บทที่ 369 พบเจอยามวิกาล จะมีการแก้แค้นหรือไม่

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

เฟิ่งชิงเฉินยืนมองซากความเสียหายของจวนเฟิ่งด้วยอาการเหม่อลอย นัยน์ตาของนางเริ่มมีน้ำไหลคลอ นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาที่จวนเฟิ่งหลังจากที่จวนเฟิ่งถูกไฟไหม้ ใช่ว่านางไม่อยากมา แต่เป็นเพราะนางไม่กล้ามา นางกลัว นางกลัวว่าจะต้องมาเห็นภาพที่น่าสังเวชของจวนเฟิ่ง……
หยาดน้ำตาค่อยๆรินไหลมาอาบแก้มเฟิ่งชิงเฉิน นางไม่รีบเช็ดน้ำตา แต่กลับค่อยๆหลับตา เพื่อกักเก็บหยาดน้ำตาที่พรั่งพรูเอาไว้
แม้ว่าหลี่เซี่ยงจะตายแล้ว แต่จวนเฟิ่งก็ไม่สามารถย้อนกลับไปเป็นดังในอดีตได้ ที่ผ่านมาแม้ว่าจวนเฟิ่งจะผุพังไปบ้าง ขาดชีวิตชีวาไปบ้าง แต่นั่นก็คือบ้านของนาง นางผูกพันกับจวนเฟิ่งแห่งนี้ แต่ทว่าตอนนี้กลับไม่เหลืออะไรแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินยืนนิ่งไม่ไหวติง การที่นางมาที่นี่ไม่ได้มาเพื่อตามหาสิ่งของ กล่องไม้ปริศนาของจวนเฟิ่งอยู่ในมือนางแล้ว ที่นางมาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อมายืนใช้ความคิดเท่านั้น
ตอนแรกนางก็อยากจัดการเรื่องในเมืองหลวงให้จบสิ้น แล้วออกไปใช้ชีวิตในหมู่บ้านเล็กๆ แต่ว่าตอนนี้?
นางยังจะสามารถไปได้อยู่อีกหรือ?
เฟิ่งชิงเฉินค่อยๆลืมตา แม้ในตาของนางยังส่องประกายระยิบระยับ แต่สภาวะจิตใจนางเริ่มสงบลงแล้ว เฟิ่งชิงเฉินหาก้อนหินมา 1 ก้อนแล้วนั่งลงบนนั้นโดยไม่สนใจว่าจะเปื้อน จากนั้นนางก็แหงนหน้ามองฟ้า……
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านคิดว่าข้าควรทำเช่นไรดี? สืบค้นสถานะที่แท้จริงของพวกท่าน สืบหาสาเหตุการตายของพวกท่าน หรือว่าใช้ชีวิตไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมายปลายทางคะ?”
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเกลียดชัง แต่นางก็ไม่อยากแบกรับความรู้สึกนี้ไว้ ทว่าคำพูดของหวังจิ่นหลิงทำให้นางรู้ว่าการตายของท่านพ่อท่านแม่ไม่ใช่การตายธรรมดา หากทำการสืบค้นอย่างเจาะลึก คงได้พบกับบางสิ่งที่นางไม่อยากเจอ
เรื่องสถานะของท่านพ่อท่านแม่นาง หากเป็นไปตามที่หวังจิ่นหลิงพูด บวกกับการพิจารณากล่องไม้ในมือนาง นางก็ยิ่งมั่นใจว่าท่านพ่อท่านแม่ไม่ใช่ชาวบ้านทั่วๆไป ชาติกำเนิดของพวกเขาจะต้องไม่ธรรมดา และไม่แน่ว่าชาติกำเนิดของลูกสาวของพวกเขาก็อาจจะไม่ธรรมดาด้วยเช่นกัน
หากนางสืบค้นข้อเท็จจริงได้แล้ว นางในฐานะทายาท จะต้องแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้ นางไม่อยากมีภาระ หรือต้องแบกรับหน้าที่อันหนักอึ้ง
ใครต่อใครอาจใฝ่ฝันที่จะเกิดมาสูงส่ง แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องการเช่นนั้น ยิ่งทุ่มเทมากเพียงใด ยิ่งเป็นที่เคารพนบนอบมากเท่าไร ผลกระทบที่ตามมาก็จะสาหัสมากเท่านั้น
หวังจิ่นหลิงรู้เรื่องพ่อแม่นางมานานแล้วแต่เพิ่งมาบอกนาง แถมยังกุลีกุจอในการสร้างจวนเฟิ่งขึ้นมาใหม่ เขาคงจะเห็นแล้วว่านางเหนื่อยหน่ายกับการต่อสู้ในเมืองหลวงเหลือเกิน
หวังจิ่นหลิงอยากให้นางอยู่ต่อ แต่ไม่อาจบอกนางตรงๆได้ เขาใช้วิธีนี้ในการเหนี่ยวรั้งนาง หวังจิ่นหลิงเข้าใจนางมาโดยตลอด จึงรู้วิธีเหนี่ยวรั้งหัวใจนาง เพื่อทำให้นางสามารถอยู่ใกล้ๆเขาได้ต่อไป
นางไม่โทษหวังจิ่นหลิง นางโทษตัวเองที่ผูกพันเสียจนวางไม่ลง
เฟิ่งชิงเฉินโน้มศีรษะลงไประหว่างเข่าทั้งสองข้าง และภาพความทรงจำเมื่อชาติก่อนก็ปรากฏ……
ภาพคนถือกล่องยาและสะพายเป้ทหารเดินเข้าไปในป่าลึก ภาพการกู้ชีพให้ผู้รอดชีวิตในดินแดนที่เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างความเป็นกับความตาย……
เป็นชีวิตที่โกลาหล แต่ก็ไม่ซับซ้อน หากเป็นไปได้นางก็อยากกลับไปที่สนามรบอีกครั้ง ไปเป็นหมอทหารธรรมดาๆ ที่นั่นไม่มีเล่ห์ลับหรือกลลวง ไม่มีความอิจฉาริษยา สิ่งที่นางต้องทำก็คือการช่วยชีวิตคน ต่อให้ที่นั่นจะมีคนเพียงคนเดียว แต่นางก็ไม่เคยรู้สึกเหงา อยู่ที่นี่นางเดียวดายเหลือเกิน……
“ถึงแม้ว่าข้าจะคุ้นเคยกับชีวิตที่เร่งรีบของการเป็นหมอในสนามรบ แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าส่งเสริมให้มีการปะทะกัน ไม่ได้อยากเห็นภาพคนเจ็บ ตอนนี้ข้าเพียงต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบ เป็นหมอในโรงหมอหลังเล็กๆ น้ำชาสักถ้วย หมอสักคน เด็กน้อยสัก 2 คน มีอาหารให้กินครบ 3 มื้อ นี่ข้าคาดหวังเกินไปหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินถามท้องฟ้า แต่ท้องฟ้ากลับไม่มีคำตอบให้กับนาง……
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มเศร้า นางนั่งคิดเรื่องพ่อแม่นาง จะสืบดีหรือไม่สืบดีนะ?
หากสืบ อาจจะนำพาความวุ่นวายมาให้ แต่ถ้าหากไม่สืบ กลุ่มคนร้ายจะปล่อยนางไปหรือ?
หลังจากนั้นสักพักเฟิ่งชิงเฉินก็ลุกขึ้น นางถอนหายใจอีกครั้ง แล้วดวงตาของนางก็เปล่งประกายความใจสู้ออกมา “ช่างเถอะ กว่ารถจะมาถึงภูเขาได้ก็เพราะว่ามีถนน ในโลกนี้จะมีใครสูงส่งกันนักเชียว แม้ว่าเรื่องพ่อแม่จะยังค้างคาใจ แต่ก็คงไม่ได้ความหมายว่าพ่อแม่นางจะยิ่งใหญ่จนคับฟ้า ท่านพ่อกับท่านแม่คงจะมีสาเหตุอื่นที่ทำให้พวกท่านต้องลำบาก”
“แล้วอีกอย่าง เรื่องของท่านพ่อท่านแม่ ถึงข้าจะไม่รู้ก็ช่างเถอะ ต่อให้ตอนนี้ข้ารู้แล้วข้าจะทำอะไรได้ แต่หากข้าจะปล่อยเลยตามเลย ก็ไม่รู้ว่าพวกคนร้ายจะปล่อยข้าไปหรือไม่ สถานการณ์เช่นนี้ข้าอยากหนีไปเหลือเกิน แต่คงจะไม่ง่าย ในเมื่อหนีไม่ได้ งั้นก็มาตาต่อตาฟันต่อฟัน!”
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ตบฝุ่นตามเนื้อตัวแล้วเตรียมเดินทางกลับ แต่ก่อนนางจะกลับ ก็ได้แวะไปที่ถนนเยี่ยนจื่อ
ถนนเยี่ยนจื่ออยู่ทางตอนใต้ของเมืองหลวง เป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านทั่วไป ผังเมืองหลวงแห่งนี้ ทางฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกจะเป็นที่อยู่ของคนมั่งมีและขุนนาง ส่วนทางตอนเหนือและตอนใต้จะเป็นแหล่งรวมคนยากคนจน ตระกูลหวัง ตระกูลเซี่ยก็พำนักอยู่ทางฝั่งตะวันออก ในเมืองหลวงแห่งนี้เพียงดูว่ามาจากย่านใดก็รู้แล้วว่าเป็นคนชนชั้นใด
บ่าวไพร่ในจวนเฟิ่งส่วนใหญ่จะถูกตระกูลหวังและตระกูลซูส่งมา หลังจากที่จวนเฟิ่งถูกเผาแล้ว แต่ละคนก็แยกย้ายกันกลับไป ทหารยามที่บาดเจ็บสาหัสไม่กี่คนที่เหลืออยู่ หวังจิ่นหลิงก็ได้ส่งไปที่ถนนเยี่ยนจื่อ โดยมีบ้านไม้ให้ครอบครัวละ 3 ห้อง และมีเงินเยียวยาให้ 300 ตำลึง
นางวางใจกับทุกเรื่องที่หวังจิ่นหลิงทำ ยิ่งตอนนี้นางกำลังวุ่นวายกับการตายของหลี่เซี่ยง จึงไม่ได้ตามไปดูแม้แต่ครั้งเดียว ไหนๆคืนนี้ก็ออกมาแล้ว จึงคิดจะแวะไปดูเพื่อความสบายใจ แถมนางก็ไม่ได้ฝึกปรือทักษะมานานแล้ว นางอยากรู้ว่าทักษะการซ่อนตัวในที่มืดของตัวเองย่ำแย่ลงหรือไม่ และอีกอย่างคือ นางอยากไปปลดปล่อยความกลัดกลุ้มในใจด้วย
ทำไมนางต้องซ่อนตัวด้วยน่ะหรือ? เดินไปอย่างโจ่งแจ้งก็สิ้นเรื่องแล้วนี่นา เหอะๆ อย่าคิดว่านี่คือในละครที่ในยามวิกาลจะนึกอยากไปไหนก็ไปได้ อย่าว่าแต่ในเมืองหลวงเลย แม้แต่เมืองเล็กๆก็ยังมีข้อห้ามยามวิกาล เมื่อค่ำมืดแล้วจะไม่สามารถออกมานอกบ้านได้ หากถูกเจ้าหน้าที่สายตรวจมาพบเข้าจะต้องถูกคุมขัง
เฟิ่งชิงเฉินพกป้ายหยกของเสด็จอาเก้าติดตัวมาด้วย จึงไม่ห่วงเรื่องถูกคนจับได้ แต่การที่ผู้หญิงตัวคนเดียวออกมาเดินเพ่นพ่านยามวิกาล ใครมาเห็นคงมองไม่ดีแน่ หากมีคนคิดว่านางมีแผนร้ายแล้วเล่นงานนางถึงตาย นางมิต้องตายด้วยความเข้าใจผิดหรอกหรือ
เฟิ่งชิงเฉินรักษาระยะห่างจากเหล่าเจ้าหน้าที่สายตรวจ แล้วเข้าไปยังตรอกเล็กๆอย่างระแวดระวัง ดีที่ตอนนี้นางคุ้นเคยกับสถานที่ต่างๆในเมืองหลวงมากขึ้น หากเป็นเมื่อก่อนล่ะก็นางคงหลงทางไปนานแล้ว
และแล้วนางก็มาถึงถนนเยี่ยนจื่ออย่างราบรื่น เฟิ่งชิงเฉินยิ้มอย่างพึงพอใจ ฝีมือไม่ถดถอยนับว่าเป็นเรื่องดี ท่ามกลางความมืด หลานจิ่วชิงที่รีบตามนางมานั้นไม่สามารถมองเห็นมุมปากที่กำลังยิ้มแย้มของเฟิ่งชิงเฉินได้เลย
หลานจิ่วชิงตามเฟิ่งชิงเฉินมา เมื่อเห็นนางออกจากหน้าจวนเฟิ่งมาถนนเยี่ยนจื่อแล้วจึงกลับไปจวนซุนก็คิดในใจว่าผู้หญิงคนนี้คาดเดายากจริงๆ และทักษะการซ่อนตัวเช่นนั้นนางไปเรียนมาจากผู้ใด?
หลานจิ่วชิงอยากคลายความสงสัย แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินเคยพูดก่อนจวนเฟิ่งจะเสียหายขึ้นมาแล้วก็ได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ
หรือว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเริ่มสงสัยเรื่องชาติกำเนิดของตัวเอง หากนางรู้ว่านางคือผู้สืบทอดโดยตรงของตระกูลเฟิ่งหลี นางจะมาแก้แค้นเขาหรือไม่?
เพราะตระกูลเฟิ่งหลีต้องมาพังพินาศด้วยน้ำมือของคนตระกูลหลาน
เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว หลานจิ่วชิงก็รู้สึกปวดใจ เขาไม่อยากเป็นศัตรูกับเฟิ่งชิงเฉิน!
ก่อนที่เฟิ่งชิงเฉินจะรู้สึกดีกับเขามากกว่านี้ เขาจะปล่อยให้นางรู้เรื่องชาติกำเนิดของตัวเองไม่ได้!