ตอนที่ 92 ประกาศสงครามอย่างเป็นทางการแล้ว

 

 

“ผมอยู่ที่บริษัทของคุณอาพอดี ได้ยินข่าวว่าคุณได้รับบาดเจ็บ ก็เลยมาด้วยกัน” ซือเหยี่ยนเอ่ยอธิบายเสียงเรียบ

 

 

เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวของอีกฝ่าย ก็ชักจะหงุดหงิดใจหน่อยๆ แล้ว เขายังเป็นที่รักของซือเหยี่ยนอยู่ไหม เขาบาดเจ็บแบบนี้แล้วยังไม่รู้จักเป็นห่วงเป็นใยเขาบ้าง

 

 

“หึ” เจียงมู่เฉินอดจะทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจออกมาไม่ได้ หลับตาลงก็เอะอะโวยวายทันที “ผมง่วงแล้วอยากนอน”

 

 

คุณแม่เจียงได้ยินก็รีบเอ่ยทันใด “ได้จ๊ะ ได้จ๊ะ ลูกพักผ่อนดีๆ นะ”

 

 

เมื่อเจียงมู่เฉินได้ยินความเงียบงันในห้องผู้ป่วย เสียงประตูที่ถูกปิดลง เจียงมู่เฉินโมโหจนปวดใจ เขาก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่คิดว่าซือเหยี่ยนจะไม่แม้แต่จะหันมองเขา เดินออกไปเฉยเลย

 

 

เขาโกรธจนปิดตาสองข้างลง แล้วนอนหลับลงไปทั้งอย่างนั้น

 

 

นอกห้องผู้ป่วย หลังจากคุณพ่อเจียงและคุณแม่เจียงเอ่ยกันไม่กี่คำ ก็ออกจากโรงพยาบาลไป

 

 

ซือเหยี่ยนกับซังจิ่งยืนอยู่ประตูห้องผู้ป่วย ทั้งสองคนมองสังเกตกันและกันแวบหนึ่ง

 

 

ซังจิ่งเห็นซือเหยี่ยนผู้ยืนตันอยู่หน้าประตู เขายิ้มแล้วเอ่ยถาม “ประธานซือไม่คิดจะออกไปเหรอครับ”

 

 

ซือเหยี่ยนย้อนถาม “ประธานซังล่ะครับ”

 

 

“ตอนนี้เขาไม่เป็นอะไรแล้วก็ออกไปได้”

 

 

ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ขอบคุณที่ประธานซังพาเจียงมู่เฉินมาส่งโรงพยาบาลนะครับ”

 

 

ซังจิ่งเลิกคิ้ว “ไม่ทราบว่าประธานซือยืนอยู่ในฐานะอะไรถึงพูดประโยคนี้กับผม”

 

 

“ประธานซังควรจะรู้ว่าผมยืนอยู่ในฐานะอะไรนะครับ”

 

 

“อ้อ ดูท่าว่าผมจะเป็นเพื่อนกับประธานซือไม่ได้แล้วล่ะ”

 

 

ซือเหยี่ยนมองคนตรงหน้า “เป็นธรรมดา เดิมทีผมเองก็ไม่คิดจะเป็นเพื่อนกับประธานซังอยู่แล้ว” เขากวาดสายตามองซังจิ่งแวบเดียว “เฉินเฉินของผมไม่สบาย ผมไม่ส่งประธานซังนะครับ”

 

 

เขาหมุนตัวหันกลับดึงประตูห้องเปิดออกแล้วเดินเข้าไป ซังจิ่งมองตามแผ่นของซือเหยี่ยนไป แล้วยกยิ้มมุมปากขึ้น

 

 

‘เฉินเฉินของผม…’

 

 

‘เรียกกันสนิทขนาดนี้ ไม่รู้เลยว่าจะเรียกได้อีกนานเท่าไหร่’

 

 

คบกันแล้วยังไง ในโลกนี้ไม่มีมุมกำแพงไหนที่ขุดแล้วจะไม่ล้ม ขอเพียงแค่เขาขุดดีๆ ไม่ช้าก็เร็วสักวันก็ต้องพลิกคว่ำลง

 

 

เพียงแต่ว่า เดิมทีเขาคิดว่าคู่ต่อสู้ของตัวเองมีแค่เจียงมู่เฉิน ที่ไหนได้ตอนนี้ยังมีซือเหยี่ยนมาเพิ่มอีกคน

 

 

ถึงแม้ว่าระดับความยากจะเพิ่มขึ้นมาก

 

 

แต่เขาคนนี้เป็นคนชอบความท้าทายเสียด้วยสิ

 

 

 …

 

 

ซือเหยี่ยนเปิดประตูเข้ามาก็เห็นเจียงมู่เฉินนอนหน้านิ่วคิ้วขมวด เขานั่งลงข้างๆ มองดูท้ายทอยที่ได้รับบาดเจ็บของคนที่นอนอยู่แล้วถอนหายใจเบาๆ

 

 

เจียงมู่เฉินไม่เคยทำให้เขาสบายใจได้จริงๆ ไม่ระวังนิดระวังหน่อยก็ทำตัวเองบาดเจ็บแล้ว

 

 

เขาเอามือลูบหว่างคิ้วของเจียงมู่เฉิน แล้วนวดคลึงเบาๆ รอจนคิ้วอีกฝ่ายคลายปมลง ถึงได้ลดมือลง

 

 

เขานั่งพิงอยู่ตรงนั้นมองดูเจียงมู่เฉิน แล้วนึกเรื่องของซังจิ่งเมื่อครู่นี้ขึ้นมา

 

 

ซังจิ่งประกาศตัวชัดเจนว่าต้องการเปิดศึกสงครามกับเขาอย่างเป็นทางการ ไม่ปกปิดจุดประสงค์ที่มีต่อเจียงมู่เฉินเลยแม้แต่น้อย

 

 

เขาถอนหายใจเบาๆ ก้มหน้าลงงับเจียงมู่เฉินเข้าสักทีสองที

 

 

 ‘ไอ้นิสัยขี้อ่อยแบบนี้ เมื่อไหร่จะลดๆ ลงได้บ้างนะ’

 

 

เวลาพลบค่ำ ในที่สุดเจียงมู่เฉินผู้หลับใหลก็ตื่นขึ้นมาเสียที ในห้องเงียบสงัด ไม่มีใครสักคน เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองอนาถอยู่ไม่น้อย

 

 

คนบาดเจ็บทั้งคนกลับไม่มีแม้แต่คนดูแลสักคนอยู่ข้างกาย ซือเหยี่ยนไอ้คนระยำนั่นไม่อยู่ก็ช่างเถอะ ตอนนี้แม้กระทั่งพ่อแม่ก็ไม่สนใจเขาแล้ว

 

 

ทันใดนั้นเจียงมู่เฉินก็เห็นภาพตัวเองถูกไล่ออกจากบ้านลอยขึ้นมา

 

 

ประตูมีการเคลื่อนไหวเบาๆ เจียงมู่เฉินมองไปเห็นซือเหยี่ยนกำลังเข้ามาพอดี เขาชะงักไป ประหลาดใจทีเดียว

 

 

ซือเหยี่ยนเห็นเขาตื่นแล้วจึงเอ่ยปากถาม “ตื่นแล้วเหรอ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

 

 

เจียงมู่เฉินจ้องมองใบหน้าของซือเหยี่ยนแล้วหันหน้าหนีไม่มองอีกฝ่าย

 

 

ความดูแคลนและไม่ใส่ใจของเขา เจียงมู่เฉินจำได้หมด ตอนนี้ยังจะมาทำเป็นคนดีต่อหน้าเขาอีก

 

 

ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางโกรธฮึดฮัดของเขา ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น “คุณนอนท่านั้น ไม่เจ็บหัวเหรอ”

 

 

“เจ็บจะตายยังไงก็ไม่ต้องให้นายมายุ่ง!”

 

 

‘เขายังรู้จักใส่ใจมาถามว่าตัวเองเจ็บอยู่หรือเปล่า’ เขายังคิดว่าถ้าตัวเองตายไป ไม่แน่ว่าซือเหยี่ยนคงจะทำหน้าเย็นชาไปปักธูปให้เขาแล้วก็จากไปแบบนั้นเลยก็ได้

 

 

เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น รู้สึกว่าคนที่ตกหลุมรักก่อนเป็นฝ่ายผิด ไม่ยุติธรรม ทั้งที่เขากระวนกระวายใจเป็นห่วงซือเหยี่ยน แต่ซือเหยี่ยนกลับไม่ใส่ใจเขาเลยสักนิด

 

 

 

 

ตอนที่ 93 ‘เล่น’ ห้องผู้ป่วย

 

 

         “เป็นไรไป ยังโกรธอยู่เหรอ” ซือเหยี่ยนโน้มตัวลงมามองเขา

 

 

           เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “โกรธ? ฉันมีอะไรให้โกรธเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางปากไม่ตรงกับใจของเขา จึงตัดสินใจพูดจี้จุดโดยไม่เกรงใจออกไป “เพราะตอนเข้ามาทีแรก ผมไม่ได้แสดงความเป็นห่วงเป็นใยคุณ คุณถึงกับโกรธเลยไม่ใช่เหรอ”

 

 

           เมื่อเจียงมู่เฉินได้แบบนั้น ก็ลุกขึ้นมานั่งทันที “นายยังมีหน้ามาพูดได้ไม่กระดากใจ ซือเหยี่ยน นายแม่งแกล้งฉันสินะ?”

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงนิ่งพูดตามความเป็นจริง “พ่อแม่ของคุณอยู่ด้วย ถ้าผมแสดงออกชัดเจนมาก แล้วพ่อแม่คุณถามผม ผมจะตอบยังไง”

 

 

           “อยากจะตอบยังไง ก็ตอบไปเลย” เจียงมู่เฉินตอบแบบไม่คิดผ่านสมอง

 

 

           “จริงเหรอ บอกพวกท่านว่าพวกเราคบกัน เป็นคู่รักกันก็ไม่เป็นไร?” ซือเหยี่ยนเอ่ยเตือนสติให้คนตรงหน้าสงบใจลงทีละนิดๆ

 

 

           “พูดก็พูดสิ คุณชายอย่างฉันมีเวลาไหนที่กลัวอยู่เหรอ”

 

 

           “เจียงมู่เฉิน คุณบอกว่าคุณจริงจังกับผมไม่ใช่เหรอ”

 

 

           “ใช่สิ จริงจัง”

 

 

           “ผมเองก็จริงจัง จึงอยากคิดพิจารณาตัดสินให้รอบคอบ”

 

 

           เพียงชั่วพริบตาไฟน้อยๆ ในใจเจียงมู่เฉินก็สลายไปเพราะคำพูดเตือนใจของเขา เดิมทียังโกรธอยู่บ้าง ยามนี้ได้ฟังประโยคเมื่อครู่ของซือเหยี่ยน ความขุ่นเคืองใจก็ไม่หลงเหลือแม้แต่น้อยแล้ว

 

 

           ตรงกันข้าม กลับรู้สึกใจแป้วเกินจะเอ่ย

 

 

           ถูกเขาว่ามาแบบนี้ เหมือนว่าตัวเองขาดการไตร่ตรองมากไม่มีผิด

 

 

           “ยังโกรธอยู่เหรอ?” ซือเหยี่ยนเห็นสีหน้าที่ค่อยๆ คลายลงของเขา จึงถามขึ้น

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาแวบหนึ่ง “ฉันหิวแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนหลุดขำ เขาไม่ได้หวังให้อีกฝ่ายพูดอะไรทำนองยอมอ่อนข้อให้ แต่พอได้ยินเจียงมู่เฉินพูดออกมาสามคำนี้ เขาก็อดจะขำออกมาไม่ได้

 

 

           เจียงมู่เฉินเริ่มรู้สึกเสียหน้าแล้ว “ฉันมีอะไรน่าขำขนาดนี้เลยหรือไง”

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “น่าขำนิดหน่อย”

 

 

           เจียงมู่เฉินยื่นมือขึ้นมาชูนิ้วกลางเงียบๆ

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว โน้มตัวเข้าใกล้ดึงคนเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดแล้วกดจูบลงไป

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนจูบโดยไม่ทันตั้งตัว เกือบจะหอบหายใจเข้าเกือบไม่ทัน แต่ซือเหยี่ยนกลับยังจูบอยู่ตรงนั้นไม่ยอมปล่อย

 

 

           เขาหาจังหวะกัดซือเหยี่ยนคืนไป ฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายละริมฝีปากออกมา เจียงมู่เฉินรีบสูดหายใจเข้าเต็มปอด

 

 

           “นายเป็นบ้าไปแล้วเหรอ นายเห็นฉันโดนของตกใส่หัวไม่ตาย เลยอยากทำให้ฉันขาดอากาศหายใจตายใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนเอามือถูริมฝีปากที่โดนเขากัด แล้วพูดเน้นคำต่อคำ “ใครใช้ให้คุณยกนิ้วกลางใส่ผมล่ะ ทำผมเกิดอารมณ์ขึ้นมากะทันหัน”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาอย่างเหยียดๆ ชูนิ้วกลางใส่นายก็ทำนายเกิดอารมณ์ได้ อะไรจะสามารถปานนั้น

 

 

           ซือเหยี่ยนจ้องมองมุมปากที่ถูกกัดจนแดงด้วยใบหน้าแสนภูมิใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องผู้ป่วยไปซื้อข้าวให้คุณชายน้อยกิน

 

 

           หลังจากกินข้าวเสร็จ เจียงมู่เฉินมองดูซือเหยี่ยนที่อยู่ข้างๆ นี่ก็จะสามทุ่มแล้ว เขาก็ยังไม่กลับไปอีก

 

 

           เขามองกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้งหลายครา ซือเหยี่ยนก็ไม่มีท่าทีจะอยากออกไปเลยสักนิด เขาเริ่มร้อนใจแล้ว “นี่ นายยังไม่ไปอีกเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “ไปไหน”

 

 

           “นายแม่งอยากไปไหนก็ไปสิ ยังจะมาถามฉันอีก”

 

 

           “ผมชอบอยู่ที่นี่ จะไม่ไปไหนทั้งนั้น”

 

 

           คำพูดเขาทำเอาเจียงมู่เฉินตกอกตกใจไม่เบา ความชอบของซือเหยี่ยนไม่ธรรมดามากจริงๆ ไม่มีอะไรทำก็ชอบอยู่โรงพยาบาล แปลกคนไม่เหมือนคนทั่วไปจริงๆ

 

 

           “นายชอบอยู่ที่โรงพยาบาล ความชอบนี้มันก็เรื่องของนาย แต่นี่ก็ดึกขนาดนี้แล้ว นายไม่กลับไป เตรียมจะนอนที่นี่ทั้งคืนเหรอ”

 

 

           สายตาซือเหยี่ยนไล่มองช้อนตั้งแต่ร่างกายเจียงมู่เฉินขึ้นไป จนไปหยุดที่เตียงที่เขานอนอยู่

 

 

           ในใจเจียงมู่เฉินมีเสียงเตือนขึ้นมารัวๆ “เฮ้ย นี่นายคงจะไม่เล็งเตียงของฉันไว้หรอกใช่ไหม” เขารีบกอดผ้าห่มผืนเล็กๆ ไว้แน่น ตีให้ตายยังไงก็ไม่ยอมให้เตียง

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางเหมือนจะรู้ทันของเขา เพียงพริบตาเดียวสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้น เขาขบกรามเค้นคำพูดออกมาทีละคำ “ผมเล็งคุณคนที่อยู่บนเตียง”

 

 

           “นายจะมาเล็งฉันได้ตามใจชอบเลยใช่ไหม” เจียงมู่เฉินโต้แย้งจบ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ทันที เขามองซือเหยี่ยนด้วยความสีหน้าหวาดกลัว “ไม่นะ ฉันเป็นคนไม่สบายคนหนึ่ง นายจะไม่ปล่อยไปเลยเหรอ”

 

 

           เส้นเลือดบนขมับของซือเหยี่ยนกระตุกและกระตุกอีก เขาเก็บกดความรู้สึกที่อยากจะเค้นเอาความคิดของเจียงมู่เฉินออกทิ้งเสีย เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “เมื่อคืนผมไม่ได้นอนทั้งคืน คุณไม่คิดจะชดเชยให้ผมหน่อยเหรอ?”

 

 

           ‘เล่น’ ห้องผู้ป่วย?

 

 

           ‘นี่มันเร้าใจไปไหม’