บทที่ 1507 – 2 ปีผ่านไป ปลาสถิตย์วิญญาณ

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

บทที่ 1507 – 2 ปีผ่านไป ปลาสถิตย์วิญญาณ

บางครั้งการให้อภัยจะนำมาซึ่งความสุข ในขณะเดียวกันชิงสุ่ยก็รับรู้ถึงตรรกะประหลาดที่ชายชราพยายามจะสื่อ

“เจอกันที่ป่าทางทิศเหนือดีหรือไม่? ข้าจะไปรอเจ้าอยู่ที่นั่น!!”ชายชราตอบกลับผ่านโทรจิต ซึ่งชิงสุ่ยก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน

ในชั่วพริบตา ร่างของชิงสุ่ยก็หายไปจากจุดที่เขายืนอยู่

“ท่านหมอปาฏิหาริย์ชิงอยู่ที่ไหนกัน? ทำไมเขาถึงหายตัวไปหลังจากที่เขาได้รับชัยชนะ?”

“เขาคงไม่ต้องการให้ใครก็ตามแอบตามเขาไป”

………………..

“ผู้อาวุโส ข้ามาถึงแล้ว!!”ทันทีที่ชิงสุ่ยมาถึง เขาไม่เห็นสัญญาณใดๆจึงเริ่มตะโกนเรียก

และแล้วชิงสุ่ยก็รู้สึกถึงการปรากฏตัวของใครบางคนที่อยู่ด้านหลัง เขาค่อยๆหันกลับไปมองผู้อาวุโสที่คล้ายกับต้นไม้กำลังโรยรา

ผู้อาวุโสคนนี้ไม่ได้มีลักษณะเหมือนปัญญาชน เขาเหมือนชายชราที่อยู่ตามบ้านคนทั่วไป เคราของเขาเต็มไปด้วยเส้นผมสีขาวยาวไปถึงเอว แต่กลับดูเรียบและสะอาด

ร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยกลิ่นอายแปลกประหลาด แต่สิ่งที่ชิงสุ่ยมองเห็น เขาตระหนักได้ทันทีว่าชายชราผู้นี้กำลังอยู่ในช่วงบั้นปลายของชีวิต ซึ่งหมายความว่าเขาจะสามารถละจากโลกนี้ไปได้ตลอดเวลา

“เจ้าคงรู้อยู่แล้วว่าชีวิตของข้ากำลังจะหมดสิ้นลงแล้วสินะ?”ผู้อาวุโสยิ้มขณะกล่าวอย่างไร้กังวล

ชิงสุ่ยรู้สึกอึดอัดเมื่อเห็นรอยยิ้มของชายชรา ก่อนที่เขาจะหัวเราะและกล่าวว่า “ท่านอย่าล้อเล่นเลย ท่านยังคงมีชีวิตอยู่ได้อีกอย่างน้อย 10 ปี”

” 10 ปี เป็นเวลาแค่หยิบมือ!!”ชายชราผู้นั้นถอนหายใจและชี้ไปที่ก้อนหินที่อยู่ไม่ไกล “พวกเราไปนั่งตรงนั้นกันดีกว่า”

พวกเขาเดินใกล้ชิดกันขนาดตรงไปยังโต๊ะที่มีเก้าอี้เป็นโขดหินซึ่งมีถ้วยชาวางอยู่ ชิงสุ่ยค่อยๆรินน้ำชาลงในถ้วยของผู้อาวุโสก่อนที่จะรินให้กับถ้วยของตนเอง

“ท่านผู้อาวุโส ข้าเป็นผู้ลงมือสังหารผู้สืบทอดของท่านแต่เหตุใดท่านจึงดูไม่โกรธเลย” ชิงสุ่ยกล่าวจากใจจริง

“นั่นมันเป็นชีวิตของเขา เด็กๆทุกคนย่อมต้องเติบโตด้วยตัวเองและต้องสร้างทรัพย์สินด้วยวิธีของตน เหตุใดข้าจึงต้องรู้สึกโกรธด้วย?”

คำพูดของเขา ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกถึงความเยือกเย็น

“หรือว่าเจ้ากำลังคิดว่าข้านั้นเป็นคนที่ไร้จิตใจมนุษย์และไร้ซึ่งความรักอย่างนั้นหรือ?”ผู้อาวุโสจิบน้ำชาในมือขณะที่เขากล่าว

“ถ้าเป็นในอดีตข้าคงตอบว่าใช่ แต่ในปัจจุบันข้ากลับไม่แน่ใจเท่าไหร่” ชิงสุ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา

“เส้นทางล้วนลำบาก การดำรงอยู่ย่อมส่งผลต่อพฤติกรรมซึ่งจะพิสูจน์วิถีทางในการดำรงชีวิตอยู่ของตัวมันเอง บางอย่างก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงและไม่อาจเปลี่ยนแปลงมันได้ แต่มีบางอย่างที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่กลับไม่อาจทำได้ ในอนาคตเจ้าจะเข้าใจมันเอง”

……………

คำพูดของชายชราทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกสงสัยแต่ก็ไม่ได้สาวความต่อ

ขณะที่เขาคิด ชิงสุ่ยก็รู้สึกถึงอารมณ์ที่ผิดหวังและอารมณ์ที่ผ่อนคลายในขณะเดียวกันเขาก็ถามผู้อาวุโส “ผู้อาวุโส ข้าอยากรู้ว่า ภายในแดนทะเลน้ำเเข็งมีวังทะเลราชันย์อยู่ภายในหรือไม่?”

ชายชราประหลาดใจกับคำถามของชิงสุ่ยจากนั้นเขาก็หัวเราะและกล่าวว่า “เจ้ามีคำตอบอยู่ในใจแล้ว เหตุใดถึงถามข้าล่ะ? ถ้าหากคำตอบของข้าแตกต่างจาก เจ้าจะเชื่อข้าหรือเชื่อตัวเจ้าเองล่ะ?”

ชิงสุ่ยระเบิดเสียงหัวเราะทันทีที่ได้ยินคำตอบ และเห็นด้วยกับคำตอบของชายชราอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามชายชราก็กล่าวเพิ่มเติมว่า ” วังทะเลราชันย์มีอยู่จริง และมีอยู่หลายแห่งภายในแดนทะเลน้ำแข็งอีกด้วย”

“มีวังทะเลราชันย์หลายแห่งอยู่ภายในแดนทะเลน้ำแข็ง?”ชิงสุ่ยรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้

“พื้นที่น้ำทะเลของโลก 9 มหาทวีปนั้นกว้างใหญ่กว่าพื้นที่แผ่นดิน เนื่องจากคนบนบกจะสามารถใช้ชีวิตอยู่บนบกได้เพียงหนทางเดียว มันจึงแตกต่างจากภายในทะเล ทะเลนั้นทั้งลึกและกว้างใหญ่ จึงแบ่งคาบมหาสมุทรออกเป็น  33 แห่งและมีสิ่งมีชีวิตโลกใต้ทะเลมากมาย เมื่อสัตว์อสูรแข็งแกร่งขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง นอกจากมันจะพัฒนาสติปัญญาแล้ว มันยังกลายเป็นนักฆ่าแห่งโลกใต้ทะเลที่คอยสั่งหารสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนอีกด้วย”

“ท่านรู้วิธีการเดินทางไปยังวังทะเลราชันย์หรือไม่?”นี่คือสิ่งที่ชิงสุ่ยกังวลมากที่สุด แต่เขาก็ยังคงอยากรู้วิธีการเดินทางไปยังวังทะเลราชันย์

“เจ้ากำลังวางแผนที่จะเดินทางไปยังวังทะเลราชันย์งั้นรึ?”ชายชราจ้องมองชิงสุ่ยด้วยท่าทางที่แปลกไป

ชิงสุ่ยไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมชายชราถึงมองเขาเช่นนั้น แต่เขาก็ยังพยักหน้าและกล่าวว่า “ตอนนี้อาจจะไม่ แต่ในอนาคตข้าจะต้องไปอย่างแน่นอน”

“วังทะเลราชันย์คืนแหล่งชุมชนที่น่าเกรงขาม เหล่าผู้ที่อาศัยอยู่ในน้ำจะไม่เห็นดีเห็นงามด้วยแน่ถ้ามีมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้อง ดังนั้นหากปราศจากคำเชื้อเชิญก็เป็นเรื่องยากที่จะได้ย่างก้าวเข้าไปในวังทะเลราชันย์”ชายชรากล่าวขณะที่ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ชิงสุ่ย

ชิงสุ่ยคิดแต่เรื่องของอีเย่เจี้ยนเก้อ เขาไม่รู้ว่าทำไมเธอที่ต้องการออกจากวังทะเลราชันย์ ซึ่งเธอต้องมีเหตุผลของเธอแน่ นอกจากนี้ ยังไม่เคยมีการปรากฏตัวของผู้นำเหล่าทะเล จึงไม่ง่ายเลยที่จะเข้าไปในวังทะเลราชันย์”

“แล้วไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสพอจะมีหนทางที่จะไปวังทะเลราชันย์หรือไม่?”

ชายชราสายหน้าและกล่าวว่า ” นอกเหนือจากผู้นำเหล่าท้องทะเล แล้ววิธีการเดียวที่จะไปถึงวังทะเลราชันย์ก็คือการติดตามปลาสถิตย์วิญญาณ ซึ่งปลาสถิตย์วิญญาณพวกนี้จะวนว่ายเข้าออกวังทะเลราชันย์ตามแต่ใจพวกมันต้องการ ซึ่งถ้าหากเจ้าตามพวกมันไปเจ้าก็จะได้พบกับวังทะเลราชันย์”

ชิงสุ่ยเองก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของปลาสถิตย์วิญญาณ พวกมันคล้ายกับหมูป่านักล่าสมบัติแตกต่างกันเพียงแค่พวกมันอยู่ในน้ำส่วนหมูป่าอยู่บนบก ซึ่งสิ่งที่ชิงสุ่ยสงสัยในตอนนี้นั่นก็คือ เขาสงสัยว่าอสูรสยบมังกรของเขานั้นก็มีความสามารถในการว่ายน้ำไม่ต่างอะไรกับปลา เป็นไปได้หรือไม่ที่จะใช้มันแทนปลาสถิตย์วิญญาณ

“ผู้อาวุโส ความแข็งแกร่งของคนที่อยู่ในระดับอีกเพียงแค่ครึ่งก้าว ก็จะทะลวงระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศมีความแข็งแกร่งมากเพียงใดกัน?”ชิงสุ่ยก็สงสัยเรื่องนี้เหมือนกัน

“ความแข็งแกร่งของคนที่อยู่ในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศ ย่อมต้องไร้ขีดจำกัด แต่บางคนก็หยุดนิ่งไปตลอดชีวิต และจะคงอยู่ในระดับนั้น และแม้ว่าพวกเขาจะไม่อาจก้าวข้ามระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศไปได้แต่พลังของพวกเขาก็ยังคงมากกว่าเหล่าผู้คนที่อยู่ในระดับอาณาจักรพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแรกเริ่ม

ชิงสุ่ยแม่เข้าใจคำอธิบายเหล่านี้ได้ แต่เหล่าผู้คนที่ก้าวข้ามระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศสมควรที่จะมีช่องว่างความต่างระดับพลัง?

“อย่างไรก็ตาม ในการต่อสู้จริง ผู้ที่อยู่ขั้นปลายของระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศก็ไม่เคยได้รับชัยชนะ แม้ว่าพวกเขาจะมีพลังมากกว่าก็ตาม นั่นก็เพราะๆทุกอย่างมีข้อยกเว้นเสมอ ตราบใดที่เหล่าผู้ที่บรรลุในระดับขั้นปลายขุมพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาศต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่อยู่ในระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์พลังของพวกเขาจะถูกลดทอนลงครึ่งหนึ่งเสมอ” ในที่สุดชิงสุ่ยก็เข้าใจ

…………………..

ชิงสุ่ยขอตัวลาจากชายชราไป แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรเพิ่มขึ้นมากนัก แต่อย่างน้อยสิ่งที่เขาเรียนรู้จากชายชราก็ไม่ได้น้อยเลย เห็นได้ชัดว่าเส้นทางเบื้องหน้าของเขายังอีกยาวไกล

เขาเดินทางกลับไปยังหอคอยจักรพรรดิเพื่อรับประทาน เหล่าผู้คนเริ่มแยกย้ายกันไปลงเหลือเพียงแค่ไม่กี่คนที่ยังคงสนทนากันอยู่อย่างเอ่อระเหย

ตระกูลสือได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมากหลังจากจบสิ้นสงครามครั้งนี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าดูถูกเหยียดหยามหรือท้าทายพวกเขา ซึ่งไม่ต่างอะไรจากชิงสุ่ยเลย อาจเป็นเพราะว่าเจ้าตระกูลของพวกเขายังคงอยู่

…………………….

และแล้วเวลา 2 ปีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เวลา 2 ปีภายใต้โลกใบนี้นั้นช่างเป็นเวลาที่แสนสั้น นั่นคือความคิดสำหรับผู้อื่นแต่ไม่ใช่สำหรับชิงสุ่ยผู้ครอบครองดินแดนหยกยุพราชอมตะ การพัฒนาของเขาก้าวหน้าไปอย่างมากภายในช่วงเวลา 2 ปีนี้

เหลียนหลิงเฟิงและซีฉีชาก็ยังคงอยู่ภายใต้หอคอยจักรพรรดิ ภายใต้ความพยายามอย่างหนักหน่วง เหลียนหลิงเฟิงก็ยังคงไม่อาจเอาชนะซีฉีชาได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ได้เป็นเพื่อนกับเธอ

เหลียนหลิงเฟิงแปรเปลี่ยนไปอย่างมากเช่นกันอาจเป็นเพราะว่าเขาได้รับอิทธิพลจากชิงสุ่ยอย่างมากโดยไม่รู้ตัว ชีวิตของเขาเล่นน้อยลงและจริงจังมากขึ้น และฝีมือในการรักษารวมถึงในการหล่อหลอมศาสตราวุธต่างๆของเขาก็เพิ่มขึ้นจากการเรียนรู้ผ่านชิงสุ่ยเช่นกัน

ชิงสุ่ยได้เผยแพร่ความรู้มากมายให้กับหยินต่งและเหลียนหลิงเฟิง พวกเขาได้รับความรู้ที่คัดกรองมาเป็นอย่างดีราวกับพรของสวรรค์

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ชิงสุ่ยกลับบ้านไปเพียงแค่ 2 ครั้งโดยที่กลับไปครั้งละ 1 เดือนเท่านั้น แต่ก็ทำให้การแปรเปลี่ยนของตระกูลเป็นไปในทางที่ดีขึ้น ความสามารถของคนในตระกูลกว่า 6 คนก้าวกระโดดขึ้นไปอยู่ในขอบเขตพลังและความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ

เหล่าหญิงสาวเอง ก็พัฒนาตัวอย่างก้าวกระโดดซึ่งเป็นไปตามสิ่งที่ชิงสุ่ยได้วางแผนเอาไว้ ตอนนี้ตระกูลชิงสามารถก้าวขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำได้อย่างง่ายดาย

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้ก็เพราะเหล่าบรรดาหญิงสาวของชิงสุ่ยที่ร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาตระกูลตลอดเวลา

และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาหอคอยจักรพรรดิได้ก้าวขึ้นสู่จุดศูนย์กลางของเมืองหลินห่าย ซึ่งนี่ไม่ใช่เพียงแค่อย่างเดียว แต่ภายใต้ความสัมพันธ์ของชิงสุ่ย ทั้งตระกูลเหลียนและตระกูลซีฉีก็ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกัน ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาเองก็หวังลึกๆว่าการสร้างพันธมิตรคือสิ่งที่ดีเพราะมันจะทำให้พวกเขารู้สึกถึงความสงบสุขที่แท้จริง

นอกจากนี้มันยังช่วยในการกำจัดเหล่าคนทรยศ และช่วยเหลือเกื้อกูลกันจนไม่มีใครกล้ากระทำการเหยียดหยามพวกเขาอีก

ส่วนทางด้านตระกูลฮั่วก็ยอมลดตัวต่ำลง ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าตระกูลฮั่วกำลังวางแผนอะไร แต่หลังจากที่พิจารณาจากหอคอยจักรพรรดิแล้ว ตระกูลฮั่วคงไม่ได้หวังอะไรอีกต่อไป เพราะมันคงยากที่จะต้องเผชิญหน้ากับหมอเทวดาอย่างชิงสุ่ย

ส่วนตะกูลสือก็ไม่ได้เชื่อมความสัมพันธ์อะไรกับหอคอยจักรพรรดิมากนัก แต่ก็ไม่ได้แสดงตัวว่าเป็นศัตรู เพราะหลังจากที่เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นการเป็นพันธมิตรกันคงเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง และความจริงที่ทุกคนอยากจะหนักดีนั่นก็คือตระกูลสือเป็นคนข้ามเส้นก่อน

ในเวลาว่างส่วนใหญ่ ชิงสุ่ยมักจะเดินทางออกไปเพื่อตกปลา ณ บริเวณส่วนลึกของแดนทะเลน้ำเเข็ง ซึ่งสิ่งที่เขาพบเจอมักจะเป็นสมบัติจำนวนมากรวมถึงสมุนไพรอีกมากมาย แม้ว่าเขาจะเดินทางออกมาบ่อยมาก แต่ดูเหมือนโชคยังคงเข้าข้างเขาซึ่งทำให้เขาจับปลาสถิตย์วิญญาณได้

ปลาสถิตย์วิญญาณมีความยาวประมาณ 1 เมตรและหนาเท่ากับแขนคน ลำตัวของมันโปร่งใสเหมือนกับเงาดาบ ปากแหลมคมและแข็งเหมือนเพชรที่สามารถตัดเฉือนเนื้อของสัตว์ตัวอื่นได้ราวกับกระดาษ ภายในปากของมันหนาแน่นไปด้วยฟันที่แหลมคมดุจมีดโกน  กลิ่นอายรอบๆตัวของปลาสถิตย์วิญญาณคือกลิ่นอายที่ไม่อาจอธิบายได้แต่ไม่ใช่ความน่ากลัว

ชิงสุ่ยโยนมันเข้าไปในดินแดนหยกยุพราชอมตะ ตอนแรกเขากังวลว่าปลาสายพันธุ์นี้จะต้องเข้าโจมตีเหล่าสัตว์น้ำที่เขาเลี้ยงเอาไว้จนป่นปี้ แต่ไม่นานนะหลังจากที่เขาปล่อยมันลงไป ปลาสถิตย์วิญญาณกลายเป็นเพียงแค่สัตว์ขี้ขลาดหวาดกลัว ไม่กล้าสู้หน้าสัตว์ตัวอื่นๆและเลือกกินเฉพาะปลาและกุ้งตัวเล็กๆเท่านั้น