ตอนที่ 94 นายคงจะไม่ใช่ว่าไม่ได้หรอกใช่ไหม

 

 

           เจียงมู่เฉินกลัวซือเหยี่ยนจะใช้กำลังขู่เข็ญทำมิดีมิร้ายกับเขาจริงๆ ตอนนี้เขาเป็นแค่ผู้ป่วยคนหนึ่ง สู้แรงซือเหยี่ยนไม่ไหวอยู่แล้ว เจียงมู่เฉินรีบยอมยกธงขาว “อย่าเลยนะพี่ชาย ห้องผู้ป่วยที่โรงพยาบาลทำเรื่องแบบนั้นไม่เหมาะสมหรอก”

 

 

           ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “ไม่เหมาะสม? ผมว่าออกจะเหมาะสมมากทีเดียว”

 

 

           ถึงคราวที่หางตาของเจียงมู่เฉินจะกระตุกขึ้นบ้างแล้ว ซือเหยี่ยนรสนิยมยิ่งไม่เหมือนใครอยู่ด้วย ไหนจะชอบเล่นในห้องผู้ป่วยอีก คงจะไม่ถึงขนาดอยากให้เขาแสดงสมบทบาทตัวเองหรอกใช่ไหม

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูร่างกายสูงใหญ่นั้นของซือเหยี่ยน แล้วมาดูเรือนร่างเล็กของตัวเอง ถ้าโดนซือเหยี่ยนจัดเข้าไปนี่ ไม่แน่ว่าชีวิตน้อยๆ คงต้องจบลงแค่ตรงนี้

 

 

           “ฉันยังเป็นคนไม่สบายอยู่นะ ไม่เหมาะหรอก”

 

 

           “ไม่เป็นไร คุณแค่นอนเฉยๆ ไม่ต้องขยับ” ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบ

 

 

           “โอ๊ย จู่ๆ ฉันก็รู้สึกเจ็บแผลขึ้นมา เจ็บมากๆๆ เจ็บจนสมองฉันจะระเบิดอยู่แล้ว” เขาครวญครางไป พลางมองซือเหยี่ยนไป

 

 

           ซือเหยี่ยนวางนิตยสารในมือลง โน้มตัวมองเจียงมู่เฉินใกล้ๆ “เจ็บขนาดนี้เลยเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบพยักหน้า “อืม เจ็บมากๆ”

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเบาๆ เอ่ยเสียงอ่อนโยน “เฉินเฉิน คุณพยักหน้าด้วยแรงขนาดนี้ ถึงเวลาสมองระเบิดออกมา จะยัดกลับเข้าไปไม่ได้นะ”

 

 

           เจียงมู่เฉิน “……”

 

 

           ‘เป็นเขาที่เปิดตัวไม่ถูกวิธีเหรอ’

 

 

           ‘คนทั่วไปเห็นแฟนตัวเองบาดเจ็บทั้งที ควรจะเป็นใส่ใจห่วงเป็นใยกันไม่ใช่เหรอ ทำไมพอถึงคราวเขาก็เปลี่ยนเป็นแบบนี้ไปได้’

 

 

           เฮือก…ตอนนี้เขาจะคืนสินค้ายังทันอยู่ไหม…

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเจียงมู่เฉินผู้แข็งเป็นหิน แล้วก้มหัวลงกัดเขาสักคำสองคำ “ขยับชิดในหน่อย จะเตรียมให้ผมนั่งบนเก้าอี้ทั้งคืนเลย?”

 

 

           เจียงมู่เฉินสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก จิตใจยังไม่ทันได้กลับมาจากเรื่องของสมอง แม้แต่ขยับยังไม่กล้าขยับเยอะ กลัวจะเป็นแบบนั้นแบบที่ซือเหยี่ยนว่า สมองจะเด้งออกมา

 

 

           เขาเคลื่อนตัวมาอยู่ข้างๆ เงียบๆ ซือเหยี่ยนผู้มองอีกคนอย่างระมัดระวังก็ชักจะอยากขำแล้ว

 

 

           “ผมล้อเล่น คุณคิดจริงๆ ไปได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว “ไม่ๆ ฉันรู้สึกจริงๆ ว่าด้านหลังตรงหัวฉันมีของไหลออกมาแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนตะลึงค้าง “อะไรนะ”

 

 

           “นายรีบช่วยฉันดูหน่อยสิ” เจียงมู่เฉินคว้ามือของซือเหยี่ยนเอาไว้ ใบหน้าตื่นตระหนก

 

 

           ซือเหยี่ยนเอียงข้างดูท้ายทอยของเขา ที่แท้ผ้าพันแผลแห้งๆ มีรอยเลือดซึมออกมา เลอะแดงกระจายบนผ้าพันแผลสีขาวเรียบร้อยแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนคุมตัวเจียงมู่เฉินผู้อยู่ไม่นิ่งไว้ “ข้างหลังตรงหัวคุณเลือดออกแล้ว เด็กดีอย่าขยับนะ”

 

 

           เขาคุมตัวเจียงมู่เฉินไว้ แล้วยื่นมือไปกดปุ่มเรียกฉุกเฉินข้างๆ ทรมานกันอยู่ครู่ใหญ่ๆ ต้องเย็บแผลตรงท้ายทอยใหม่ให้เจียงมู่เฉินอีกครั้ง ถึงได้ส่งกลับห้องผู้ป่วย

 

 

           กว่าจะผ่านความทรมานนี้ไปก็ปาเข้าไปค่อนคืนแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินนอนตะแคงข้างอยู่บนเตียง อดที่จะเป็นกังวลไม่ได้ “นายว่าคืนนี้ฉันคงจะไม่ทำแผลที่ท้ายทอยฉีกขาดอีกหรอกใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนนอนอยู่ด้านหลังของเจียงมู่เฉิน โอบกอดเขาเอาไว้ “วางใจเถอะ ผมจะดูคุณเอง”

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ “นายผล็อยไปกลางดึก ก็ไม่รู้หรอกว่าฉันขยับหรือไม่ขยับ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนหลุดขำ กอดกระชับแขนเขาไว้แน่น “ผมไม่นอน ผมจะดูคุณเอง”

 

 

           “จริงเหรอ”

 

 

           “จริงสิ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเงียบลงสักพัก จึงได้เอ่ยต่อ “ถ้าไม่งั้นนายนอนเถอะ ฉันระวังเองได้”

 

 

           ซือเหยี่ยนสนุกแล้ว นึกอยากจะยีหัวของเขา แต่ทันทีที่เห็นบริเวณแผลที่เพิ่งจะพันผ้าไป จึงอดทนเอาไว้ก่อน เขาเปลี่ยนมางับหูเจียงมู่เฉินแทน “คุณนอนหลับเถอะ อย่ามากเรื่องเลย”

 

 

           เจียงมู่เฉินเงียบลงไปพักหนึ่ง ซือเหยี่ยนคิดว่าเขาหลับไปแล้ว เพิ่งจะเตรียมถอนหายใจ ก็ได้ยินเขาพูดขึ้นมา “นายอยากจะ ‘เล่น’ บนเตียงคนไข้ไม่ใช่เหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนกอดกุมมือของเขาไว้ ชะงักไปครู่หนึ่ง “ใครยังจะอยาก ‘เล่น’ บนเตียงคนไข้กับคุณ”

 

 

           “นายบอกว่าให้ฉันชดเชยให้นาย แล้วยังให้แค่นอนเฉยๆ ไม่ต้องขยับอีกไม่ใช่เหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนรู้สึกว่าขมับชักจะปวดขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว “คุณหยุดชดเชยผมชั่วคราวก่อน รอคุณหายดีก่อน พวกเราค่อยมาต่อกัน”

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากพลิกตัวไปมองซือเหยี่ยน แต่พอจะหันไป ซือเหยี่ยนก็ดันเขากลับไปก่อน เจียงมู่เฉินทำได้แค่หันหลัง ถามซือเหยี่ยนอย่างจริงจัง “ซือเหยี่ยน นายคงจะไม่…ไม่ได้จริงๆ หรอกใช่ไหม”

 

 

           …ซือเหยี่ยนจ้องมองท้ายทอยของเขา คิดทบทวนอย่างจริงจังว่าจะโหดร้ายหน่อยดีไหม ส่งเขาไปเย็บแผลอีกรอบ

 

 

 

 

ตอนที่ 95 ขี้ตาบังตานายแล้ว

 

 

           ยามตื่นมา เจียงมู่เฉินยังคงนอนอยู่ในท่าเดิม ไม่ขยับเคลื่อนตัวแม้แต่น้อย เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

 

 

           เมื่อก่อนท่านอนเขาก็ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก

 

 

           ‘หรือว่าเมื่อคืนจิตใต้สำนึกเขาควบคุมตัวเองไว้ ไม่ให้ตัวเองขยับซี้ซั้ว?’

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางปลื้มอกปลื้มใจตัวเองของอีกฝ่าย ก็ขบกรามแน่น เขาไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืน เอาแต่ปรับแก้ท่านอนแสนเฮงซวยของเจียงมู่เฉิน

 

 

           แล้วก็ไม่รู้ไปเลียนแบบใครมา ขอแค่มีคนอยู่ข้างๆ ก็พร้อมจะหันมากอดรัดคนคนนั้นเสมอ

 

 

           พักฟื้นอยู่โรงพยาบาลอยู่หลายวัน นอกจากซือเหยี่ยนแล้ว ยังมีคุณแม่เจียงที่มารายงานตัวทั้งวัน เสิร์ฟซุปให้แต่เช้าจรดเย็น เจียงมู่เฉินผู้เป็นคนกิน เห็นหน้าคุณแม่เจียงทีไรก็อยากอาเจียน

 

 

           เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้จะตายเพราะบาดเจ็บ แต่จะตายเพราะแม่ตัวเองนี่แหละ

 

 

           ระหว่างนั้นซังจิ่งก็มาอยู่สองครั้ง เป็นช่วงที่ซือเหยี่ยนไม่อยู่ทั้งนั้น

 

 

           เจียงมู่เฉินไม่ได้ชอบหน้าซังจิ่งเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้ถึงอย่างไรคนเขาก็เต็มใจช่วยมีน้ำใจให้ เจียงมู่เฉินจะทำหน้าเย็นชาใส่ตลอดก็ไม่ค่อยดีนัก

 

 

           อีกอย่างความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตัวเองคือคนที่ต้องทำงานร่วมกัน ทำให้ความสัมพันธ์แข็งกระด้างเกินไปก็น่าเบื่อไปหน่อย

 

 

           ด้วยเหตุนี้เจียงมู่เฉินจึงตัดสินใจเป็นมิตรกับซังจิ่งขึ้นมานิดหนึ่ง

 

 

           “เรื่องอุบัติเหตุวันนั้น ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว หน่วยงานก่อสร้างจะรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดขึ้น ต่อไปเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก”

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้ารับ ถึงแม้ว่าอุบัติเหตุครั้งนี้จะไม่ได้รุนแรงเกินไป แต่ก็ยากที่จะรับรองได้ว่าครั้งหน้าจะโชคดีขนาดนี้หรือเปล่า จัดการความปลอดภัยพื้นฐานตั้งแต่ต้นให้ดี ดีกว่ามาเสี่ยงดวงเป็นไหนๆ

 

 

           “เรื่องของหลินไห่ต้องรบกวนประธานซังชั่วคราวไปก่อน รอแผลฉันหายดี ฉันถึงจะสอดส่องดูงานได้ตามปกติ”

 

 

           ซังจิ่งยิ้มร่า “ระหว่างพวกเราจะมาพูดรบกวนอะไรกัน คุณบาดเจ็บอยู่ ผมต้องใส่ใจงานมากขึ้นก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วไม่ใช่เหรอ”

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

 

 

           ซังจิ่งพูดต่อ “พวกเราต่างก็เป็นผู้รับชอบของโครงการนี้ ไม่มีใครอยากให้โครงการเกิดปัญหา ไม่ใช่เหรอ”

 

 

           “งั้นก็รบกวนประธานซังช่วยดูงานหน่อยแล้วกัน”

 

 

           ซังจิ่งอยู่ต่อได้ไม่นาน สักพักหนึ่งก็ถูกโทรศัพท์เรียกตัวกลับไป เจียงมู่เฉินย่นคิ้ว คิดใคร่ครวญตกลงแล้วซังจิ่งมีจุดประสงค์อะไรกันแน่

 

 

           ‘บริษัทของเขาเองก็ไปได้ดี ไม่ถึงขนาดต้องมาเพ่งเล็งเจียงเฉินกรุ๊ปด้วยซ้ำ’

 

 

            ‘ถ้าไม่ได้เพ่งเล็งเจียงเฉินกรุ๊ป แล้วเพ่งเล็งอะไร’

 

 

           ‘หรือว่าเขาจะเพ่งเล็งตัวเอง?’

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดถึงตอนที่เจอซังจิ่งครั้งแรก ยามซังจิ่งเผยความรู้สึกอยากคุกคามเขาออกมา จนถึงความเป็นห่วงเป็นใยจนผิดปกติในตอนนี้

 

 

           ถ้าพูดถึงเมื่อก่อนยังคิดว่าท่าทางที่ซังจิ่งพยายามเข้าใกล้ตัวเองดูแปลกๆ ชอบกล มาตอนนี้ก็คิดตกทุกอย่างได้แล้ว

 

 

           ‘เพราะว่าเขาเล็งตัวเองไว้ ถึงได้เป็นฝ่ายเข้าหาตัวเองแบบนี้’

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วเข้าเล็กน้อย ครุ่นคิดอย่างจริงจังว่าจะทำอย่างไรถึงจะสลัดเผือกร้อนลวกมืออย่างซังจิ่งทิ้งไปได้

 

 

           หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ในที่สุดแผลตรงท้ายทอยก็หายดี

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูท้ายทอยที่ตัดไหมออกแล้ว เพราะว่าต้องเย็บแผล ทำให้ต้องโกนผมออกเป็นบริเวณใหญ่ ดูแล้วน่าเกลียดจนน่าตกใจทีเดียว

 

 

           คิ้วผูกเป็นปมเบาๆ รู้สึกว่าแบบนี้ทำร้ายใบหน้าได้รูปงดงามของตัวเองไม่เบา

 

 

           จ้องมองดูตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ๆ เจียงมู่เฉินคิดไตร่ตรองอย่างจริงจัง จะต้องซื้อวิกผมปลอมมาใส่ไหม

 

 

           ซือเหยี่ยนเดินเข้าประตูมา ก็เห็นเขาคิ้วขมวดยืนอยู่ตรงนั้น ขายาวเดินเข้าไป สวมกอดเจียงมู่เฉินตามสบายอย่างที่เคยชิน

 

 

           “คุณยืนส่องอะไรอยู่”

 

 

           “นายว่าฉันต้องซื้อวิกผมปลอมมาใส่ไหม ทรงผมนี้น่าเกลียดเกินไปแล้ว”

 

 

           สายตาซือเหยี่ยนจดจ้องที่ท้ายทอยของเจียงมู่เฉิน สังเกตดูพิจารณาโดยละเอียด พูดถึงความสวยอะไรไม่ได้เลย แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ให้เขาเผ่นออกไปเต้นยั่วเสน่ห์เซ็กซี่อะไรที่หลานเยี่ยอีก

 

 

           เขาเข้าใกล้เข้าไปจูบตรงแผลที่ท้ายทอยของเจียงมู่เฉิน “ผมรู้สึกว่าดูดีมากเลย”

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบยื่นมือผลักเขาออก “ซือเหยี่ยน ขี้ตาบังตานายใช่ไหม น่าเกลียดขนาดนี้ นายยังมาทำเป็นพูดว่าดูดีอีก”