แน่นอนว่าหานลี่ก็พูดได้เพียงมิกล้า 

 

 

จากนั้นทุกอย่างกลับง่ายขึ้นแล้ว 

 

 

ภายใต้การออกคำสั่งของเชียนจีจื่อ นักรบชุดเกราะเหล่านี้พลันจากไปเรียกนักรบผู้พิทักษ์มาที่นี่ เพื่อปิดล้อมที่นี่ในรัศมีสองสามลี้ 

 

 

ส่วนโรงเตี๊ยมหลังนี้ แน่นอนว่าย่อมถูกยึดเพื่อมาใช้ 

 

 

เมื่อหานลี่เห็นว่าถูกเรียกมา เซี่ยงจือหลี่ได้ฟังคำรายงานพลันมีสีหน้าตกตะลึง ทำได้เพียงอมยิ้มอย่างขมขื่นเท่านั้น 

 

 

จากนั้นหานลี่ก็ตามชายชราร่างอ้วนออกไปจากโรงเตี๊ยม ส่วนแผ่นป้ายที่ถูกเรียกว่า ‘แผ่นป้ายกว้างเย็น’ นั้น ก็ยังคงอยู่ที่โรงเตี๊ยม โดยมีนักรบชุดเกราะจำนวนนับไม่ถ้วนคอยคุ้มกันอยู่ 

 

 

ส่วนไป๋เย่ว์และชังอิ่งไม่ได้รั้งรออยู่ที่นี่ พลันกล่าวลาเป็นลำดับ 

 

 

เชียนจีจื่อถึงได้พาหานลี่จากไปเช่นกัน 

 

 

ทว่าเขาไม่ได้ควบคุมลำแสงหลีกหนีบินไปที่เมือง แต่มีรถอสูรที่ถูกอสูรวิญญาณคล้ายวานรยักษ์สีทองสองตัวลากอยู่รออยู่บนถนนข้างโรงเตี๊ยม 

 

 

ชายชราร่างอ้วนเชิญหานลี่ขึ้นไปบนรถ คิดไม่ถึงว่าเท้าทั้งสี่ของวานรยักษ์จะมีวายุเกิดขึ้น รอยห่างจากพื้นไปสองสามฉื่อ 

 

 

เชียนจีจื่อไม่ได้พูดคุยอะไรกับหานลี่เมื่ออยู่ในรถ หลังจากเอ่ยอย่างส่งเดชสองประโยคก็หลับตานั่งสมาธิ 

 

 

หานลี่มีสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่ในใจกลับมีความคิดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว คิดว่าอีกฝ่ายมีเจตนาใดที่พาตนเองไปไม่หยุด 

 

 

แม้ว่าจะได้ฟังคำว่าตอบแทนบุญคุณของอีกฝ่าย เขาก็ไม่คิดว่าตนเองจะสบายใจได้ 

 

 

ต่อให้เขาช่วยเจี่ยเทียนมู่ในตอนแรก แต่หุ่นเชิดสะท้านฟ้าตัวเดียวก็จะทดแทนบุญคุณแล้ว 

 

 

ตอนนี้พึ่งพาอาศัยได้ กลับเป็นเพราะหลังจากที่หยดโลหิตบริสุทธิ์ของเขาลงไปในแผ่นกว้างเย็น ดูเหมือนว่าจะต้องให้ตนเองร่วมมือด้วยถึงจะเข้าไปใน ‘แดนกว้างเย็น’ ที่พวกเขาพูดถึงได้ 

 

 

หากเป็นเช่นนั้นละก็ เขากลับสามารถใช้โอกาสงามๆ นี้ ดูว่าจะใช้เขตอาคมส่งตัวขั้นสุดยอดได้หรือไม่  

 

 

หลังจากขบคิดซ้ำไปซ้ำมา หานี่ก็รู้ว่าตนมีประโยชน์กับเผ่าเมฆาสวรรค์ หลังจากนี้คงไม่มีอันตรายอะไร จิตใจจึงสงบลง 

 

 

เห็นได้ชัดว่ารถอสูรที่เขาโดยสารอยู่ตอนนี้เร็วกว่าก่อนหน้าเป็นอย่างมาก ไม่นานนักก็ข้ามผ่านกว่าครึ่งของเมือง ไปถึงมุมของเมืองที่ภูเขาแปดเมฆาตั้งอยู่ 

 

 

มองผ่านหน้าต่างมองเห็นภูเขาขนาดสองสามพันจั้งแปดลูก ใบหน้าของหานลี่ฉายแววประหลาดใจ ในใจพลันรู้สึกกังขาว่าอีกฝ่ายคิดจะพาตัวเองไปที่ถ้ำพำนักของเขาหรือไม่? 

 

 

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เบื้องหน้าก็เข้าใกล้ภูเขาขนาดใหญ่ รถอสูรพลันพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ เปลี่ยนทิศทาง คาดไม่ถึงว่าจะอ้อมภูเขาขนาดใหญ่ตรงหน้าไปด้านหลังภูเขา 

 

 

หานลี่พลันรู้สึกประหลาดใจ แต่ผ่านไปชั่วครู่ รถอสูรปรากฏขึ้นด้านหลังภูเขา ถึงได้พบว่าตรงนั้นมีป้อมปราการเมืองขาดเล็กสองสามลี้ปรากฏขึ้น 

 

 

แม้ว่าป้อมปราการนี้จะมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่กำแพงเมืองกลับล้อมรอบเป็นชั้นๆ มีถึงเจ็ดแปดชั้น และยิ่งไปกว่านั้นกำแพงเมืองสูงขึ้นเรื่อยจากในสู่นอก กำแพงชั้นนอกสุดมีความสูงร้อยจั้งเศษ ส่วนชั้นในสุดดูแล้วกลับมีความสูงแค่พันจั้ง 

 

 

มองไกลๆ กล่าวว่าป้อมปราการ ไม่สู้บอกว่าหอคอยยักษ์จะดีกว่า 

 

 

ภายใต้เนตรวิญญาณวารีกระจ่าง หานลี่จึงมองเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน ทุกๆ ระยะห่างร้อยจั้งเศษของกำแพงเมือง หัวเมืองจะมีรูปปั้นแกะสลักสีเงินขาวนั่งยองๆ อยู่ 

 

 

รูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขามีหลากหลาย มีอสูร คน หนึ่งในนั้นใหญ่หน่อยสูงถึงร้อยจั้งเศษ เล็กน้อยก็สูงแค่เจ็ดแปดจั้ง ทุกตัวล้วนแข็งทื่อไร้ความรู้สึก แต่กลับมีจิตสังหารประหลาดแผ่ออกมาจากร่างของพวกมัน  

 

 

และบนหัวเมืองยังมีนักรบชุดเกราะสีเขียวถือขวานยาวเรียงแถวอยู่ คอยตรวจตราอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่กลับไม่มีพลังชีวิตบนร่างเลยสักนิด คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหุ่นเชิดร่างมนุษย์ 

 

 

ทั้งสี่มุมของป้อมปราการมีเสาสูงใหญ่ต้นหนึ่ง เปล่งแสงแวววาว สีเหลือง สีฟ้า สีแดง สีเขียว สี่สีเสียดยอดขึ้นไปบนหมู่เมฆ บางครั้งผิวของมันก็มีอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งแสงสว่างวาบ เผยความมหัศจรรย์ออกมา ช่างน่าสะดุดตายิ่ง 

 

 

ในตอนที่หานลี่กำลังมองด้วยความตกตะลึงอย่างสุดๆ นั้น รถอสูรก็บินเข้าไปในป้อมปราการ และหมุนวนโคจร ร่อนลงตรงใจกลางหน้าวิหารประหลาดสีเขียวมรกต 

 

 

ลงจากรถอสูร หานลี่กวาดสายตาไปมองด้านบนวิหารตามความรู้สึก ด้านบนมีแผ่นป้ายความยาวสองสามจั้งสลักตัวอักษรสีทองคำว่า‘วิหารสะท้านฟ้า’  

 

 

หานลี่ใจเต้น ชั่วครู่ก็นึกถึงหุ่นเชิดสะท้านฟ้าของตนเอง 

 

 

หรือว่าวิหารนี้เกี่ยวข้องอะไรกับหุ่นเชิดสะท้านฟ้า หรือว่าเป็นแค่ความบังเอิญ? 

 

 

ขณะที่กำลังพึมพำในใจ ด้านหลังกลับมีเสียงหัวเราะหึๆ ของเชียนจีจื่อดังขึ้น 

 

 

“สหายเชิญเข้าไปด้านใน ที่นี่คือที่มั่นของเผ่าหมื่นโบราณของพวกเรา เป็นที่ปรึกษาหารือเรื่องสำคัญในเมืองเมฆา ปกติแล้วไม่ค่อยเชิญคนนอกเผ่าเข้ามาในวิหารนี้มากนัก” 

 

 

“ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่ให้ความสำคัญ ชนรุ่นหลังได้รับเกียรติแล้ว” หานลี่ค้อมตัวลงขณะตอบกลับ 

 

 

สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นสุดอยู่ตรงหน้า หานลี่จึงไม่กล้าแสดงความไม่เคารพนบน้อม เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองลำบาก  

 

 

เชียนจีจื่อหยักมุมปาก เผยรอยยิ้มออกมา โบกมือ แล้วพลันก้าวเข้าไป 

 

 

ตรงประตูวิหารมีผู้พิทักษ์สวมชุดคลุมสีขาวยืนอยู่คนหนึ่ง เมื่อเห็นชายชราเข้ามา คาดไม่ถึงว่ามีสีหน้าไร้ความรู้สึก ราวกับมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จึงอดที่จะเหลือบมองอีกสองแวบไม่ได้ ผลคือทำให้หน้าเปลี่ยนสี คาดไม่ถึงว่าจะมองอะไรออก! 

 

 

“ดูแล้วสหายหานก็คงดูออก ผู้พิทักษ์วิหารทั้งสองคนเป็นหุ่นเชิดสะท้านฟ้า และยิ่งไปกว่านั้นยังอยู่ในระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เก้า สามารถตรวจตราวิหารแห่งนี้ได้ทั้งวันทั้งคืน นอกจากพวกเราและคนพิเศษที่พามาแล้ว หากคนอื่นเข้าใกล้วิหารสะท้านฟ้าแม้ก้าวเดียว พวกมันก็จะทำการโจมตีอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด” ชายชราร่างอ้วนตอบกลับพร้อมหัวเราะเบาๆ โดยไม่ได้แม้แต่จะหันหัวกลับมา 

 

 

“เผ่าเบื้องบนขั้นที่เก้า!” หานลี่สูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง มองหุ่นเชิดชุดขาวสองคนแล้วอดที่จะมีสีหน้าแปลกประหลาดไม่ได้ 

 

 

นี่เท่ากับสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาขั้นสุดยอด หากผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดามีหุ่นเชิดสองตัวอยู่ข้างกาย แค่ระดับต่ำกว่าระดับผสานอินทรีย์ก็สามารถควบคุมได้แล้ว วางไว้เป็นผู้พิทักษ์หน้าวิหาร มันจะบ้าคลั่งไปหน่อยกระมัง 

 

 

หานลี่ส่งเสียงจุ๊ๆ มองไปยังหุ่นเชิดใบหน้าไร้ความรู้สึกทั้งสองคนแวบหนึ่ง ในใจพลันรู้สึกอิจฉาปนชื่นชม 

 

 

แต่ยามนั้นเชียนจีจื่พลันเดินเข้าไปในประตูวิหาร เขาเองก็ทำได้เพียงเดินตามไปติดๆ 

 

 

อย่ามองว่าวิหารสะท้านฟ้าแห่งนี้ดูเหมือนไม่ธรรมดา แต่ด้านในกลับเรียบง่าย นอกจากวิหารหลักแล้ว ก็มีเพียงห้องด้านข้างสองห้องซ้ายขวาเท่านั้น 

 

 

ส่วนในวิหารหลักนอกจากเสาธาตุยี่สิบสามสิบต้นแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดสะดุดตาอีก 

 

 

เชียนจีจื่อเดินไปยังเก้าอี้ทั้งสองฝั่งตรงใจกลางของวิหาร นั่งลงบนเก้าอี้หลักตรงกลางอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด 

 

 

“สหายเองก็นั่งลงก่อนเถิด เพราะเรื่องที่เกี่ยวโยงกับแผ่นป้ายกว้างเย็นเป็นเรื่องใหญ่ ข้าจึงเชิญอาวุโสอีกสองคนมาที่นี่ ตอนนี้ในเมืองเมฆา ทุกเรื่องของเผ่าหมื่นโบราณล้วนให้พวกเราสามคนเป็นผู้ตัดสินใจ” เชียนจีจื่อหัวเราะหึๆ ขณะเอ่ย 

 

 

 

 

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ดูแล้วแผ่นป้ายกว้างเย็น คงจะมีที่มาที่ไปจริงๆ” หานลี่พยักหน้า เอ่ยด้วยท่าทางครุ่นคิด  

 

 

ระหว่างทางเขาไม่เห็นอีกฝ่ายมีการเคลื่อนที่ผิดปกติใดๆ คาดไม่ถึงว่าจะส่งข่าวไปแล้ว สมกับเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ระดับสุดยอดจริงๆ 

 

 

“สหายไม่ใช่คนของแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีสินะ” เชียนจีจื่อแววตาเปล่งประกาย ขณะเอ่ยถาม 

 

 

หานลี่พลันใจหายวาบ แต่ทันใดนั้นก็ผ่อนคลายลง และยิ่งไปกว่านั้นก็พยักหน้าอย่างซื่อสัตย์ 

 

 

“ใช่แล้ว ผู้แซ่หานเป็นคนจากแผ่นดินใหญ่อื่นจริงๆ อันใด เรื่องที่ข้าอยากใช้เขตอาคมส่งตัวระดับสุดยอด สหายเจี่ยก็คงบอกท่านอาวุโสแล้วสินะ?” 

 

 

“ปรมาจารย์เจี่ยเอ่ยเรื่องนี้กับตาเฒ่าแล้ว แต่หากสหายเป็นคนของแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี จะไม่ไม่รู้จักแผ่นป้ายกว้างเย็นได้อย่างไร และยิ่งไปกว่านั้นยังกระตุ้นแผ่นป้ายนี้อย่างง่ายดาย” เชียนจีจื่อเอ่ยพลางหัวเราะเบาๆ 

 

 

“อันใด แผ่นป้ายกว้างเย็นนี้มีชื่อเสียงมากหรือ? ข้าน้อยดูเหมือนว่าจะไม่เห็นบันทึกอะไรในคัมภีร์เลย หวังว่าท่านอาวุโสจะแถลงไข” หานลี่เอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น 

 

 

เขาไม่ได้ใส่ใจเจี่ยเทียนมู่ที่เอาเรื่องตัวเองไปบอกเชียนจีจื่อ หากปรมาจารย์หุ่นเชิดของเผ่าหมื่นโบราณผู้นี้ไม่เอ่ยถึงเรื่องเขตอาคมส่งตัวเลยสักนิด กลับจะแปลกเสียกว่า 

 

 

“ในคัมภีร์เหล่านั้นไม่มีบันทึกก็ไม่แปลกเลยสักนิด แม้นว่าแผ่นป้ายกว้างเย็นจะมีชื่อเสียงไม่น้อย แต่กลับไม่ใช้สิ่งที่ใครคนหนึ่งจะควบคุมได้ หากไม่มีพลังของเผ่าคอยสนับสนุน ต่อให้ได้แผ่นป้ายกว้างเย็นมา อยากเข้าไปในแดนกว้างเย็นก็เป็นเรื่องที่บ้าคลั่งแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น คัมภีร์ธรรมดาๆ ในโลกภายนอกย่อมไม่บันทึกอยู่แล้ว ทว่าหากพลังยุทธ์อยู่ระดับเผ่าเบื้องบน ก็มีคนน้อยมากที่รู้เรื่องนี้” ชายชราร่างอ้วนแววตาฉายแววตาเจ้าเล่ห์ เอ่ยพร้อมกับหัวเราะคิกคัก 

 

 

“ต้องใช้พลังของเผ่า! แดนกว้างเย็นน่าจะไม่ธรรมดาสินะ มิเช่นนั้นเผ่าต่างๆ คงไม่ลงแรงเปล่าๆ หรอก” หานลี่ลูบใต้คาง แล้วเอ่ยถามหยั่งเชิง 

 

 

“ยิ่งกว่าไม่ธรรมดา หากได้ของในแดนกว้างใหญ่จริงๆ แม้กระทั่งเพียงพอจะส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งและอ่อนแอทั้งเผ่า แน่นอนว่าสมบัติเหล่านี้ แม้ว่าเข้าไปในแดนกว้างเย็นก็ไม่ธรรมดา ผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแดนกว้างเย็น ยังคงเป็นระดับความเข้มข้นของไอวิญญาณฟ้าดินที่เหนือกว่าแดนวิญญาณมากกว่าสิบเท่า ประกอบสมุนไพรวิญญาณผลวิญญาณ ล้วนเป็นของหายากในแดนวิญญาณ” ชายชราร่างอ้วนจ้องเขม็งไปยังหานลี่ เอ่ยยิ้มๆ  

 

 

“แดนที่มีไอวิญญาณหนาแน่นขนาดนั้น?” หานลี่ได้ยินคำนี้ ใบหน้าพลันเผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา 

 

 

“หึๆ สหายคิดว่าแดนกว้างเย็นคือที่ใด ห้วงเวลาที่ปริแตก หรือว่าแดนเล็กๆ ที่อยู่ติดกับแดนวิญญาณ?” เชียนจีจื่อลูบเคราใต้คาง แล้วหัวเราะหึๆ 

 

 

“หวังว่าท่านอาวุโสจะชี้แนะ!” หานลี่เอ่ยถามอย่างนอบน้อม 

 

 

“แม้ว่าพวกเราจะไม่อาจมั่นใจได้ แต่ก็มั่นใจอยู่เจ็ดแปดส่วน แดนกว้างเย็นนั้นน่าจะเป็นห้วงเวลาชำรุดของแดนเทพเซียน” ชายชราร่างอ้วนหุบยิ้ม ครุ่นคิดอยู่นาน แล้วถึงได้พ่นคำพูดออกมาทีละคำๆ 

 

 

“แดนเทพเซียน!” แม้ว่าระดับจิตใจของหานลี่จะมั่นคงขนาดไหน เมื่อได้ยินคำนี้ ก็ยังร้องอุทานด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง 

 

 

“ใช่แล้ว น่าจะเป็นห้วงเวลาที่แดนเทพเซียนละทิ้งไป คนที่เคยเข้าไปในห้วงเวลานี้มาก่อน เคยพบกับถ้ำพำนักที่ดูเหมือนของเทพเซียน แม้กระทั่งโครงกระดูก แต่ไม่เคยพบเทพเซียนเป็นๆ” เชียนจื่อจีหน้าเปลี่ยนสีเป็นราบเรียบ 

 

 

ส่วนหานลี่กลับนั่งอยู่บนเก้าอี้ แล้วเงียบกริบไม่ได้ปริปากใดๆ 

 

 

“สหายเองก็ไม่จำเป็นต้องตกใจขนาดนั้น จนถึงตอนนี้พวกเราก็ยังไม่อาจมั่นใจการคาดเดาได้ และยิ่งไปกว่านั้นถ้ำพำนักที่พบในแดนกว้างเย็น โครงกระดูก ไม่ได้ทิ้งสมบัติหรือเคล็ดวิชาที่มีประโยชน์เอาไว้ และไม่ได้หมายความว่าคนที่เข้าไปส่งเดชคนหนึ่งจะได้สมบัติเหนือชั้นกลับมา แม้ว่าจะเป็นสมุนไพรวิญญาณผลวิญญาณก็อยู่ในแดนลึกลับ จำต้องค่อยๆ ค้นหาไป” ชายชราร่างอ้วนฉีกยิ้มอย่างแปลกประหลาดใจ