หานลี่อยู่ตรงมุมห้อง กวาดจิตสัมผัสไปยังเรือนร่างของคนที่ซึ่งปรากฏตัวขึ้นใหม่แล้วพลันหน้าเปลี่ยนสี 

 

 

ชายหนุ่มแซ่ไป๋ผู้นี้มีพลังลมปราณลึกล้ำยากจะคาดเดา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ 

 

 

“แผ่นป้ายกว้างเย็นนี้เจ้าเป็นคนกระตุ้นหรือ?” ชายหนุ่มแซ่ไป๋ถอนสายตากลับมา แล้วโบกมือให้กับนักรบชุดเกราะเหล่านั้น สายตาตกอยู่บนร่างของหานลี่ 

 

 

“ชนรุ่นหลังอยากปฏิเสธ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้!” หานถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา 

 

 

“ปฏิเสธ? ทำไมต้องปฏิเสธ โอกาสดีของเจ้ามาถึงแล้ว!” ชายหนุ่มแซ่ไป๋หรี่ตาทั้งสองข้างลง พิจารณาหานลี่สองสามแวบ แล้วอมยิ้มขณะเอ่ย 

 

 

“โอกาสมาถึงแล้ว ท่านอาวุโสหมายถึง…” หานลี่ชักสีหน้า คิดจะเอ่ยถามให้ละเอียด ชายหนุ่มแซ่ไป๋กลับขมวดคิ้ว คาดไม่ถึงว่าจะหันหน้าไปเอ่ยกับกำแพง 

 

 

“ในเมื่อพี่ชังอิ่งมาถึงแล้ว เหตุใดถึงไม่ปรากฏตัว หรือว่าอยากให้เผ่าพรายน้ำของพวกเราเอาแผ่นป้ายกว้างเย็นไปแต่เพียงผู้เดียว?” 

 

 

“แผ่นป้ายกว้างเย็นปรากฏตัวในครั้งนี้ไม่มากนัก ทุกแผ่นล้วนล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง เผ่าพรายน้ำของพวกเจ้ากล้าฮุบไปคนเดียวหรือ? หากไม่มีเผ่าหมื่นโบราณอย่างพวกเราคอยเปิดเขตอาคมให้ แม้ว่าพวกเจ้าจะได้ไป จะมีประโยชน์อันใด” เสียงที่ไม่คุ้นเคยอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างเย็นชา 

 

 

จากนั้นชายหนุ่มแซ่ไป๋พลันมองไปยังเงาสีดำบนกำแพง เงาถูกปกคลุมด้วยลำแสงสีเทา ปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ ยืนนิ่งแนบติดอยู่กับกำแพง ราวกับร่างกายไร้รูปร่าง 

 

 

คำพูดเมื่อครู่ก็เปล่งออกมาจากลำแสงสีเทา 

 

 

“หึๆ เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดี แต่หากสหายยอมเข้าร่วมเผ่าพรายน้ำของพวกเรา ใช้แผ่นป้ายกว้างเย็นพาพวกเราเข้าไปในแดนกว้างเย็น ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอะไรสินะ” ชายหนุ่มแซ่ไป๋ไม่ได้โกรธขึ้ง แค่ตอบกลับอย่างราบเรียบ 

 

 

“เช่นนั้นแน่นอนว่าย่อมไม่มีปัญหา แต่ดูเหมือนว่าสหายผู้นี้จะไม่ได้พูดว่าจะเข้าร่วมเผ่าเจ้านะ ไม่แน่ว่าอาจจะยอมเป็นแขกผู้มีเกียรติของเผ่าปีศาจทมิฬของพวกเราก็เป็นได้” เงาร่างคนที่ถูกเรียกว่า ‘ชังอิ่ง’เอ่ยคำพูดที่ไร้ความรู้สึกออกมา 

 

 

“งั้นหรือ เรื่องนี้ก็พูดยาก หากข้าจะไม่ผิดละก็ สิบสามเผ่าของพวกเรามีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรว่า หากสองเผ่าสนใจคนนอกเผ่าคนเดียวกัน ดูเหมือนว่ามีเพียงต้องรอให้คนนอกเผ่าปฏิเสธคำเชิญของคนแรกก่อน อีกคนถึงจะส่งคำเชิญได้ สหายผู้นี้ข้าน้อยคือ ‘ไป๋เย่ว์’ จากเผ่าพรายน้ำ ขอเรียนเชิญสหายให้เข้าร่วมเผ่าข้าเป็นแขกผู้มีเกียรติอย่างเป็นทางการ ไม่ทราบว่าสหายคิดเห็นอย่างไร? ขอแค่สหายยอมเข้าร่วม ข้าน้อยก็รับประกันได้ว่าจะทำให้สหายพัฒนาระดับขั้นได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ร้อยปี และยังจะมอบประโยชน์ด้านอื่นให้ด้วย” ชายหนุ่มผมขาวมองชังอิ่งอีกรอบ แล้วหันกายมาเอ่ยถาม 

 

 

ทว่าตอนที่เขาพูดนั้นดวงตาทั้งสองข้างพลันจ้องเขม็งไปยังหานลี่ แววตาสดใสดุจกระจกกลอกไปมา ราวกับว่ามีพลังดึงดูดใจที่ไร้รูปร่างอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

หานลี่หางตากระตุก เมื่อสายตาประสานกับลำแสงแปลกประหลาดในแววตาของอีกฝ่าย ชั่วขณะนั้นพลันรู้สึกเพียงว่าสติสัมปชัญญะรางเลือน มุมปากขยับ หมายจะเอ่ยคำว่าตกลงตามจิตสำนึกออกมา 

 

 

แต่ครู่ต่อมาคาถาขับเคลื่อนในร่างก็ไหลวนโคจร รูม่านตาหดเล็กลง ลำแสงสีฟ้าเจิดจ้าเปล่งประกายออกมา ในแววตามีพลังลึกลับกลุ่มหนึ่งต้านทานแรงดึงดูดจากดวงตาของชายหนุ่มแซ่ไป๋เอาไว้เช่นกัน 

 

 

หลังจากที่สติสัมปชัญญะของหานลี่ฟื้นฟูกลับมาในชั่วพริบตาแล้ว แต่จากนั้นก็ทั้งตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว!  

 

 

ชายหนุ่มแซ่ไป๋ผู้นี้ดูเหมือนจะซื่อสัตย์ แต่คำพูดเมื่อครู่ กลับใช้เคล็ดวิชาหลงใหลเคลิบเคลิ้ม หากไม่ใช่เพราะเขามีเนตรวิญญาณวารีกระจ่าง เกรงว่าเมื่อครู่คงจะหลุดปากไปแล้ว 

 

 

ชายหนุ่มแซ่ไปเห็นเช่นนั้นพลันตกตะลึง ใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา 

 

 

“ฮ่าๆ คิดไม่ถึงว่าเนตรกระจกลวงตาของพี่ไป๋จะไร้ผลกับผู้ที่ระดับต่ำกว่าระดับศักดิ์สิทธิ์ สหายไป๋อย่าเสียเวลาเลย ในเมื่อเจ้าเองก็รู้กฎการเชิญชนต่างเผ่ามาเป็นแขกผู้มีเกียรติที่พูดก่อนหน้าเป็นเพียงประเพณีปฏิบัติ เมื่ออยู่ต่อหน้าแผ่นป้ายกว้างเย็น ชนเผ่าอื่นจะไปรักษากฎเรียงตามลำดับได้อย่างไร” ชังอิ่งรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน แต่ก็เอ่ยเยาะเย้ยและหัวเราะอย่างไม่ได้รับผลกระทบ 

 

 

ชายหนุ่มแซ่ไป๋ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าพลันฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ มองไปยังหานลี่อย่างมีเลศนัยแวบหนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไร กลับเป็นชังอิ่งที่เอ่ยอย่างราบเรียบ 

 

 

“ในเมื่อสหายเข้าร่วมเผ่าพรายน้ำของพวกเราโดยไม่ได้ตั้งใจ แน่นอนว่าผู้แซ่ไป๋ก็จะไม่บังคับ พี่ชังอิ่งเผ่าปีศาจทมิฬของพวกเจ้าไม่ลองเชิญสหายผู้นี้หรือ?” 

 

 

“เผ่าใดสามารถเชิญคนผู้นี้เป็นแขกผู้มีเกียรติได้ เกรงว่าคงไม่ใช่สิ่งที่เจ้าหรือข้าจะตัดสินได้ และไม่ใช่สิ่งที่คนผู้นี้จะเป็นผู้ตัดสินใจได้ ผู้แซ่ชังไม่มีทางทำเรื่องเสียแรงแต่ไม่คุ้มค่าแน่!” ชังอิ่งแค่นเสียงหึขณะเอ่ย 

 

 

ไป๋เย่ว์ได้ยินเช่นนั้น พลันฉีกยิ้มบางๆ และไม่ได้เอ่ยตอบอะไร 

 

 

หลังจากที่ชังอิ่งส่งเสียงหึๆ แล้ว ก็ไม่ได้ปริปากใดๆ เช่นกัน 

 

 

ส่วนหานลี่นั้นพลันถอนสายตาที่มีลำแสงสีฟ้าเปล่งประกายออกมา แล้วรักษาความสุขุมต่อไป  

 

 

ที่นี่จึงตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง 

 

 

นักรบชุดเกราะเมืองเมฆาสองสามคนที่อยู่ใกล้เคียงกลับถลึงตามองสบตากันไปมา 

 

 

แต่สภาพแวดล้อมเช่นนี้ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็ถูกทำลาย 

 

 

จากประตูห้องของหานลี่ที่ปิดสนิท มีเสียงเคาะประตู “ก๊อกๆ” ดังขึ้น จากนั้นเสียงแหบแห้งของชายชราก็ดังออกมา 

 

 

“ตาเฒ่าเผ่าหมื่นโบราณเชียนจีจื่อ ไม่ทราบว่าขอพบเจ้าของที่นี่ได้หรือไม่?” 

 

 

เมื่อได้ยินเสียงแหบแห้งนี้ ไป๋เย่ว์พลันหน้าซีดขาวไปเล็กน้อย รอบกายของชังอิ่งมีลำแสงสีเทาปรากฏขึ้น 

 

 

หานลี่กลับแววตาเปล่งประกาย ทันใดนั้นพลันเอ่ยปากว่า 

 

 

“เชิญท่านอาวุโสเข้ามาด้านในขอรับ จากฐานะของท่านอาวุโสยอมมาเยือนที่นี่ ช่างเป็นสิ่งที่ผู้แซ่หานอยากร้องขอก็ไม่มีทางได้มาเลยขอรับ” 

 

 

เมื่อได้ฟังน้ำเสียงที่แสดงความเป็นมิตรของหานลี่ ชายชราที่อยู่นอกประตูก็ไม่เกรงใจ ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ คนทะลุผ่านประตูเข้ามา  

 

 

คาดไม่ถึงว่าจะเป็นชายชราสวมชุดคลุมสีเหลือง ร่างกายไม่สูงนัก แต่อ้วนพี แผ่นหลังสะพายตะกร้าสานประหลาดๆ เอาไว้ ท่าทางใจดี 

 

 

“ที่แท้สหายไป๋และสหายชังอิ่งก็อยู่ที่นี่! ผู้เฒ่าน้อยคารวะท่านผู้เฒ่าทั้งสอง!” ชายชราร่างอ้วนดูเหมือนว่าเพิ่งจะรู้ว่าไป๋เย่ว์และชังอิ่งอยู่ในห้อง จึงเอ่ยทักทายด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความใจดี  

 

 

“สหายเชียนจีจื่อเกินใจเกินไปแล้ว พวกเราเองก็เพิ่งมา” 

 

 

“ไม่เลว ข้าน้อยมาทำธุระแถวนี้พอดี เลยบังเอิญพบการกระตุ้นแผ่นกว้างเย็น จึงมาดูสักหน่อย”  

 

 

การขัดแย้งของไป๋เย่ว์และชังอิ่งเมื่อครู่ พอเผชิญหน้ากับชายชราร่างอ้วน กลับแสดงท่าทีเหมือนกัน ท่าทางระมัดระวังมาก 

 

 

หานลี่เห็นเช่นนั้น แน่นอนว่าย่อมรู้สึกแปลกประหลาด กวาดจิตสัมผัสไปบนเรือนร่างของชายชรา 

 

 

ผลคือพลันตกตะลึงทันที 

 

 

ชายชราร่างอ้วนยามว่า ‘เชียนจีจื่อ’ ผู้นี้ ลมปราณในร่างลึกล้ำราวกับมหาสมุทร ไม่อาจคาดเดาได้ อย่างน้อยที่สุดพลังยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ก็ไม่อาจมองพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายออก 

 

 

เมื่อเอ่ยเช่นนี้ ชายชราร่างอ้วนน่าจะอยู่ในระดับยอดสุดของขั้นผสานอินทรีย์แล้ว 

 

 

มิน่าล่ะไป๋เย่ว์และชังอิงถึงได้มีท่าทีหวาดกลัวเช่นนี้ 

 

 

จากความแตกต่างของพลังยุทธ์ของพวกเขา เกรงว่าทั้งสองคนร่วมมือกันก็สู้ความลึกล้ำของลมปราณชายชราไม่ได้ 

 

 

“เป็นแผ่นกว้างเย็นดังคาด! แผ่นป้ายนี้ เป็นของสหายหรือ?” เชียนจีจื่อกลับฉีกยิ้มให้ชายชราทั้งสองอย่างเป็นมิตร สายตาตกอยู่บนแผ่นป้ายสีทองเงินกลางอากาศ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้หันหน้าไปฉีกยิ้มและเอ่ยกับหานลี่ 

 

 

“ใช่ขอรับ นี่ของชนรุ่นหลัง” หานลี่ไม่กล้าดูแคลน หยัดกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ค้อมตัวลงขณะเอ่ย 

 

 

“สหายแซ่หานสินะ?” หลังจากที่เชียนจีจื่อกวาดสายตาไปบนร่างของหานลี่สองสามครั้ง ฉับพลันนั้นพลันฉีกยิ้มขณะเอ่ย 

 

 

“ท่านอาวุโสรู้ได้อย่างไร?” หานลี่หน้าเปลี่ยนสี แม้ว่าจะถามเช่นนี้ แต่ในหัวกลับคิดถึงเจี่ยเทียนมู่ 

 

 

เป็นดังที่เขาคาดไว้ ครู่ต่อมาเชียนจีจื่อพลันฉีกยิ้มขณะเอ่ย 

 

 

“เรื่องของเจ้า ข้าได้ฟังมาจากสหายเจี่ยแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังมีภาพเหมือนของเจ้า เดิมทีคิดว่าอีกสองวันจะส่งคนไปเชิญสหายหานมาพักผ่อน แต่ตอนนี้ดูแล้วต้องเสนอแล้ว” 

 

 

“อันใด สหายเชียนจีจื่อรู้จักสหายนอกชนเผ่าผู้นี้หรือ?” ไป๋เย่ว์ได้ฟังคำนั้น ก็อดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น 

 

 

“หึๆ ปรมาจารย์เจี่ยคือหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ด้านหุ่นเชิดระดับสุดยอดของเผ่าหมื่นโบราณของพวกเรา สองสามวันก่อนเกือบจะถูกจับในแดนของเผ่าแมลงมีเขา ต้องขอบคุณสหายหานที่ลงมือ ปรมาจารย์ถึงได้รอดพ้นอันตรายมาได้ ข้าจะไม่รู้จักสหายหานได้อย่างไร” เชียนจีจื่อลูบเครา เอ่ยอย่างซื่อสัตย์ 

 

 

“อะไรนะ ปรมาจารย์เจี่ยเคยไปแถวชายแดน?” ประโยคนี้กลับเป็นชังอิ่งที่เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ 

 

 

“ไม่เห็นด้วย เผ่าของเรามีเรื่องสำคัญ จึงจำใจต้องให้ปรมาจารย์เจี่ยไปดูสักรอบ เดิมทีจัดผู้พิทักษ์เอาไว้สองสามคน แต่เพราะว่าเผ่าแมลงมีเขารุกรานเข้ามา จึงเพลี่ยงพล้ำอยู่ที่เขตแดน อันใด สหายทั้งสองเป็นห่วงเรื่องในเผ่าหมื่นโบราณของพวกเราขนาดนั้นหรือ?” ชายชราร่างอ้วนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แต่จากนั้นก็กระพริบตา แล้วถามย้อนกลับด้วยรอยยิ้ม 

 

 

“ที่ไหนกันๆ! เคล็ดวิชาหุ่นเชิดของปรมาจารย์เจี่ยเผ่าท่านยอดเยี่ยมมาก เป็นคนที่สิบสามเผ่าของพวกเราขาดไปไม่ได้ ผู้แซ่ไป๋แค่กังวลใจเท่านั้น” ไป๋เย่ว์ได้ฟังคำพูดของชายชรา ก็หน้าเปลี่ยนสี ทันใดนั้นก็ฝืนยิ้มเอ่ยขึ้น  

 

 

“ใช่แล้ว ในเมื่อปรมาจารย์เจี่ยไม่เป็นอะไร พวกเราก็วางใจ” เงาร่างคนในลำแสงสีเทาบิดตัวไปมาด้วยท่าทางไม่สบายใจเล็กๆ 

 

 

“ที่แท้สหายทั้งสองก็หวังดี กลับเป็นข้าน้อยที่กังวลเกินไป แต่ในเมื่อตอนนี้แผ่นป้ายกว้างเย็นถูกสหายหานกระตุ้นแล้ว ข้าน้อยก็จะขอเชิญเขาเข้าเผ่า สหายทั้งสองคงไม่มีความเห็นสินะ? ส่วนที่นี่นั้น แน่นอนว่าต้องวางเขตอาคมทันที และส่งคนมาปิดล้อมที่นี่ อีกเดี๋ยวเผ่าหมื่นโบราณของพวกเราจะส่งคนมาวางเขตอาคมที่นี่” เชียนจีจื่อดูเหมือนจะมีมารยาทมาก แต่กลับเอ่ยสิ่งที่ทั้งสองไม่อาจปฏิเสธได้ 

 

 

ไป๋เย่ว์และชังอิ่งที่อยู่ในลำแสงสีเทาได้ฟังคำนี้ ใบหน้าย่อมดูไม่ได้ แต่เมื่อตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากเชียนจีจื่อ ก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างฝืนใจ 

 

 

ชายชราร่างอ้วนเห็นทั้งสองคนรู้จักวางตัว ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจในทันที แล้วถึงได้หันหน้าไปเอ่ยถามหานลี่ด้วยรอยยิ้ม 

 

 

“สหายหาน ไม่ทราบว่าเจ้าจะไปยอมไปกับผู้เฒ่าน้อยหรือไม่?” 

 

 

หานลี่ได้ฟังใบหน้าพลันมีรอยยิ้มขมขื่น อีกฝ่ายใช้ฐานะระดับผสานอินทรีย์ขั้นสุดยอดเชิญเขา เขาจะไปกล้าปฏิเสธได้อย่างไร จึงทำได้เพียงตอบรับอย่างนอบน้อม 

 

 

“หากท่านอาวุโสไม่รังเกียจละก็ ชนรุ่นหลังย่อมยอมรบกวนแล้ว” 

 

 

“ฮ่าๆ สหายหานไม่ต้องกังวล ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็คือผู้มีพระคุณของปรมาจารย์เจี่ย เผ่าหมื่นโบราณของพวกเราไม่ใช่ผู้ไม่รู้จักคุณคน” เชียนจีจื่อกลับดูเหมือนว่าจะมองความฉงนในใจของหานลี่ออก จึงหัวเราะฮ่าๆ ขณะเอ่ย