ตอนที่ 90 โครงการหลินไห่ 

 

 

เจียงมู่เฉินเดินเอ้อระเหยลอยชายเข้าไปห้องทำงานของคุณพ่อเจียง เขานั่งเก้าอี้มองคุณพ่อเจียง “พ่อ เรียกผมมาทำไมอีก” 

 

 

“โครงการหลินไห่ คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว” 

 

 

เจียงมู่เฉินชะงักไปสักพัก “คืบหน้า?” 

 

 

คุณพ่อเจียงเปลี่ยนสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันที “แกเจ้าเด็กแสบ ฉันบอกแกแล้วไม่ใช่เหรอว่าโครงการหลินไห่แกเป็นคนรับผิดชอบ” 

 

 

เจียงมู่เฉินทำท่าทำทางแคะหู “ไม่ใช่มั้ง พ่อเอาจริงดิ” 

 

 

“ฉันจะบอกแกไว้นะ โครงการนี้ถ้าแกจัดการไม่ได้ แกหอบผ้าหอบผ่อนออกไปได้เลย ตระกูลเจียงไม่เลี้ยงคนว่างงาน” 

 

 

“พ่อ พ่อไม่เป็นไรใช่ไหม พ่อมองผมยังรู้จักว่าผมเป็นใครอยู่ไหม” 

 

 

คุณพ่อเจียงโกรธเขาจนไม่ไหวแล้ว “พ่อแกยังไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์ ไม่ได้ลืมแกสักหน่อย” 

 

 

“พ่อรู้ว่าผมเป็นลูกชายพ่อ พ่อยังจะให้ผมหอบผ้าหอบผ่อนออกไปอีกเหรอครับ” 

 

 

“เรื่องนี้ไม่ต้องต่อรอง ไปหาแม่แกก็ไม่มีประโยชน์ ฉันให้เวลาแกแค่สองเดือน จะอยู่ตระกูลเจียงต่อไปได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าแกจะจัดการโครงการหลินไห่นี้ได้หรือเปล่า” 

 

 

เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางจริงจังไม่ล้อเล่นของพ่อตัวเอง ก็รีบจ้องเขาเขม็ง แล้วถามต่ออีก “พ่อแน่ใจ?” 

 

 

คุณพ่อเจียงยิ้มเยาะ “ไม่เคยแน่ใจขนาดนี้มาก่อน” 

 

 

ตอนเจียงมู่เฉินยังเด็ก เขาตามใจลูกชายเกินไป ดังนั้นโตมาจนถึงตอนนี้ถึงไม่เป็นโล้เป็นพายสักอย่าง เรียนรู้อะไรผิดๆ มาก็ไม่ใช่น้อยๆ  

 

 

ฉวยโอกาสตอนนี้ตอนที่ร่างกายเขายังนับว่าแข็งแรงอยู่ หาเรื่องให้เจ้าเด็กแสบเรียนรู้ตั้งแต่เริ่มต้น ให้เขาเดินทางที่ถูกต้องตั้งแต่เนิ่นๆ ภายหลังจะได้รับช่วงต่อบริษัทดีๆ ได้ 

 

 

เจียงมู่เฉินสลดใจมองหน้าคุณพ่อเจียงแล้วถอนหายใจเงียบๆ “พ่อครับ พ่อเปลี่ยนไปแล้ว” 

 

 

“ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว แกก็รีบไปซะ อย่ามาอยู่ที่นี่ขวางหูขวางตาฉัน” 

 

 

“งั้นผมไปนะ พ่ออย่าคิดถึงผมเกินไปล่ะ” เจียงมู่เฉินพูดจบก็จะไปทันที 

 

 

“ใช่แล้ว ตอนบ่ายแกไปดูงานที่หลินไห่ด้วย วันนี้ที่นั่นเริ่มก่อสร้างกันแล้ว แกไปดูทำความเข้าใจก่อน มีอะไรไม่เข้าใจก็ไปถามเหล่าอู๋” 

 

 

เจียงมู่เฉินพยักหน้า “รู้แล้วครับ พ่อวางใจเถอะ รับรองภารกิจสำเร็จ” 

 

 

หลังจากออกจากเจียงเฉินกรุ๊ป เจียงมู่เฉินเรียกรถนั่งกลับไปบ้านตระกูลเจียง เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วถึงขับรถไปสำรวจสถานที่ก่อสร้างโครงการหลินไห่ 

 

 

หลินไห่เป็นที่ดินเขตชานเมืองใกล้ถานโจว ที่ดินผืนนี้ดึงดูดบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไม่น้อยให้กระหายอยากได้ แต่สุดท้ายก็ถูกซังจิ่งคว้ามาครองไว้จนได้ 

 

 

ต่อมาซังจิ่งเป็นฝ่ายเข้าหาเจียงเฉินกรุ๊ป บอกว่าต้องการให้เป็นผู้บุกเบิกร่วมกัน โครงการที่เขาเสนอจะทำให้ทั้งสองบริษัทได้ประโยชน์ทั้งคู่ 

 

 

ดังนั้นคุณพ่อเจียงจึงยอมตกลงจะเป็นผู้บุกเบิกที่ดินผืนนี้ร่วมกัน รวมทั้งลงนามเซ็นสัญญาแสดงเจตจำนงยินยอมจะเป็นพันธมิตรทำงานร่วมกันในโครงการนี้ 

 

 

เพราะเรื่องนี้ถึงได้มีการปรากฏตัวในวันนั้นของซังจิ่งและเซวียยางที่เจียงเฉินกรุ๊ป อีกอย่างคือความบังเอิญที่โครงการหลินไห่มอบหมายให้เจียงมู่เฉินดูแลพอดี 

 

 

เจียงมู่เฉินขับรถมาจอดที่หน้าทางเข้าสถานที่ก่อสร้างตามใจชอบ 

 

 

เขามองไปรอบๆ ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย หลายปีมานี้น้อยมากแทบจะนับครั้งได้ที่เขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจของพ่อ ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้คิดยังไงถึงได้ให้เขารับผิดชอบโครงการนี้ 

 

 

เขากำลังเตรียมจะเดินเข้าไปข้างใน ก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังออกมาจากข้างใน 

 

 

เจียงมู่เฉินชะงักไปพักหนึ่ง รู้สึกคุ้นหูกับเสียงพูดคุยกันข้างใจ เขาหยุดเดิน คนข้างในก็เดินออกมาพอดี 

 

 

หน้าผากเจียงมู่เฉินกระตุกเกร็ง ไม่ต้องบังเอิญขนาดนี้ได้ไหม ทำไมเจอซังจิ่งคนนี้อีกจนได้ 

 

 

“บังเอิญจริงๆ ไม่คิดว่าจะเจอคุณที่นี่” ซังจิ่งเห็นเขา น้ำเสียงเจือความดีใจ 

 

 

“ฉันเองก็ไม่ได้คิดว่าจะเจอนายที่นี่” เจียงมู่เฉินเอ่ยขัดไปตรงๆ 

 

 

‘ถ้ารู้ว่าซังจิ่งอยู่ที่นี่ ยังไงเขาก็ไม่มีทางจะมาหรอก’ 

 

 

“วันนี้โครงการเริ่มก่อสร้างเป็นวันแรก ต้องมาดูงานเป็นธรรมดา” ซังจิ่งหยุดสักพัก ก่อนเอ่ยต่อ “คุณชายเจียงเองก็มาเพราะเรื่องนี้?” 

 

 

เจียงมู่เฉินสีหน้าไม่สบอารมณ์ พยักหน้ารับ “ในเมื่อนายดูมาแล้ว ไม่มีอะไรฉันไปก่อนแล้วกัน” 

 

 

ซังจิ่งรีบพูด “ผมเองก็เพิ่งมาถึง ยังไม่ได้ดูอะไรสักอย่าง” เขามองคนข้างๆ แวบหนึ่ง “ในเมื่อคุณชายเจียงก็มาแล้ว พวกเราจะได้ไปดูด้วยกันพอดี” 

 

 

ผู้รับผิดชอบโครงการที่ยืนอยู่ข้างๆ หางตากระตุก เมื่อกี้ดูไปแล้วรอบหนึ่งไม่ใช่เหรอ 

 

 

ซังจิ่งกวาดสายตามองเขา 

 

 

ผู้รับผิดชอบรีบพยักหน้า “ตอนนี้ผมจะพาทั้งสองท่านเข้าไปชมด้วยกันครับ” 

 

 

เจียงมู่เฉินหยุดไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็เดินตามเข้าไป 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 91 เจียงมู่เฉินบาดเจ็บ 

 

 

ผู้รับผิดชอบโครงการพาเจียงมู่เฉินและซังจิ่งเดินวนชมไปรอบๆ อีกครั้ง เจียงมู่เฉินไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ ตรงกันข้ามกับซังจิ่งที่ดูมารอบหนึ่งแล้วกลับสนใจเป็นพิเศษ 

 

 

กว่าจะดูจบไม่ใช่ง่ายๆ ซังจิ่งถามเขา “เป็นไงบ้าง มีอะไรต้องการทำความเข้าใจต่ออีกไหม” 

 

 

เจียงมู่เฉินส่ายหัว “ไม่มีแล้ว ส่วนใหญ่ก็เคยเห็นแล้ว” 

 

 

“ตอนนี้ก็บ่ายแก่ๆ แล้ว ผมอยากชวนประธานเจียงกินของว่างกัน?” ซังจิ่งไม่ปล่อยแม้แต่โอกาสเดียวที่จะนัดเจียงมู่เฉินให้ได้ 

 

 

นักธุรกิจอย่างเขาเรื่องฉวยเอาโอกาสและหาจังหวะเวลาไว้เป็นเรื่องที่สำคัญเป็นพิเศษ 

 

 

เจียงมู่เฉินสังเกตดูซังจิ่งอย่างละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้า ซังจิ่งคนนี้รูปร่างหน้าตาใช้ได้ ยังมีความสามารถมากอีกด้วย คนรอบตัวเขาที่ชอบเขามีนับไม่ถ้วน แล้วทำไมยังเข้ามาพัวพันเกาะแกะเขาไม่เลิก หมายความว่าไงกัน 

 

 

“ประธานซัง นายว่างเป็นพิเศษเลยใช่ไหม” 

 

 

ซังจิ่งเลิกคิ้วขึ้นมาเงียบๆ 

 

 

“ต่อให้นายว่างจนเบื่อจริงๆ ก็อย่ามารบกวนหาเรื่องฉันเรื่อยๆ เลย” เขาไม่มีเวลามาเสียเวล่าโง่ๆ กับเขาต่อไปจริงๆ ซือเหยี่ยนเองเขายังไม่ได้จัดการให้อยู่หมัดเลย 

 

 

ซังจิ่งโดนเขาพูดใส่ยังยิ้มออกมา เขายกมุมปากขึ้นมองเจียงมู่เฉิน “ผมว่าคุณไม่คิดจะเก็บความรู้สึกนิดหนึ่งบ้างหน่อยเหรอ จะว่ายังไงพวกเราก็เป็นคู่ทำงานร่วมกันอยู่ดี” 

 

 

เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ขอโทษนะ ฉันไม่มีนิสัยนี้” 

 

 

เขาพูดจบก็หมุนตัวเตรียมจะเดินออกไป “ฉันยังมีธุระต่อ ไม่รบกวนประธานซังแล้ว” 

 

 

ด้านหลังมีเสียงร้องตกใจโวยวายดังขึ้นมา เจียงมู่เฉินยังไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนองกลับไป รู้สึกแค่ว่าท้ายทอยเจ็บแปลบกะทันหัน แล้วคนทั้งคนก็หมดสติไป 

 

 

ก่อนจะสลบไสล เจียงมู่เฉินอดคิดไม่ได้ว่านี่คงจะไม่ใช่เพราะพูดแตกหักกับซังจิ่ง แล้วโดนอีกฝ่ายอัดจนน็อคหมดสติไปหรอกใช่ไหม 

 

 

… 

 

 

ฟื้นมาอีกครั้งที่โรงพยาบาล ท้ายทอยเจ็บจนทนไม่ไหว เจียงมู่เฉินมองเพดานสีขาวแล้วทวนความทรงจำเงียบๆ เขาอยู่ที่สถานที่ก่อสร้าง เขาปฏิเสธคำชวนกินข้าวของไป๋จิ่ง แล้วเตรียมจะออกไป หลังจากนั้นท้ายทอยก็เจ็บจนเป็นลมไป… 

 

 

เรื่องต่อจากนั้น เขาคิดต่อไม่ออกว่าสรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้น 

 

 

ประตูห้องผู้ป่วยถูกผลักออก เจียงมู่เฉินดิ้นขลุกพยายามมองไปที่ประตู 

 

 

“คุณฟื้นแล้ว?” ซังจิ่งดูค่อนข้างจะตื่นเต้นไม่เบา 

 

 

เจียงมู่เฉินกดหัวลง “ทำไมฉันมาเข้าโรงพยาบาลล่ะ” 

 

 

“คุณโดนของตกใส่ แล้วหมดสติไปที่สถานที่ก่อสร้าง” 

 

 

เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว เขาไม่ต้องอนาถขนาดนี้จะได้ไหม ไปสำรวจสถานที่ก่อสร้างยังโดนของตกใส่ ถ้าซือเหยี่ยนรู้เข้า จะไม่หัวเราะเขาแย่เหรอ 

 

 

“พ่อแม่ฉันยังไม่รู้ใช่ไหม” เจียงมู่เฉินรีบเอ่ยถาม 

 

 

“ผมยังไม่ทันได้บอกครับ” 

 

 

เจียงมู่เฉินวางใจลงทันที ถ้าแม่เขารู้ว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาล ไม่แน่ว่าจะร้องไห้หนักขนาดไหน 

 

 

“อย่าบอกพวกเขาเด็ดขาดเลยนะ” 

 

 

ซังจิ่งลูบจมูกตัวเองป้อยๆ “เกรงว่าถึงผมไม่พูด คุณพ่อคุณก็ควรจะรู้เรื่องแล้ว” 

 

 

เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา “นายหมายความว่าไง” 

 

 

“ตอนที่คุณเกิดเรื่อง มีคนไม่น้อยอยู่ที่เกิดเหตุด้วย ตามความรวดเร็วในกระจายข่าว คุณพ่อของคุณควรจะกำลังเดินทางมาแล้ว” 

 

 

เสียงพูดเพิ่งจะหยุดลง ประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกผลักเปิดออก “ลูกแม่ ลูกยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม” 

 

 

คุณแม่เจียงดวงตาแดงก่ำพุ่งตัวเข้ามา ข้างหลังตามด้วยพ่อเขา…แล้วก็ซือเหยี่ยน… 

 

 

เจียงมู่เฉินเห็นคนสุดท้ายที่เข้ามาเป็นซือเหยี่ยนก็ตกใจจนสะดุ้ง ซือเหยี่ยนมากับพ่อแม่เขาด้วยกันได้ยังไง 

 

 

นัยน์ตาแห่งความสงสัยยังไม่ได้ส่งถือซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินก็โดนแม่เขากอดเข้าไปเต็มๆ คุณแม่เจียงร้องไห้สังเกตดูอาการเจียงมู่เฉิน “ลูกแม่ ไม่เป็นไรใช่ไหม รอดตายแล้วใช่ไหม” 

 

 

เจียงมู่เฉินขมับกระตุก “แม่ครับ แม่ถามผมขนาดนี้ ไม่ตายก็ถูกแม่ทำอกแตกตายแทนแล้ว” 

 

 

เข้ามาก็ถามเลยว่ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เจียงมู่เฉินหัวเราะแห้งๆ แม่เขาคงจะไม่ได้มีลูกคนที่สองหรอกใช่ไหม ถึงได้ไม่ให้ความสำคัญเขาแล้ว 

 

 

“แม่ผิดเอง แม่ไม่ถามแล้ว” คุณแม่เจียงมองมองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของตัวเองด้วยความรักความสงสาร 

 

 

“นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็เห็นซือเหยี่ยนได้สักที