่มากมาย นางไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นช่วงสงคราม แต่หวังจิ่นหลิงรู้ดี

จากคำพูดของหวังจิ่นหลิง ทำให้ทราบว่าท่านพ่อของนางพลีชีพในสนามรบ เพราะทัพกองกำลังเสริมไปถึงสนามรบช้ากว่าเวลานัดหมายมากถึง 10 วัน ส่วนผู้ที่ทำให้ทัพกองกำลังเสริมถึงที่หมายล่าช้าก็ไม่ได้รับโทษ แต่กลับถูกยกย่องว่ามีชัยในการรบ ซึ่งผู้นำทัพกองกำลังเสริมในปีนั้นก็คือน้องชายของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน

หลังจากที่ท่านพ่อนางสิ้นชีพในสนามรบ อย่าว่าแต่กระดูกและชิ้นส่วนร่างกายอื่นๆเลย แม้แต่อาวุธที่ใช้ในการรบก็ยังหาไม่เจอ ส่วนท่านแม่ของนางนั้นก็ต้องตายเพราะไปช่วยฮองเฮา แต่ฮองเฮาก็หาได้ซาบซึ้งไม่ แถมยังชิงชังนางโดยไม่มีสาเหตุ

“ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านมีความลับอะไรกันแน่นะ นี่ข้ากำลังจะเปิดโปงสิ่งที่พวกท่านพยายามปิดบังเอาไว้หรือเปล่าคะ?” เฟิ่งชิงเฉินจับกล่องไม้พลางมองดูด้วยรอยยิ้มอันแสนเศร้า

เวลาผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว การต่อสู้ในวังหลวงก็ยังไม่สิ้นสุด หลายคนยอมลงจากหลังเสือ และมีคนชุดใหม่มาแทนที่ แม้สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเพราะนาง แต่จะจบลงเมื่อใดนั้น นางหาใช่ผู้กำหนด

หลี่เซี่ยงตายแล้ว ซูหว่าน ซีหลิงเทียนเหล่ย และเป่ยหลิงเฟิ่งเฉียนที่เงียบไปสักพักก็กลับมามีความเคลื่อนไหวอีกครั้ง องค์ชายแต่ละองค์ต่างก็มีกระดานหมากอยู่ในใจ แม้ตรงจุดนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับนาง แต่นางก็รู้สึกไม่ปลอดภัย กลัวว่าหากตนก้าวพลาดไปก้าวเดียว จะกลายเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง

เรื่องบางเรื่องจะไม่ให้นางเข้าไปข้องเกี่ยวก็ไม่ได้ เพราะเรื่องเหล่านี้พร้อมส่งผลมาถึงนางได้ทุกเมื่อ

เฮ่อ……เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจ นางเก็บกล่องไม้ ลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะเปลี่ยนชุดและแอบออกไปจากจวนซุน

นางอยากไปดูที่จวนเฟิ่ง……

หลังจากเฟิ่งชิงเฉินออกไปแล้ว ซุนเจิ้งเต้าก็ออกมาจากมุมลับ เขามองไปยังทิศทางที่เฟิ่งชิงเฉินหายไปด้วยแววตาที่ดูเหมือนจะคิดหนัก

จะพูดดีไหมนะ? ข้าควรพูดหรือไม่ควรกันแน่?

แต่พูดไปแล้วแล้วอย่างไรล่ะ? ทำเช่นนั้นแล้วผลจะเป็นอย่างไร?

ซุนเจิ้งเต้าถอนหายใจออกมา ใบหน้ากลมๆของเขาหันไปมองทางห้องซุนซือสิง

ไม่รู้ว่าภายในห้องสองพ่อลูกคุยอะไรกันไปบ้าง ครึ่งชั่วยามต่อมา ซุนเจิ้งเต้าก็เดินออกมาอย่างเหี่ยวแห้ง แถมสีหน้าก็ยังดูแย่กว่าตอนเดินเข้าไป

ซุนซือสิงนึกถึงคำว่า “ออกไป” จากปากผู้เป็นพ่อแล้วก็ไม่สบายใจ เขาอยากจะเอ่ยถามอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อเห็นสีหน้าของซุนเจิ้งเต้าแล้วก็ได้แต่ปิดปากเงียบ และยืนดูผู้เป็นพ่อเดินห่างออกไปเรื่อยๆ……

ซุนเจิ้งเต้าเพิ่งเดินออกมาจากเรือนซุนซือสิงแล้วก็ได้มาพบกับซุนฮูหยิน ซุนฮูหยินแข็งแรงขึ้นมากแล้ว มองโดยรวมดูดีขึ้นกว่าเดิมมาก นางดูมีสง่าราศี เมื่อเห็นซุนเจิ้งเต้าเดินมาก็รีบเข้าไปหาพร้อมถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุยกับซุนซือสิงเป็นอย่างไรบ้างคะ?”

“เจ้ารู้ด้วยหรือ?” ซุนเจิ้งเต้าชะงักงัน แล้วมองดูฮูหยินด้วยท่าทางคลางแคลง

ซุนฮูหยินยิ้ม “ก็ข้าเป็นสะใภ้ตระกูลซุน จะไม่รู้ได้อย่างไรล่ะคะ ท่านพี่ ข้าไม่ขออะไรอีกแล้ว ข้าขอเพียงแค่ให้ภาระหน้าที่ของตระกูลซุนสิ้นสุดลงที่ท่าน เรามีลูกชายเพียงคนเดียว อย่าให้เขาแบกรับภาระต่อจากท่านเลย แล้วถ้าหากท่านพี่จะไม่อยู่ที่นี่แล้ว ก็โปรดพาข้าไปกับท่านด้วย ข้าอยู่ที่นี่คนเดียวคงเหงาแย่ ลูกชายของเราก็โตมากแล้ว เขาดูแลตัวเองได้”

คำว่า “จะไม่อยู่ที่นี่แล้ว” ไม่ได้หมายความว่าจะเดินทางไปต่างเมือง แต่หมายความว่าลาลับจากโลกนี้ไปแล้ว ซึ่งส่วนนี้ซุนฮูหยินเข้าใจดี และเพราะเข้าใจดีจึงได้เอ่ยออกมา……

ซุนเจิ้งเต้ากุมมือซุนฮูหยินและกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “อืม!”

เฟิ่งชิงเฉินยืนมองซากปรักหักพังของจวนเฟิ่งแล้วก้มหน้านิ่ง นางไม่รู้เลยว่าการที่นางอยากรู้เรื่องที่มาที่ไปของท่านพ่อท่านแม่จะเป็นเหตุให้ซุนเจิ้งเต้าตัดสินใจครั้งสำคัญ……